Hertz บริษัทรถเช่าชั้นนำของโลก ซึ่งเคยเป็นผู้ให้บริการรถเช่าที่ป่าวประกาศต่อหน้าเวทีนโยบายของบรรดาบริษัทรถเช่าด้วยกันว่า จะเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบการรถเช่าของกลุ่ม EV ด้วยการเปิดให้ลูกค้าได้เช่า Tesla และ Polestar ซึ่งมีให้เลือกจำนวนมาก ซึ่งในภายหลังก็มีเสียงตอบรับเป็นอย่างดี

 

จนกระทั่งล่าสุด Hertz ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ ด้วยการเตรียมขายทอดตลาดรถ EV จำนวนกว่า 20,000 คัน ทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจากรถ EV มีความเสี่ยงต่อค่าใช้จ่ายในการซ่อมเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่สูงกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน จึงทำให้กลับลำเทขายรถ EV ในฟลีทของตนจำนวนมาก โดยเลือกออกแคมเปญชื่อ Rent2Buy ซึ่งในขณะนี้มีรถ Tesla ให้เลือกซื้อจำนวนกว่า 400 คัน โดยทั้งหมด มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 18,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 637,317 บาท เท่านั้น

เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเมื่อย้อนกลับไปในเดือนตุลาคม 2021 ที่ทาง Hertz ได้เอาตัวรอดจากการล้มละลาย และประกาศที่จะเพิ่มฟลีทรถ Tesla Model 3 ให้ลูกค้าสามารถเลือกเช่าได้ พร้อมทั้งตั้งเป้าที่จะขยายฟลีทรถ Tesla ที่ผลิตจากสหรัฐอเมริกา ให้มีจำนวน 1 แสนคันภายในปี 2022 โดยการลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าอยู่ประมาณ 4.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

 

อย่างไรก็ตามโครงการนี้ถูกพับเก็บเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากรายได้ที่เกิดขึ้นตลอดปี 2022 นั้นไม่สามารถที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ จึงทำให้ในปี 2023 Hertz มีรถ Tesla อยู่ในฟลีทเป็นจำนวน 48,000 คัน เท่านั้น รวมไปถึงการพับโครงการการเพิ่มจำนวนรถแบรนด์ Polestar เข้ามาในฟลีทดังกล่าวด้วยเช่นกัน

Stephen Scherr CEO ของ Hertz ยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทำให้ทางบริษัทตัดสินใจเทขายฟลีทรถ EV ดังกล่าว ถึงแม้จะมีค่าบำรุงรักษาตามรอบต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในก็ตาม รวมไปถึงบริษัทรถเช่ารายใหญ่อย่าง Sixt ที่ต่างเทขาย Tesla ก่อนกำหนด เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่ต้องแบกรับในอนาคต แต่กลับเลือกที่จะเก็บ BYD เอาไว้ในฟลีทต่อไป

ที่มา: Carscoops