Mini เปิดตัวรุ่น Hatchback 3 ประตูไปเมื่อปี 2023 ครบทั้งทางเลือกขุมพลังไฟฟ้าล้วนและเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ตามมาในภายหลังเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ที่ผ่านมา จะเหลือเพียงเวอร์ชั่น 5 ประตู ที่ยังไม่มีการพูดถึงจนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2024 ทางค่ายใบพัดฟ้าขาวได้ฤกษ์เปิดตัวรุ่น 5 ประตูกันเสียที ซึ่งมาพร้อมทางเลือกขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายใน 2 ระดับความแรงในช่วงแรก

 

 

งานออกแบบภายนอกมีความคล้ายคลึงกับรุ่น 3 ประตูเนื่องจากใช้แนวทางเดียวกัน สิ่งที่แตกต่างจะสามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เสา B เป็นต้นไป เพื่อที่จะรองรับความยาวตัวถังที่เพิ่มขึ้นและประตูคู่หลังอีก 2 บาน ทำให้ตัวรถยาวเพิ่มขึ้นทั้งหมดอีก 178 มิลลิเมตร โดยยังได้ทำการขยายระยะฐานล้อให้ยาวกว่ารุ่น 3 ประตู 70 มิลลิเมตร เพื่อรองรับผู้โดยสารด้านหลัง และยังมาพร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีความจุสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 923 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวหลัง เพิ่มขึ้นกว่ารุ่น 3 ประตูที่พับเบาะหลังแล้วอีก 123 ลิตร

 

สำหรับส่วนปนะกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าลายตะแกรงสปอร์ตในรุ่น Cooper S และล้ออัลลอยที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 16 ไปจนถึง 18 นิ้ว รวมไปถึงสีตัวถังและสีหลังคาที่สามารถเลือกได้อย่างหลากหลาย

 

ภายในเลือกใช้หน้าจอกลางทรงกลมขนาด 9.4 นิ้ว เทคโนโลยี OLED เช่นเดียวกับเวอร์ชั่น EV แต่ก็ยังปราณีติดตั้งปุ่มกดฟังก์ชั่นพื้นฐานต่างๆ ไว้อย่างครบครัน พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ เช่น ระบบช่วยนำรถเข้าช่องจอดอัจฉริยะ Parking Assistant Plus ที่ทำงานร่วมกับเซนเซอร์อัลตร้าโซนิกส์จำนวน 12 ตัว

 

โดยขุมพลังในรุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 154 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 8.0 วินาที

และเมื่ออัพเกรดไปเล่นรุ่น Cooper S ก็ได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 6.8 วินาที โดยจะมีเวอร์ชั่นร้อนแรงอย่าง JCW ออกตามมาในภายหลังเช่นเดียวกับรุ่น 3 ประตู

 

Mini จะเริ่มวางจำหน่ายรุ่น 5 ประตู ในยุโรป และยังไม่ได้ประกาศว่าจะนำไปวางจำหน่ายที่ตลาดอื่นๆ อีกหรือไม่

ที่มา: Motor1