MG เปิดตัว ZS เจเนอเรชั่นที่ 2 ในสหราชอาณาจักรด้วยขุมพลัง Hybrid+ พร้อมราคาเริ่มต้นสุดเร้าใจ โดยใช้งานออกแบบและเส้นสายที่ถ่ายทอดมาจากรุ่นพี่ HS ซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้าเมื่อเดือนกรกฎาคม 2024 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น กันชนหน้าพร้อมด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ที่มีลวดลายภายในกระจังเป็นช่องรังผึ้งตารางใหญ่คล้ายๆ กับรุ่นน้อง MG3 ที่เพิ่งจะเปิดตัวและเปิดราคาจำหน่ายในประเทศไทยไปหมาดๆ ขณะที่ไฟหน้าแบบ LED เลือกใช้ดีไซน์แบบเรียบง่าย
ด้านข้างมีเส้นสายที่ทันสมัยยิ่งขึ้นจากรุ่นปัจจุบัน ชายล่างตัวถังตกแต่งด้วยวัสดุพลาสติกสีดำเสริมลุคให้ดูสปอร์ตยิ่งขึ้นมาพร้อมกับแนวทางการออกแบบที่ขยายพื้นที่กระจกประตูเพิ่มความโอ่หายกับห้องโดยสารปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_01.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_02.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_03.jpg)
ภายในมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 7 นิ้วทำงานร่วมกับหน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้วซึ่งรองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สายรวมไปถึงการติดตั้งแผนที่มาให้จากโรงงาน อุปกรณ์มาตรฐานประกอบไปด้วยระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ชุดเครื่องเสียงพร้อม 6 ลำโพง เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าสีดำ
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_04.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_05.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_06.jpg)
รวมไปถึงระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ MG Pilot suite ก็ยังติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอาทิ ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control,ระบบช่วยควบคุมให้ตัวรถอยู่ภายในเลน lane keep assist ระบบเตือนรถออกนอกเลน lane departure warnin ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินเมื่อตรวจจับคนเดินถนนและคนขี่จักรยาน active emergency braking with pedestrian and bicyclist detection ระบบเตือนมุมอับสายตา blind spot detection,ระบบเตือนการชนด้านหน้า forward collision warning ระบบเตือนสิ่งกีดขวางด้านหลัง rear cross traffic alert และระบบช่วยขับขี่ท่ามกลางสภาพการจราจรหนาแน่น traffic jam assist
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_07.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_08.jpg)
สำหรับรุ่นท็อปจะเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ประกอบไปด้วย กระจกหน้าต่างสีเข้มเพิ่มความเป็นส่วนตัว กล้องมองรอบคัน 360 องศาและอัลลอยขนาด 18 นิ้ว ภายในเพิ่มเติมเบาะคู่หน้าพร้อมระบบอุ่นและระบบอุ่นพวงมาลัย เช่นเดียวกับเบาะคนขับปรับไฟฟ้าและเบาะนั่งทั้งคันหุ้มด้วยหนัง
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_09.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_10.jpg)
![](https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2024/08/MG-ZS-Hybrid_11.jpg)
ขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบความจุ 1.5 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร เมื่อรวมกับพละกำลังจากเครื่องยนต์สุทธิ 196 แรงม้า (PS) ใช้แบตเตอรี่ความจุ 1.83 kWh อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมงภายในเวลา 8.7 วินาที พร้อมเคลมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐาน WLTP ไว้ที่ 19.47 กิโลเมตรต่อลิตร
ราคารุ่นเริ่มต้นในสหราชอาณาจักรของ ZS Hybrid+ อยู่ที่ 21,995 ปอนด์ หรือประมาณ 988,422 บาท ขณะรุ่นท๊อปจะอยู่ที่ 24,495 ปอนด์ หรือประมาณ 1,100,789 บาท และจะพร้อมส่งมอบได้ภายในเดือนตุลาคม 2024 นี้
ที่มา: Carscoops