นับว่าเป็นการมาถึงของตัวตายตัวแทน Audi A4 Sedan และ A4 Avant โดยสมบูรณ์ หลังจากค่าย 4 ห่วงออกมาประกาศอย่างเป็นทางการไปก่อนหน้านี้ว่าจะทำการเปลี่ยนการเรียกรุ่นต่างๆ ภายในตระกูลรถ C-Segment ใหม่ หรือได้แก่รุ่น A4 ที่จะถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยรุ่น A5 ทั้งในรุ่น Sedan และ Avant โดย Audi จะสงวนเลขรุ่นในรูปแบบเลขคู่ไว้สำหรับขุมพลังไฟฟ้าล้วนเท่านั้น ความพิเศษยังอยู่ที่ A5 Sedan ที่ติดตั้งฝากระโปรงท้ายแบบยกเปิด เสมือนเป็นรุ่น Sportback จากโรงงาน
งานออกแบบภายนอกที่สร้างความแตกต่างตั้งแต่แรกเห็น โดยเน้นให้สามารถแยกตัวรถเจเนอเรชั่นใหม่ภายใต้อนุกรมเลขคี่ที่ยังคงใช้ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่ รวมไปถึงการเปิดตัวพร้อมรุ่นขุมพลัง V6 ในรหัส S5 ครบทั้งตัวทั้งรูปแบบซีดานและแวกอนเช่นเคย โดยงานออกแบบด้านหน้าที่มาพร้อมกระจังหน้ารูปแบบใหม่เพิ่มความเป็นรูปลักษณ์ 6 เหลี่ยมที่มีฐานกว้างขึ้นกว่าเดิม พร้อมด้วยการติดตั้งช่องดักลมจำนวนมาก ให้สมกับเป็นรุ่นขุมพลังสันดาปภายใน
A5 Sedan
A5 Avant
ขณะที่ไฮไลท์เพิ่มเติมความเท่ได้แก่ ไฟ LED daytime running และไฟท้ายแบบ OLED ที่สามารถปรับการแสดงผลได้สูงสุด 8 รูปแบบ ที่นอกจากจะแสดงความแตกต่างเพื่อความสวยงามแล้ว สำหรับไฟท้ายยังสามารถใช้เป็นการสื่อสารกับรถคันหลังได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยข้อจำกัดที่แตกต่างในแต่ละภูมิภาค สำหรับตลาดยุโรปลูกเล่นนี้จะสามรถใช้ได้ขณะที่รถเคลื่อนตัว ขณะที่เวอร์ชั่นที่จำหน่ายในอเมริกาจะสามารถใช้งานได้ขณะที่จอดรถเท่านั้น นอกจากนี้ยังติดตั้งปลายท่อไอเสียออกจริงทุกรุ่นอีกด้วย
ตัวรถจะถูกสร้างขึ้นบนงานวิศวกรรมพื้นฐาน Premium Platform Combustion ที่ประเดิมเป็นรุ่นแรก ภายใต้รหัสตัวถัง B10 นั่นหมายถึงการมาทดแทนรหัส B9 ของ A4 อย่างชัดเจน ขณะที่ A4 รุ่นต่อไปจะหันไปใช้งานวิศวกรรมพื้นฐาน Premium Platform Electric (PPE) ร่วมกับ Q6 e-tron
S5 Sedan
S5 Avant
ภายในมาพร้อมหน้าจอจำนวนมากถึง 3 ชิ้น ภายหลังที่ Audi ต้านทานกระแสไม่ไหว โดยเลือกใช้แนวคิดการยึดหลักผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และได้ทำการปรับรายละเอียดของการแสดงผลความบันเทิงและข้อมูลทั้งจอกลางและจอสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า รวมไปถึงการจัดระเบียบอุปกรณ์ต่างๆ ให้สามารถสั่งการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นเริ่มต้นอย่าง แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ฝากระโปรงท้ายแบบเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า รวมไปถึงระบบแผนที่นำทาง
A5 Sedan
A5 Avant
รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับพื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยได้รับอานิสงส์จากระยะความยาวฐานล้อที่เพิ่มมากขึ้นจากรุ่นก่อน รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะสำหรับผู้โดยสารตอนหลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกทั้งยังเพิ่มความโดดเด่นด้วยหลังคากระจกติดตั้งจากโรงงาน โดยในรุ่นท็อปจะสามารถปรับความเข้มแสงได้ตามต้องการและสภาพอากาศด้วยเทคโนโลยี dimmable electrochromic roof
S5 Sedan
S5 Avant
หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ virtual Cockpit ที่เลือกใช้ เทคโนโลยีหลอดไฟแบบ OLED ขนาด 11.9 นิ้ว ที่ทำงานร่วมกับหน้าจอกลางขนาด 14.5 นิ้วระบบสัมผัส รวมไปถึงออฟชั่นหน้าจอสำหรับความบันเทิงของผู้โดยสารตอนหน้าขนาด 10.9 นิ้ว ที่ สามารถแสดงข้อมูลแผนที่และตำแหน่งปัจจุบันของตัวรถ เปรียบเสมือนเนวิเกเตอร์ช่วยผู้ขับขี่ยามเดินทาง รวมไปถึงความสามารถในการ แสดงความบันเทิงอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการรับชมคอนเทนต์ผ่านสตรีมมิ่งแอปพลิเคชั่นต่างๆ ขณะที่ถูกใช้งานระหว่างการขับขี่ จะไม่สามารถมองเห็นได้โดยผู้ขับขี่โดยการใช้สารเคลือบจอแบบพิเศษ นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบเครื่องเสียงพรีเมียมจากแบรนด์ Bang and Olufsen คู่บุญ ที่ในครั้งนี้ได้ทำการติดตั้งลำโพงไว้บริเวณหมอนรองศีรษะเพื่อสร้างบรรยากาศเสียงที่สมจริง รวมไปถึงฟังก์ชั่น dual-zone การแยกการรับฟังคอนเทนต์ระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทำให้ไม่พลาดความบันเทิงขณะที่ผู้ขับขี่จำเป็นจะต้องสนทนาผ่านสายที่เรียกเข้า
การแสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับการขับขี่ที่จำเป็นยังสามารถเลือกปรับได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ผ่านจอ head-up display ที่หยิบยกมาจากรุ่นพี่ Q6 E-Tron ซึ่งสามารถทำการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นที่เกี่ยวกับการขับขี่และระบบความบันเทิงได้อีกด้วย
ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีให้เลือกตั้งแต่ช่วงเปิดตัว ได้แก่
2.0 TDI
เครื่องยนต์ดีเซล TDI แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อquattro โดยทั้ง 2 เวอร์ชั่นจะส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ dual-clutch
2.0 TFSI
เครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อคู่หน้าเท่านั้น และรุ่นอัพเกรด 204 แรงม้า (PS) สำหรับรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อquattro ultra โดยทั้ง 2 เวอร์ชั่นจะส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติแบบ dual-clutch
รุ่น S5
เครื่องยนต์เบนซิน TFSI แบบ V6 ขนาด 3.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ กำลังสูงสุด 367 แรงม้า (PS) พร้อมด้วยเทคโนโลยี Mild-Hybrid 48-volt เพื่อลดมลพิษสำหรับการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ
Audi จะพร้อมวางจำหน่าย A5 และ S5 ทั้ง 2 รูปแบบตัวถังในยุโรป โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 45,200 ยูโร หรือ 1,773,914 บาท ในประเทศเยอรมัน ก่อนที่จะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในช่วงฤดูร้อนของปี 2025 เป็นต้นไป
ที่มา: Motor1