Bentley เคยวางกำหนดการเปิดตัวและวางจำหน่ายรถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าล้วนไว้ที่ปี 2025 จนกระทั่ง การประกาศล่าสุดของ CEO ของบริษัท Adrian Hallmark ได้กล่าวกับสำนักข่าว Automotive News แห่งประเทศยุโรปถึงการเปลี่ยนแผนการเปิดตัวรถ EV ไปอีกอย่างน้อย 1 ปี หลังจากเกิดปัญหาทางด้านซอฟต์แวร์และปัญหาทางเทคนิคจากงานวิศวกรรมพื้นฐาน จึงทำให้กำหนดการโดยคร่าวของการส่งมอบรถ EV ถึงมือลูกค้าจะไม่เกิดขึ้นภายในปี 2027 เป็นอย่างน้อย
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสารจากสำนักข่าวท้องถิ่นอย่าง Autocar ที่ได้รับข้อมูลว่าทาง Bentley จะทำการเลื่อนแผนการเข้าสู่ยุคของผู้จำหน่ายรถ EV อย่างเต็มรูปแบบ ไร้ซึ่งรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน จากเดิมที่จะเกิดขึ้นในช่วงปี 2030 ออกไปอีกเป็นช่วงปี 2033 โดยในระหว่างนั้นทาง Bentley จะหันไปพัฒนารถยนต์ที่ใช้ขุมพลัง plug-in hybrid ในช่วงรอยต่อดังกล่าวเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ รถ EV รุ่นแรกของค่ายจะผลิตขึ้นในโรงงานที่ตั้งอยู่ที่เมือง Crewe ประเทศอังกฤษ โดยจะใช้งานวิศวกรรมพื้นฐาน Premium Platform Electric (PPE) จากฉากแบรนด์ในเครือบริษัทแม่ Volkswagen group อย่าง Porsche และ Audi ซึ่งเพิ่งจะเปิดตัวรถรุ่นแรกของแต่ละแบรนด์ที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้าล้วนอย่าง Macan และ Q6 E-Tron ไปหมาดๆ
สำหรับกำหนดการเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในระหว่างนี้ Bentley จะเปิดตัวรถสมรรถนะสูงขุมพลัง plug-in hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 เป็นพื้นฐาน ซึ่งจะมาทดแทนขุมพลัง W12 ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยขุมพลังดังกล่าวจะมาพร้อมขุมพลัง 740 แรงม้า
นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลาย ต่างพากันหันมาพัฒนาขุมพลัง Plug-in hybrid อย่างพร้อมเพรียง หลังจากกระแสรถ hybrid กลับมาคึกคัก เนื่องจากรถ EV มีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่พอสมควร ดังนั้นเม็ดเงินที่แต่เดิมจะถูกนำไปใช้พัฒนาขุมพลังไฟฟ้าล้วน จึงถูกกลับมาใช้ลงทุนในการพัฒนาขุมพลังดังกล่าว
ทาง Bentley จะยังวางจำหน่าย Contenental GT GTC และ Flying Spur ที่ยังคงใช้ขุมพลัง V6 Plug-in hybrid ไประยะหนึ่ง จนกว่าขุมพลังใหม่จะเข้ามาทดแทนในอนาคตอันใกล้ ขณะที่รถ SUV พี่ใหญ่อย่าง Bentayga จะยังวางขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนต่อไปเป็นทางเลือกจนถึงปี 2026 ก่อนที่จะผันตัวไปสู่ขุมพลังไฟฟ้าล้วนเท่านั้นในภายหลัง
ความคาดหวังของรถ EV รุ่นแรกจากค่าย Bentley ภายใต้งานวิศวกรรมพื้นฐาน PPE จึงกลายเป็นการวาดฝันถึงรถสปอร์ตที่พกพละกำลังมามากกว่า 800 แรงม้า เปรียบเสมือนขุมพลัง W12 ของวงการรถ EV พร้อมแบตเตอรี่ที่จะคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพโดยรวมทั้งการชาร์จไฟและการส่งพละกำลังให้ทัดเทียมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
ที่มา: Motor1