The next-generation Dodge ได้ฤกษ์เปิดตัวรถ muscle car ภาคต่อของ Challenger โดยหันมาใช้ชื่อรุ่น Charger แทน ซึ่งมีทั้งรูปแบบ 2 ประตู Coupe และ 4 ประตู Sedan พร้อมขุมพลังไฟฟ้าล้วนบนงานวิศวกรรมพื้นฐานจาก STLA Large platform ภายใต้ชื่อรุ่น “Daytona” และยังมีทางเลือกขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในภายใต้ชื่อรุ่น “Sixpack” ทั้งหมดจะใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อม limited-slip differential ที่มอเตอร์เพลาหลังแบบกลไกและเกียร์แบบ 1 อัตราทด และสงวนแบบ 2 อัตราทดไว้สำหรับรุ่น Banshee

 

ภายนอกสำหรับรุ่นขุมพลังไฟฟ้าจะมาพร้อมกระจังหน้าแบบติดตั้งช่องลมในตัว เพื่อสร้างประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์สูงสุด โดยยังมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยางหน้ากว้างที่สุดในประวัติศาสตร์รถ muscle car ของค่ายจากโรงงานที่ 305/35 ที่ล้อคู่หน้า และ 325/35 ที่ล้อคู่หลัง

รุ่น R/T

สำหรับตัวเลขพละกำลังสูงสุดที่ทาง Dodge เคลมเอาไว้ จะเป็นการรวมพละกำลังจากโหมดการทำงาน PowerShoot ที่ทำงานเพียงชั่วขณะเป็นระยะเวลาครั้งละ 15 วินาที และต้องรออีก 30 วินาที ในการจะกดใช้งานอีกครั้ง ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นหลังจากใช้ฟังก์ชั่นนี้ จะแตกต่างกันในแต่ละรุ่นย่อย โดยในรุ่นเริ่มต้น R/T จะสามารถเพิ่มพละแรงม้าได้อีก 40 แรงม้า หรือในรูปแบบ Stage 1 โดยแรงม้าในที่ใช้งานได้ในช่วงเวลาปกติจะเหลือเพียง 416 แรงม้า จาก 456 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 548 นิวตัน-เมตร

  • อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ / ชม. ภายในเวลา 4.7 วินาที
  • เวลาควอเตอร์ไมล์ 13.1 วินาที

 

ขณะที่รุ่นท๊อป Scat Pack จะมีพละกำลังให้ใช้งานในช่วงเวลาปกติอยู่ที่ 550 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร เนื่องจากฟังก์ชั่น PowerShoot สำหรับรุ่นนี้จะถูกติดตั้งมาให้ในรูปแบบ Stage 2 ซึ่ง Dodge ออกแบบให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้น 80 แรงม้า (กลายเป็น 630 แรงม้า) และแน่นอนว่าฟังก์ชั่น PowerShoot จะไม่ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานจากโรงงานแต่อย่างใด

  • อัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์ / ชม. ภายในเวลา 3.3 วินาที
  • เวลาควอเตอร์ไมล์ 11.5 วินาที

ทั้งคู่จะใช้แบตเตอรี่ความจุ 100.5 kWh ที่ทำงานภายใต้สถาปัตยกรรมแรงดันไฟฟ้าสูงสุด 400V จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเตอร์คู่ เพื่อให้การกระจายน้ำหนักใกล้เคียงอัตราส่วน 50 : 50 มากที่สุด แม้ตัวถังจะมีน้ำหนักมากก็ตาม โดยในรุ่น R/T สามารถวิ่งได้ไกลสุด 507 กิโลเมตร ขณะที่รุ่น Scat Pack วิ่งได้ไกลสุด 416 กิโลเมตร พร้อมระบบ fast charge กำลังไฟฟ้าสูงสุด 350 kW ทำให้สามารถประจุไฟจาก 20%-80% ได้ภายในเวลา 27 นาที

อย่างไรก็ตาม Fratzonic หรือเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ที่นำเสียงของเครื่องยนต์จาก Hellcat มาเป็นต้นแบบ ยังไม่ถูกเปิดเผยในขณะนี้ว่าจะมีโทนเสียงเป็นรูปแบบใด

 

ภายในมาพร้อมการตกแต่งที่อ้างอิงจาก Charger Daytona SRT EV concept เลือกใช้หน้าจอ Digital ขนาด 10.25 นิ้ว หรือสามารถจ่ายตังค์เพิ่มเพื่ออัพเกรดเป็นขนาด 16 นิ้ว ทั้งคู่จะทำงานร่วมกันกับหน้าจอกลางขนาด 12.3 นิ้ว โดยเส้นสายของคอนโซลหน้าได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Charger ปี 1968 พร้อมด้วยหัวเกียร์แบบ pistol-grip ระบบการเชื่อมต่อ Uconnect 5 system และระบบนำทางจาก TomTom พร้อมผู้ช่วยส่วนตัว Amazon Alexa

อีกทั้งยังมีออฟชั่นหลังคากระจกเต็มบาน รวมไปถึงไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ปรับได้สูงสุด 64 สี ซึ่งยังสามารถเลือกปรับเปลี่ยนได้ขณะที่ทำการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ เช่นขณะเปิดประตูหรือกดปุ่มสตาร์ท ยังไม่นับรวมเบาะนั่งแบบ Bucket seat ที่สามารถเลือกวัสดุหุ้มได้ตั้งแต่ผ้า หนังสังเคราะห์และหนัง Nappa

 

ช่วงล่างแบบ Dual valve semi-active suspension ที่มาพร้อมระบบแปรผันความหนืดเป็นออฟชั่น สำหรับ Track Package ที่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมหากเลือกติดตั้ง Scat Pack ซึ่งยังมาพร้อมการปรับแต่งระบบระบายความร้อนให้กับแบตเตอรี่ยามนำรถวิ่งในสนามแข่งอีกด้วย พร้อมด้วยฟังก์ชั่นการจัดการการวิ่งแบบควอเตอร์โมล์ ด้วยการสั่งให้เบิร์นล้อคู่หลังก่อนออกตัว! หรือแม้กระทั่งโหมดการขับขี่แบบ Donut และ Drift พร้อมระบบความปลอดภัยครบครันทั้ง forward collision alert และ automatic braking ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน adaptive cruise control ระบบตรวจจับป้ายจราจร traffic sign recognition ระบบรักษาตัวรถให้อยู่ภายในเลน lane-keep assist ระบบตรวจจับวัตถุในมุมอับสายตา blind spot detection และระบบป้องกันการเหนื่อยล้าจากการขับขี่

 

ที่มา: Motor1