หลังจาก Honda ประกาศกำหนดการวางจำหน่ายของรถ Kei car ทรงตู้เล็กอเนกประสงค์ขุมพลังไฟฟ้าล้วนเมื่อปลายปี 2023 ว่าจะพร้อมเปิดราคาได้ในช่วงกลางปี 2024 เป็นต้นไป เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2024 ที่ผ่านมา จึงได้เป็นฤกษ์งามยามดีของการเปิดตัว N-VAN e: ที่มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ตามแต่ลักษณะการใช้งาน โดยมาพร้อมการจัดวางเบาะนั่งแบบ 1 ที่นั่ง 2 ที่นั่ง และแบบ 2 แถว 4 ที่นั่ง

 

N-VAN e: มาพร้อมมอเตอร์ขับเคลื่อนที่ไม่ระบุสมรรถนะแต่อย่างใด มีเพียงแบตเตอรี่ที่สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 245 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTC โดยได้ทำการออกแบบให้ชุดส่งกำลังและแบตเตอรี่มีขนาดกะทัดรัด เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยและสามารถพับเบาะได้แบนราบ

โดยรุ่นย่อยแรกได้แก่ e: L4 ที่มาพร้อมเบาะนั่ง 2 แถว 4 ที่นั่ง ตั้งเป้าวางจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าที่มองหารถสำหรับการใช้งานเพื่อการพาณิชย์และแบบครอบครัว ภายนอกโดดเด่นด้วยสีทูโทน มาพร้อมระบบชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และสามารถเพิ่มเงินเพื่อติดตั้งระบบชาร์จเร็วได้ ขณะที่ไฟหน้ายังคงเลือกใช้แบบฮาโลเจนปกติ และตกแต่งกระจกมองข้างรวมไปถึงมือเปิดประตูด้วยสีวัสดุสีดำ ภายในติดตั้งหน้าจอความบันเทิงขนาด 7 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

และเมื่อเพิ่มเงินเป็นรุ่น e: FUN จะได้ระบบชาร์จเร็วเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยไฟหน้าแบบ LED ทรงกลมย้อนยุค ภายในเปลี่ยนสีตกแต่งจากสีดำเป็นสีเบจ พร้อมสรรพสำหรับผู้ที่นำรถออกไปผจญภัย ใช้ในกิจกรรมวันหยุดสุดสัปดาห์

 

มาพร้อมระบบการชาร์จ 2 รูปแบบ ได้แก่ ไฟฟ้ากระแสตรง DC ที่กำลังไฟฟ้าสูงสุด 50 kW ซึ่งทำให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็ม ภายในเวลา 30 นาที ขณะที่การชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC ที่กำลังไฟฟ้าสูงสุด 6 kW สามารถชาร์จได้เต็มภายในเวลา 4 ชั่วโมง 30 นาที ขณะที่ระบบระบายความร้อนและอุ่นแบตเตอรี่ที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ช่วยลดอัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ได้ ท่ามกลางสภาวะใช้งานที่อุณหภูมิหลากหลาย เพื่อทำให้ระยะเวลาในการชาร์จไฟและระยะทางวิ่งได้สูงสุดเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด

 

รุ่น e: G ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์โดยเฉพาะ ติดตั้งเบาะนั่งคนขับเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น เพื่อเน้นการใช้งานบรรทุกสัมภาระได้ตามต้องการ มีการปรับเปลี่ยนคอนโซลหน้าฝั่งข้างคนขับให้รองรับการจนส่งสินค้าที่มีความยาวได้มากกว่ารุ่นอื่นๆ ทำให้รุ่นนี้มีความยาวของห้องเก็บสัมภาระเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นปกติ 95 มิลลิเมตร และยังได้ปรับให้พื้นตัวถังภายในต่ำลงอีกกว่ารุ่น e: L4 และ e: FUN อีก 120 มิลลิเมตร

รุ่น e: L2 ที่ติดตั้งเบาะเสริมสำหรับผู้โดยสารอีก 1 ตำแหน่งด้านหลังคนขับ ที่สามารถพับให้ราบเรียบได้เช่นเดียวกัน เพื่อมอบพื้นห้องเก็บสัมภาระในระดับเดียวกันกับรุ่น e: G มาพร้อมกันชนหน้าและกันชนหลังแบบสีเดียวกับตัวรถ เป็นการอัพเกรดจากสีดำในรุ่น e: G

 

รุ่น e: L2 ที่ติดตั้งเบาะเสริมสำหรับผู้โดยสารอีก 1 ตำแหน่งด้านหลังคนขับ ที่สามารถพับให้ราบเรียบได้เช่นเดียวกัน เพื่อมอบพื้นห้องเก็บสัมภาระในระดับเดียวกันกับรุ่น e: G มาพร้อมกันชนหน้าและกันชนหลังแบบสีเดียวกับตัวรถ เป็นการอัพเกรดจากสีดำในรุ่น e: G

 

รุ่น e: L4 และ e: FUN ยังมาพร้อมระบบความปลอดภัย Honda SENSING ดังนี้

  1. ระบบเตือนการชนรถ และคนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System (CMBS)
  2. ระบบช่วยควบคุมคันเร่ง เพื่อป้องกันการชนด้านหน้า Collision Mitigation Throttle Control
  3. ระบบช่วยควบคุมคันเร่ง เพื่อป้องกันการชนด้านหลัง Rear Collision Mitigation Throttle Control
  4. ระบบป้องกันการชนคนเดินถนน ด้วยการช่วยหักเลี้ยว Pedestrian Collision Mitigation Steering System
  5. ระบบเตือนรถออกนอกเลน Road Departure Mitigation (RDM) System
  6. ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist System (LKAS)
  7. ระบบช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control (ACC)
  8. ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Lead Car Departure Notification System
  9. ระบบตรวจจับป้ายจราจร Traffic Sign Recognition
  10. ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam Headlights

 

 

สำหรับรุ่น e: G และ e: L2 จะวางจำหน่ายในรูปแบบการเช่าซื้อผ่านแผนก Honda Fleet Sales และช่องทางออนไลน์ Honda ON เท่านั้น

ทั้งหมดนี้จะพร้อมส่งมอบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2024 เป็นต้นไป

ที่มา: honda