ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจหยุดยั้งกระแสความนิยมรถ EV ราคาถูกไปได้ โดยเฉพาะเมื่อยักษ์ใหญ่แดนมังกรอย่าง BYD กำลังผงาด ด้วยยอดขายตลอดไตรมาส 2 ปี 2024 นับตั้งแต่เดือนเมษายน – มิถุนายน ที่กวาดไปได้เป็นจำนวน 980,000 คัน คิดเป็นอัตราส่วนโตขึ้นกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง Volkswagen Group และ Toyota ก็ยังไม่โตได้เทียบเท่า
อัตราการเติบโตดังกล่าว ทำให้ BYD สามารถแซงหน้าผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น 2 แบรนด์ อย่าง Nissan และ Honda ในไตรมาสล่าสุด สำหรับค่ายรถยนต์แดนปลาดิบเพียงแบรนด์เดียวที่ยังคงมียอดขายมากกว่า BYD ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024 ได้แก่ Toyota ซึ่งมีจำนวนยอดขายรวม 2.63 ล้านคัน ขณะที่ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Ford และ General Motors ขายไปได้ 1.04 และ 1.29 ล้านคัน ตามลำดับ
เมื่อย้อนไปช่วงปี 2023 ยอดขายของ BYD ตลอดไตรมาสที่ 1 และ 2 ขึ้นแท่นอันดับที่ 10 ของโลกได้สำเร็จ ด้วยยอดขายจำนวน 700,000 คัน ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกันในปี 2024 นี้ BYD ได้ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 7 ได้สำเร็จ
ปัจจัยที่ทำให้ยอดของ BYD เดินไม่หยุด คงหนีไม่พ้นเทคโนโลยีและงานออกแบบที่ถูกใจผู้บริโภคในหลายตลาดทั่วโลก รวมไปถึงสงครามราคาที่ตัดแข้งตัดขากันเองในประเทศจีน จึงทำให้รายใหญ่อย่าง BYD มีความได้เปรียบอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อน้องเล็กอย่าง BYD Seagull เริ่มลุยตลาดด้วยราคาจับต้องได้ง่าย บรรดารถ EV ขนาดเล็กแบรนด์อื่นๆ ก็ต่างพากันโดนผลกระทบอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งยอดส่งออกของ BYD ยังคงไปได้สวย ด้วยส่วนแบ่งยอดส่งออกรถยนต์ทั้งหมดจากประเทศจีนตลอดเดือน มกราคม – มิถุนายน 2024 ถึง 4% คิดเป็นจำนวน 105,000 คัน จาก 2.79 ล้านคัน ซึ่งกำลังเติบโตในอีกหลายตลาดทั่วโลกภายหลังจากนี้ ท่ามกลางสงครามกำแพงภาษีที่สหภาพยุโรปได้เตรียมบังคับใช้อย่างเป็นทางการ และทำให้ค่ายรถยนต์จากเมืองจีนจะได้รับผลกระทบด้านยอดส่งออกในอีกไม่ช้านี้
สำหรับไม้ตายที่ทาง BYD เตรียมไว้รับมือนโยบายกำแพงภาษีในยุโรป ได้แก่ การเตรียมลงทุนตั้งโรงงานในประเทศตุรกีเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษีดังกล่าว
นโยบายการจัดการกำแพงภาษีของ BYD กำลังจะเริ่มทำงานในอีกไม่ช้านี้ ภายหลังจากแผนการลงทุนตั้งโรงงานในแต่ละประเทศ ตั้งแต่ประเทศไทย ที่นับว่าเป็นโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์นอกประเทศจีนในระดับเต็มกำลังแห่งแรก รวมไปถึงประเทศฮังการี บราซิลและเม็กซิโก ที่เตรียมต่อคิวเปิดตัวโรงงานสเกลเดียวกันในอีกไม่ช้า เพื่อรองรับนโยบายกำแพงภาษีในอนาคต
ที่มา: Insideevs