หลังจาก Lamborghini ซุ่มทดสอบ Urus ขุมพลัง Plug-in hybrid อยู่พักใหญ่ ก็ถึงคราวเปิดตัวเวอร์ชั่นจำหน่ายจริงภายใต้ชื่อ Urus SE ที่มาพร้อมหน้าตาอัพเกรดขึ้นอีกเล็กน้อย โดยเฉพาะไฟหน้าแบบ matrix LED ที่ติดตั้งไฟ Daytime running light แบบ Signature ที่เป็นรูปหางของกระทิงเปลี่ยวเอกลักษณ์ของค่าย พร้อมด้วยการปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายในกันชนบางส่วนเพื่อให้แตกต่างจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน โดยได้นำมาจากรถ Supercar รุ่น Revuelto ขณะที่งานออกแบบด้านหลังได้ปรับใช้จากรถสปอร์ตรุ่น Gallardo พร้อมสปอยเลอร์สร้างแรงกดที่ด้านท้ายเพิ่มขึ้นอีก 35% เมื่อเทียบกับรุ่น Urus S
ทางเลือกสีตัวถังที่มีมากกว่า 100 สี พร้อมด้วยสีภายในห้องโดยสารอีก 47 รูปแบบ มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 23 นิ้ว ลายใหม่เฉพาะรุ่น ภายในเลือกใช้จอขนาด 12.3 นิ้วแบบคู่ พร้อมโหมดการขับขี่ EV Drive Hybrid Performance Recharge นอกเหนือจากโหมดการขับขี่ของรุ่นปกติ Strada Sport Corsa Neve Sabbia และ Terra
\
ขุมพลังเบนซิน V8 ความจุ 4.0 ลิตร พร้อมระบบอักอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์คู่ จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้พละกำลัง 189 แรงม้า เมื่อรวมพละกำลังทั้งระบบจะได้ 800 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 950 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที
- อัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กม. / ชม. ภายในเวลา 3.4 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 310 กม. / ชม.
Urus SE มาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 25.7 kWh แบบ lithium-ion ติดตั้งบริเวณใต้ห้องเก็บสัมภาระที่สามารถจ่ายไฟในโหลด EV ได้เป็นระยะทางมากถึง 59 กิโลเมตร โดยสามารถขับขี่ในโหมด EV ได้ที่ความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตร / ชั่วโมง ก่อนที่เครื่องยนต์สันดาปจะเข้ามารับหน้าที่ต่อ ทั้งหมดนี้ทำตัวเลขมลพิษสามารถลดลงได้เป็นสัดส่วนถึง 80%
ที่มา: Motor1