ในที่สุด Honda ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว CR-V ขุมพลังแห่งอนาคตที่ฉีกออกไปจากคู่แข่งในปัจจุบัน ท่ามกลางกระแสรถ BEV และ PHEV ที่ต่างชูจุดเด่นด้านขุมพลังและราคาจำหน่าย โดยเฉพาะคู่แข่งจากแดนมังกร ถึงแม้ว่า Honda จะเปิดตัวเวอร์ชั่นขุมพลัง Plug-in hybrid ไปก่อนหน้าของ CR-V เจเนอเรชั่นที่ 6 นี้ โดยยังไม่มีแผนทำตลาดในประเทศไทยแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามชุด Power unit e:FCEV นี้อาจไม่ใช่ของใหม่ หลังจาก Honda เปิดตัวไปเมื่อปี 2023 และบอกใบ้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะนำไปติดตั้งทั้งในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
โดยรูปแบบการนำมาติดตั้งกับ CR-V รุ่นที่ 6 นี้ จะเป็นการทำงานผสมผสานกันระหว่างแบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในเวอร์ชั่น e:PHEV โดยจะสังเกตเห็นได้ถึงฝาปิดถังด้านข้างตัวถังที่มีทั้ง 2 ด้าน ซึ่งในเวอร์ชั่น e:FCEV จะเปลี่ยนจากถังน้ำมันเป็นถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจน
มอเตอร์ขับเคลื่อนที่ติดตั้งอยู่บริเวณเพลาล้อด้านหน้า สามารถให้กำลังสูงสุดได้ 174 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตัน-เมตร ร่วมกับ CR-V e:HEV ซึ่งถังเชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่ติดตั้งบริเวณพื้นตัวถังด้านหลังและบริเวณห้องเก็บสัมภาระมีความจุสูงสุดที่ 4.3 กิโลกรัม ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 432 กิโลเมตร เมื่อรวมกับระยะทางที่ได้จากแบตเตอรี่ Li-ion ความจุ 17.7 kWh ที่ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุด 46 กิโลเมตร ทำให้พิสัยการเดินทางสูงสุดตามมาตรฐาน EPA ของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 478 กิโลเมตร
โดยยังมาพร้อมฟังก์ชั่นจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ใช้งานด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 1,500 วัตต์ ผ่านรูปลั๊กแบบ 110V (สหรัฐอเมริกา) เพื่อให้รองรับการนำรถไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ตามไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ Honda ยังได้ทำการปรับแต่งช่วงล่างของ CR-V e:FCEV ใหม่ทั้งหมด ด้วยน้ำหนักตัวรถและกระจายน้ำหนักที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องเพิ่มความแข็งแรงบริเวณด้านหลัง ขึ้นอีก 10% รวมไปถึง ติดตั้งชิ้นส่วนเพื่อลดการบิดตัวของชุดช่วงล่างด้านหลังลงอีก 9% โดยการเปลี่ยนเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ชุดโช้คพร้อมสปริงที่มีค่าความแข็งเหมาะสมกัน
CR-V e:FCEV นับว่าเป็นรถยนต์รุ่นแรกที่ออกจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ ที่มีการติดตั้งชุดเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนร่วมกันกับแบตเตอรี่ Li-ion ทั้งหมดนี้เกิดจากความร่วมมือกับค่ายรถยนต์สัญชาติอเมริกันอย่าง General Motors เพื่อให้เป็นทางเลือกนอกเหนือจากรถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าล้วนซึ่งทั้ง 2 ค่ายได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ผลพวงจากการร่วมมือกันวิจัยและพัฒนาทำให้ต้นทุนของการผลิตเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนลดลงกว่า 2 ใน 3 เมื่อเทียบกับ FCX Clarity
Honda ยังได้ทำการแต่งหน้าทาปากเพื่อให้มีความแตกต่างจากเวอร์ชั่นอื่นๆ โดยเฉพาะงานออกแบบบริเวณด้านหน้าที่มาพร้อมกระจังหน้าและกันชนหน้าชุดใหม่ อย่างไรก็ตามยังคงใช้ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วลาย 10 ก้าน เหมือนกับรุ่นอื่นๆ รวมไปถึงการติดตั้งแผ่น เก็บงานบริเวณใต้ท้องที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับเวอร์ชัน e:FCEV เพื่อให้ลดแรงต้านอากาศลงได้อีกเล็กน้อย
กำหนดการวางจำหน่ายของเวอร์ชั่นจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2025 โดยมีให้เลือกเพียงรุ่นย่อยเดียวนั่นก็คือรุ่น Touring ที่มาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงจาก Bose จำนวน 12 ลำโพง ระบบปรับอากาศอัจฉริยะ 3 โซน การเชื่อมต่อและความปลอดภัยต่างๆ อย่างครบครัน โดย Honda จะไม่วางจำหน่ายในรูปแบบขายขาด แต่จะใช้ในรูปแบบเช่าซื้อเช่นเดียวกับรถยนต์รุ่น FCX Clarity เจเนอเรชั่นก่อนๆ
ที่มา: Motor1