การรีวิวรถยนต์ระดับ Luxury Full Size ด้วยการจั่วหัวว่าเป็นเหมือนกับ Private Jet นั้น ถูกใช้มาโดยบ่อยครั้งจนอาจเรียกได้ว่าเป็น Cliche ของวงการสื่อยานยนต์ทั่วโลกเลยทีเดียว

ก็ในเมื่อการจินตนาการถึงการเดินทางด้วย Private Jet ซึ่งเป็นสิ่งหรูหรามีเฉพาะแต่บรรดาเศรษฐีเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้สัมผัส อีกทั้งยังเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย ถ้าหากไม่ตกหลุมอากาศผู้โดยสารก็แทบจะไม่ได้สัมผัสแรงสะเทือนใดเลย และยังเป็นการเดินทางที่มีความรวดเร็วทันใจ ไม่ว่าไกลแค่ไหนก็สามารถที่จะถึงที่หมายได้ในเวลาอันสั้น มันไม่แปลกเลยที่ยานพาหนะบนบกก็จะถูกเปรียบเทียบกับการเดินทางระดับสูงเช่นนั้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ เราสามารถนำมาเปรียบเทียบกับรถที่เราจะมาทำการรีวิวในวันนี้อย่าง Mercedes-Maybach S 580 e Premium (Plug-in Hybrid) ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าการเปรียบเทียบรถกับ Private Jet นั้น แม้ว่าอาจจะดูจำเจ แต่ก็เข้าใจได้ง่าย ถึงกระนั้น สำหรับรถรุ่นนี้ การจะบอกว่ามันเป็นเพียง Private Jet อย่างเดียว ก็จะไม่สามารถอธิบายถึงลักษณะที่แท้จริงของรถรุ่นนี้ได้ทั้งหมด…

เพราะมันคือ Private Jet เต้นระบำ!

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? อ่านต่อไปสิครับ แล้วจะได้คำตอบ

 

เมื่อไม่นานนี้ ทาง Mercedes-Benz Thailand ได้เชิญทีมงาน Headlightmag ไปออกทริปขับขี่รถยนต์รุ่นพิเศษต่าง ๆ ณ จังหวัดกระบี่ ซึ่งท่านผู้อ่านและผู้ชมก็คงจะได้เห็นคอนเทนต์ทยอยลงกันเรื่อย ๆ สำหรับวันนี้ เราจะมาบอกเล่าประสบการณ์การขับขี่ของหนึ่งในรถที่เราได้ไปสัมผัสกัน นั่นคือ Maybach S 580 e นั่นเอง

Mercedes-Maybach S-Class เป็นหนึ่งในรถตระกูล Mercedes-Benz S-Class ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนโฉมเป็นเจเนอเรชั่นที่ 7 รหัสตัวถัง W223 เมื่อปี 2021 และถือได้ว่าเป็นรุ่นสูงสุดของโมเดล

 

Mercedes-Maybach S 580 4MATIC Premium ถูกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยเดือน สิงหาคม 2022 ในฐานะรถนำเข้าทั้งคันแบบ CBU ราคาจำหน่าย 18,300,000 บาท

ก่อนที่ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2023 มีการเปิดตัวเวอร์ชั่นผลิตในประเทศแบบ CKD ที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ อีกทั้งยังปรับขุมพลังมาเป็นแบบ Plug-in Hybrid ในเวอร์ชั่นขับเคลื่อนล้อหลังแทนรุ่น S 580 4MATIC นั่นทำให้ราคาจำหน่ายของ Mercedes-Maybach S 580 e Premium ลดลงไปจากรุ่น S 580 มากกว่า 8.4 ล้านบาท หั่นราคาลงมาเหลือเพียง 9,880,000 บาท แม้ว่ายังจะฟังดูมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ราคาจำหน่ายกระโดดไปเกือบ 18 ล้านบาทแล้วนั้น นับได้ว่าทำให้รถรุ่นนี้มีความคุ้มค่ามากกว่าเดิมอย่างเทียบไม่ได้

ขนาดและมิติตัวถัง / Dimension

  • ความยาว  5,469 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง  1,921 มิลลิเมตร
  • ความสูง  1,510 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ 3,396 มิลลิเมตร
  • ความจุถังนำ้มัน 67 ลิตร
  • พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 325 ลิตร

มิติตัวถังของ Maybach S 580 นั้น ความแตกต่างจาก S-Class ทั่วไป อยู่ที่ระยะของฐานล้อ ซึ่งส่งผลต่อความยาวโดยรวม โดยทั้งระยะฐานล้อและความยาวโดยรวมนั้น ยาวกว่า S-Class ปกติอยู่ 180 มิลลิเมตร

รูปลักษณ์ภายนอก / Exterior

สิ่งแรกที่เด่นชัดที่สุดของ Mercedes Maybach S 580 e คือความคล้ายคลึงในเรื่องรูปโครงตัวถังเมื่อเปรียบเทียบกับ Mercedes Benz S-Class รุ่นทั่วไป ถ้าหากนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่ Daimler นำแบรนด์ Maybach กลับมาทำตลาดใหม่ในต้นยุค 2000 Maybach เป็นรถที่ได้ตัวถังแบบพิเศษ แม้ว่าจะแชร์พื้นฐานจาก S-Class แต่ชิ้นส่วนต่าง ๆ นั้นใช้ร่วมกันไม่ได้

 

ในขณะที่ Mercedes Maybach S 580 e ครั้งเอาชื่อกลับมาเป็นรุ่นย่อยสูงสุดครั้งใหม่นี้ ที่เริ่มต้นจาก S-Class เจเนอเรชั่นที่แล้ว จะบอกว่าชิ้นส่วนตัวถังเหมือนกับ S-Class ปกติทั้งหมด ก็ไม่ถูกต้องนั้น เพราะในรายละเอียดต่าง ๆ มีการปรับชิ้นส่วนตัวถังให้แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ตั้งแต่ด้านหน้าสุดของตัวรถ กระจังหน้านั้นถูกออกแบบเพื่อใช้กับ Mercedes Maybach โดยเฉพาะ โดยลวดลายเป็นแนวตั้งตรง ซึ่งสอดรับกับเส้นโลหะบนฝากระโปรงหน้าที่เสริมเข้ามา เปลือกกันชนหน้าก็มีความแตกต่างเช่นกัน โดยช่องดักลมด้านข้างนั้นเป็นรูปทรงรีมากกว่า โค้งมนมากกว่า และมีการตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยมคาดยาว

 

 

สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ คือโคมไฟหน้าแบบ Digital Light ซึ่งถ้าหากเราบอกว่าเป็นหนึ่งในไฟหน้าสำหรับรถยนต์ ที่ดีเยี่ยมที่สุดในรถยนต์ทุกระดับ ก็คงไม่ผิดนัก ทั้งในเรื่องของความสวยงาม ความคมของเส้นแสงที่ฉายส่องเส้นทางด้านหน้า รวมไปถึงความสามารถในการลดแสงรบกวนด้วยการตัดการฉายแสงบางจุด ซึ่งถ้าหากผู้อ่านเคยเห็นในวีดีโอโปรโมท ก็อาจจะดูน่าทึ่ง แต่เทียบไม่ได้เลยกับเมื่อเราได้ทำการทดสอบจริงบนท้องถนน

นอกจากไฟหน้า Digital Light ที่สามารถตัดช่องแสงรบกวนต่อวัตถุตรงหน้า จะทำให้ไม่ไปสะท้อนเข้ากระจกมองหลังของยานพาหนะขนาดเล็กกว่าด้านหน้าแล้วนั้น ยังทำให้ผู้ขับขี่มองเห็นว่าที่ด้านหน้านั้นมีวัตถุอะไรบางอย่าง ซึ่งอาจจะสังเกตได้ยากถ้าหากมีเพียงแสงไฟส่องสว่างขนาดเล็ก

 

ถัดมาในส่วนของด้านข้างนั้น จะทำให้เราเห็นความแตกต่างในเรื่องโครงสร้างที่ชัดเจนที่สุด นั่นคือ ประตูหลังที่ยาวกว่าของ S-Class อย่างชัดเจน จากการที่ Mercedes Maybach ถูกขยับฐานล้อออกไปอีก 180 มิลลิเมตร ดังนั้นประตูหลังจึงแตกต่างกัน และเส้นโครเมี่ยมด้านล่างประตูก็ต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่พิเศษเช่นกัน แต่ถ้าหากยังรู้สึกว่าไม่พอ บริเวณเสา B ก็มีการประดับด้วยโลหะปัดเงา และมีตรา Maybach ติดอยู่ที่บริเวณเสา C

ในส่วนของด้านท้ายนั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจาก S-Class ปกติมากนัก มีเพียงการประดับชิ้นส่วนชายล่างกันชนที่แตกต่างออกไป รับกับช่องของท่อไอเสีย และโลโก้ที่ระบุตรงฝาท้ายว่านี่คือ Mercedes Maybach ไฟท้ายนั้นเป็นแบบ LED RGBW ซึ่งในเวลาปกติ เม็ดส่องสว่างจะแสดงสีเป็นสีแดง แต่ถ้าหากต้องเปลี่ยนฟังก์ชั่นเป็นไฟเลี้ยว หรือไฟถอย ก็จะสามารถเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม หรือสีขาวตามจำเป็นได้

 

ทั้งหมดถูกปิดท้ายด้วยล้ออัลลอย Maybach Forged Wheel ขนาด 20 นิ้ว ซึ่งคู่กับยางขนาดด้านหน้า 255/40R20 ด้านหลัง 285/35R20 ล้อชนิดนี้เป็นลายตัน 5 ก้านสีโครเมี่ยม ซึ่งดูหรูหราแตกต่างสไตล์รถ Luxury ที่เราคุ้นตากัน

รถคันที่เราลองขับ เป็นสีทอง Kalahari Gold ซึ่งเป็นสีพิเศษ Manufaktur เพิ่มเงิน 500,000 บาท

ระบบกุญแจ เป็นแบบ KEYLESS-GO พร้อมกุญแจ Wave key ซึ่งปลดล็อกให้อัตโนมัติเมื่ออยู่ใกล้ประตู และหากต้องการสั่งล็อกประตู ก็สามารถทำได้โดยใช้นิ้วแตะที่ช่องสี่เหลี่ยมด้านข้างมือจับประตูทั้ง 4 บาน หรือจะกดปุ่มล็อก – ปลดล็อก จากกุญแจรีโมทก็ทำได้ นอกจากนี้ยังมีระบบสวิตช์ปลดล็อกฝาท้าย และระบบ Immobilizer และระบบเตะเปิดฝาท้าย Hands-Free Access

 

ภายในห้องโดยสาร / Interior

สิ่งแรกที่สะดุดทุกสายตาเมื่อเปิดประตู Mercedes Maybach S 580 e Premium คือไฟ Welcome Light ที่ส่องลงพื้นเป็นรูปตรา Maybach และเมื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับ เราสามารถอธิบายความรู้สึกได้ว่าคล้ายกับเมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอก เนื่องจากมันมีความคล้ายคลึงกับ Mercedes Benz S-Class รุ่นปกติอยู่มากพอสมควร โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้าง ตำแหน่ง รูปทรงของชิ้นส่วนต่าง ๆ แต่ถ้าสังเกตในรายละเอียดดี ๆ แล้ว จะพบว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นมีอยู่มากพอสมควร

 

เริ่มต้นที่สีของภายใน ซึ่ง Maybach S 580 e ทุกคันจะเป็นสี Macchiato Beige ซึ่งเป็นสีทางเลือกสำหรับ S 350 d ด้วย แต่ลายไม้ Manufaktur Brown Walnut นั้น มีให้เฉพาะกับ Maybach โดยในส่วนของวัสดุหุ้มเบาะนั้นเป็นหนัง Nappa ทั้งคัน และผ้าหลังคาเป็นผ้า Dynamica Microfiber

เบาะนั่งในตำแหน่งด้านหน้าของ Mercedes Maybach S 580 e เหมือนกับของ S-Class ปกติ ซึ่งหมายความว่ามันไม่เหมือนเบาะนั่งรถยนต์ แต่เหมือนโซฟาที่พร้อมจะรองรับให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าเดินทางไกลได้อย่างไม่เหนื่อยล้าอ่อนแรงแต่อย่างใด อีกทั้งระบบปรับไฟฟ้าที่มีความละเอียด ควบคู่กับพวงมาลัยปรับสูงต่ำ และเข้าออก Telescopic ทำให้ผู้ขับขี่สามารถหาตำแหน่งที่นั่งขับซึ่งพอดีได้อย่างไม่ยากเย็นเลย

 

พวงมาลัยเป็นแบบ 3 ก้าน รูปทรงเหมือนกับของ S-Class รุ่นปกติ หุ้มด้วยหนัง Nappa เช่นเดียวกัน และมาพร้อมกับระบบ Touch Control ตามสไตล์ของ Mercedes ในปัจจุบัน

มาตรวัดนั้นเป็นแบบดิจิตอล เช่นกัน เป็นไปตามสไตล์ของ Mercedes ในปัจจุบัน แต่สำหรับ Mercedes Maybach จะมีโหมดแสดงผล Maybach โดยเฉพาะ ซึ่งคล้ายกับโหมด Classic เดิม แต่มีโลโก้และรูปแบบเฉพาะที่แตกต่างออกไป

 

บริเวณคอนโซลกลาง มีหน้าจอ OLED ขนาด 12.8 นิ้ว สำหรับระบบ Infotainment และระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ Climate Control ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการ MBUX ซึ่งรองรับระบบสั่งการด้วยเสียงผ่านฟังก์ชั่น Hey Mercedes และสั่งการด้วยท่าทาง Gesture Control 2.0 อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อระบบ Apple Carplay/Android Auto เพื่อความสะดวกได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเราพูดถึงรถ Ultra Luxury เช่นนี้ ไฮไลท์หลักจะไปอยู่ที่ส่วนของผู้โดยสารตอนหน้าได้กระไร ส่วนของผู้โดยสารตอนหลังต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งด้วยฐานล้อที่ยาวขึ้น รวมไปถึงการขยับตัวเบาะให้ถอยหลังร่นไป จนพนักพิงศีรษะอยู่บริเวณกระจก Opera ซึ่งสำหรับ Mercedes Maybach S-Class นั้นจะติดกับตัวโครงรถ ไม่ได้ฝังอยู่ในประตูแบบ S-Class รุ่นทั่วไป

 

เหตุผลที่ Mercedes Maybach S 580 e วางตำแหน่งเบาะผู้โดยสารตอนหลังไว้เช่นนี้ ก็เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้นั่ง ในชาติที่ข้อบังคับเรื่องการติดฟิล์มไม่ให้มืดทึบจนเกินไป นี่คือวิธีการให้ผู้โดยสารระดับ VIP สามารถซ่อนตัวเองอยู่ในรถได้ แต่ถ้าหากยังไม่เพียงพอ Mercedes Maybach S 580 e ยังมาพร้อมกับม่านบังแดดปรับขึ้นลงระบบไฟฟ้า ทั้งบริเวณประตูหลัง และกระจกหลัง

นอกเหนือจากนี้ เบาะนั่งยังถูกปรับมาเป็นแบบ Captain Chair แบ่งแยกสองฝั่ง ปรับด้วยไฟฟ้า และมีระบบนวดน่องเพื่อเพิ่มความผ่อนคลาย อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นขยับเลื่อนเบาะผู้โดยสารตอนหน้าออกไป เพื่อเพิ่มพื้นที่วางขา ให้สามารถเหยียดตรงออกไปได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าผู้โดยสารจะมีขาที่ยาวแค่ไหนก็ตาม เป็นอีกหนึ่งข้อดีของฐานล้อที่ยาวขึ้นนั่นเอง

 

 

โดยที่บริเวณตรงกลางถูกเปลี่ยนเป็นคอนโซล ซึ่งมีที่วางแขนขนาดใหญ่ ปิดเหนือช่องเก็บของขนาดยักษ์ ซึ่งด้านในมีการซ่อนช่องชาร์จ USB-C เอาไว้ และยังมีการซ่อนโต๊ะทำงานเอาไว้ด้านในคอนโซลกลาง ถัดมาด้านหน้ามีแท่นวางโทรศัพท์พร้อมแท่นชาร์จไร้สาย ขยับมาด้านล่างมีช่องเก็บของเพิ่มเติม ถัดมาด้านหน้ามีที่วางแก้ว 2 ตำแหน่ง ขนาดเล็กและใหญ่ และปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศแยก 2 ฝั่ง

 

มองขึ้นไปด้านหน้า บริเวณหลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้า มีหน้าจอ Multifunction บนระบบปฏิบัติการ MBUX สำหรับผู้โดยสารตอนหลังแยกเฉพาะ

ระบบเครื่องเสียงของ Mercedes Maybach S 580 e เป็นของ Burmester 3D Surround System ที่มาพร้อมกับลำโพง 15 ตัว ซึ่งเมื่อรวมกับการเก็บเสียงที่ดีเยี่ยมแล้ว ทำให้นี่เป็นหนึ่งในระบบเครื่องเสียงรถยนต์ที่ดีที่สุดที่เงินสามารถซื้อได้ในปัจจุบัน

รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ / Technical Information & Test Drive

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง / Engine & Drivetrain

เครื่องยนต์รหัส M256 เบนซิน 6 สูบแถวเรียง 3.0 ลิตร 2,999 ซีซี กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 92.4 มิลลิเมตร กำลังอัด 15.5 : 1  พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 5,500 – 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,600 – 4,500 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 150 แรงม้า 480 นิวตันเมตร กำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ 510 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic พร้อม Steering Wheel Gear-shift Paddles ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 5.7 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 250 km/h

การชาร์จไฟฟ้า รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 60 kW

 

ขุมพลัง 6 สูบแถวเรียงที่ผสมผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ระบุพละกำลังรวมเอาไว้ที่ 510 แรงม้า ฟังดูเยอะ แต่เราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าด้วยความเป็นรถยาวเกือบ 5 เมตรครึ่ง ยาวกว่ารถบรรทุก 6 ล้อเล็กหลายรุ่น ขุมพลังแบบ Plug-in Hybrid ที่ต้องมีแบตเตอรี่น้ำหนักมาก และยังอัดแน่นมาด้วยส่วนประกอบของความหรูหรา อย่างเช่นกระจกสองชั้น การซับเสียงอย่างเต็มที่ หรือเบาะปรับไฟฟ้าขนาดยักษ์สำหรับรองรับผู้โดยสาร ฯลฯ ทั้งหมดทำให้ Mercedes Maybach S580 e Premium มีน้ำหนักตัวมหาศาลตามที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาทำการทดสอบเหยียบคันเร่งเต็มที่ สิ่งที่เราพบคือ พละกำลังที่ระบุเอาไว้ 510 แรงม้านั้นก็สามารถเชื่อถือได้ มอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง 150 แรงม้า ช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์ 6 สูบ ในการขับเคลื่อนยักษ์ใหญ่สุดหรูคันนี้ พุ่งทะยานออกไปด้วยความรวดเร็วจนเราอาจจะลืมได้ว่า นี่คือรถ Luxury Sedan คันใหญ่ เพราะแรงดึงของมันก็เทียบเท่ากับรถสปอร์ตขนาดเล็กเครื่องยนต์ 4 สูบ พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ ในท้องตลาดได้

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจและหลายคนอาจจะสงสัย ก็คือเรื่องของการสเถียรภาพในขุมกำลัง Hybrid ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเด็นหลักด้วยกัน อย่างแรกเลยคือ การคงไว้ซึ่งพละกำลังตลอดทุกย่านความเร็ว รถ Hybrid โดยปกติทั่วไปหลากหลายรุ่น มักจะมีอัตราเร่งในช่วงความเร็วต่ำ 0-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ไว แต่หลังจากนั้นก็จะหดหายเทียบไม่ได้กับรถสันดาป

สำหรับ Mercedes Maybach S 580 e Premium อัตราเร่งที่ขับเคลื่อนรถได้อย่างว่องไวนั้น ยังคงระดับเอาไว้ได้ค่อนข้างคงที่ แม้กระทั่งอยู่ที่ความเร็วระดับ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปแล้ว นั่นเพราะระบบขับเคลื่อนของรถ เมื่ออยู่ที่ความเร็วสูง จะไม่ได้ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่จะอยู่ที่เครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงซึ่งก็มีพละกำลังพอใช้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้โดดเด่นมากขนาดนั้นเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัว

 

อีกประเด็นหนึ่งของเรื่องสเถียรภาพความว่องไว คือเมื่อแบตเตอรี่สูญเสียการชาร์จไปจนต่ำลง นี่เป็นเรื่องที่รถ Hybrid จำนวนมากต้องประสบพบเจอ คือเมื่อแบตเตอรี่เหลือต่ำมาก ๆ พละกำลังของรถจะตกต่ำลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน

ในการทดสอบครั้งนี้ เราได้ทำการทดสอบอัตราเร่งของ Mercedes Maybach S 580 e เมื่อระดับแบตเตอรี่หมด เหลือ 0% และได้ทดลองชาร์จจนเต็ม 100% ผลที่ออกมาคือ แม้ว่าจะสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของอัตราเร่งบ้าง แต่ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์ รวมไปถึงระบบที่เน้นการขับเคลื่อนโดยเครื่องสันดาปเป็นหลัก การรักษาประสิทธิภาพของตัวรถเอาไว้นั้น ทำได้ค่อนข้างคงที่ แม้แบตเตอรี่จะเหลือ 0% แต่ถ้าหากคุณอยากพุ่งทะยานออกไปเหมือนจรวด ก็ยังสามารถทำได้

นอกจากนี้ ทางเรายังได้ทำการทดสอบการขับขี่ในโหมด All Electric ไฟฟ้าล้วน ซึ่งสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันนั้น เรียกได้ว่าเหลือเฟือ ระยะทางที่วิ่งได้จริงบนหน้าปัด ค่อนข้างตรง และในโหมดนี้ยังสามารถใช้ความเร็วได้มากเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เรียกได้ว่าเป็นรถ Plug-in Hybrid ที่ออกแบบมาได้เหมาะสมสำหรับการใช้งานประจำวัน

ในด้านของระบบส่งกำลัง 9G-Tronic ก็ถูกปรับมาให้เหมาะสมกับตัวรถโดยรวม คือถูกเซ็ตมาให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนิ่มนวล ไม่มีแรงกระตุกหรือกระชาก แม้กระทั่งเมื่ออยู่ในโหมด Sport ก็ไม่ใช่ระบบเกียร์ที่จะสร้างความตื่นเต้น มีเพียงแต่ความสะดวกสบายให้แก่ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารเพียงเท่านั้น

การเก็บเสียงรบกวน และอาการสะท้าน NVH (Noise, Vibration & Harshness)

นอกเหนือจากการติดตั้งวัสดุซับเสียงอัดแน่นมาเต็มคัน รวมไปถึงกระจกสองชั้น Mercedes Maybach S580 e ยังมาพร้อมกับระบบ Active Driving Noise Compensation ที่จะส่งคลื่นเสียงตัดกับความถี่ที่น่ารำคาญ เพื่อลดเสียงรบกวนจากด้านนอกลงไปให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นไปตามความคาดหมาย ระหว่างการขับขี่ เสียงรบกวนจากภายนอกนั้นแทบจะไม่มีอยู่ ไม่ว่าจะเสียงจากยาง เสียงรถคันอื่น ถ้าหากไม่เปิดกระจกออกไปจะไม่มีทางรับรู้ได้เลยว่าเสียงภายนอกนั้นดังขนาดไหน

ในเรื่องของแรงสั่นสะเทือน ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงนั้นมีสมดุลในการจุดระเบิด จึงทำให้เป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานได้เรียบตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งการออกแบบแท่นเครื่องให้ซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ทำให้ความรู้สึกในการขับขี่แทบจะใกล้เคียงกับรถไฟฟ้ามาก สังเกตได้จากการตัดเข้ามาทำงานของเครื่องยนต์จากโหมดไฟฟ้าล้วน ซึ่งถ้าหากไม่ได้ยินเสียงที่แผ่วเบา หรือรอบเครื่องยนต์ที่ดีดขึ้นมาบนมาตรวัดรอบ ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงแรงสั่นได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามความคาดหวังกับรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเดินทางโดยไร้สิ่งรบกวนโดยสิ้นเชิง

ระบบบังคับเลี้ยวและระบบกันสะเทือน / Steering & Suspension

พวงมาลัยของ Mercedes Maybach S580 e Premium ใช้เป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า Electromechanical Power Steering และมาพร้อมกับระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง 4.5 องศา เพื่อลดความกว้างของวงเลี้ยว Turning Radius ที่ความเร็วต่ำ ด้วยการหักล้อสวนทางกับล้อหน้า และเพิ่มสเถียรภาพที่ความเร็วสูงด้วยการหักตามล้อหน้า

 

Mercedes Maybach S 580 eมาพร้อมกับระบบช่วงล่าง Self Leveling AIRMATIC ซึ่งใช้ระบบชุดโช้คอัพ/สปริงแบบถุงลม ซึ่งสามารถรักษาระดับความสูงของตัวรถให้คงที่ได้ตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นช่วงล่างแบบ Active ปรับตามสภาพการขับขี่ได้ โดยคำนึงตั้งแต่โหมดการขับขี่ น้ำหนักบรรทุก ความเร็ว รวมไปถึงสภาพถนนด้วย

ทั้งพวงมาลัย และระบบช่วงล่างนี้เอง เป็นสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราจั่วหัวว่า Mercedes Maybach S580 e นี้ เป็น Private Jet เต้นระบำ

ก่อนอื่นเลยเราต้องพูดถึงส่วนของความเป็น Private Jet เราสามารถอธิบายได้เช่นนี้เพราะ Maybach S580 e ดูดซับแรงสะเทือนจากถนนได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก ในระดับที่ว่าลูกระนาดขนาดเล็กที่ใช้เตือนให้ผู้ขับขี่ชะลอความเร็ว ไม่สามารถสัมผัสได้ทั้งจากแรงสะเทือนของตัวถัง และแรงสะเทือนจากพวงมาลัย ถ้าหากผิวถนนนั้นไม่ได้ขรุขระอย่างแท้จริง จน Motion ของช่วงล่างขยับรวดเร็วกว่าที่ระบบช่วงล่าง AIRMATIC จะสามารถตอบสนองได้ ผู้โดยสารจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าผิวถนนนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร แม้แต่ในโหมดการขับขี่แบบ Sport ก็เป็นเช่นนี้

เมื่อถึงจุดที่ช่วงล่างต้องดูดซับแรงมากเสียหน่อย เช่นบนเนินชะลอความเร็วตามหมู่บ้าน ถ้าหากผู้ขับขี่ไม่สนใจ ยัดใส่เข้าไปด้วยความเร็วสูง แรงสะเทือนที่กระทำขึ้นมา ก็อาจจะพอ ๆ กับเราขับรถปกติทั่วไป ผ่านลูกระนาดขนาดเล็กที่ Maybach S580 e ทำให้หายไปได้โดยสิ้นเชิงนั่นเองครับ

ทั้งหมดนี้หมายความว่า ในขณะกำลังโดยสารตอนหลัง ซึ่งกระจกสองชั้น รวมไปถึงระบบ Noise Cancelling Control ทำให้ภายในนั้นเงียบเชียบ เบาะโดยสารออกแบบมาให้เหมือนเก้าอี้โซฟาขนาดยักษ์ และแรงสะเทือนจากช่วงล่างนั้นมีน้อยมากเช่นกัน สิ่งเดียวที่จะสามารถทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสั่นสะเทือน และไม่สบายได้ ก็มีแต่พลขับเพียงอย่างเดียว ซึ่งนั่นจะนำพามาถึงส่วนที่สอง คือส่วนของการเต้นระบำ

 

ช่วงล่าง AIRMATIC ของ Mercedes Maybach S 580 e ด้วยความสามารถในการปรับระดับตัวของมันเองได้ นอกเหนือจากจะดูดซับแรงสะเทือนเมื่อเกิด Motion ขยับด้านหน้า/หลัง หรือ Fore/aft Motion แล้ว ในการขยับจากด้านข้าง หรือ Side/side Motion ซึ่งจะเกิดขึ้นได้จากการหักเลี้ยว หรือเจอแรงสะเทือนจากผิวถนนที่เอนลาด ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน อธิบายได้คือ เมื่อคุณหักเข้าโค้งด้วยรถ Maybach S 580 e นี้ อาการเอนเอียงของตัวรถจะมีน้อยมาก เนื่องจากช่วงล่างในด้านนอกของตัวรถจะพยายามดันขึ้นเพื่อรักษาระดับของตัวรถเอาไว้

สิ่งที่น่าเซอร์ไพรส์ที่สุด คือเมื่อท่านอ่านอาจจะคิดว่า Motion ของรถขณะเลี้ยวเช่นนี้ น่าจะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ผิดนักเท่าไหร่ เนื่องจากการซับแรงสะเทือนที่ยอดเยี่ยม ทำให้อาการโดยปกติของรถเมื่อกำลังถึงจุดสูงสุดของการเข้าโค้ง ไม่ส่งสัญญาณใด ๆ กลับมาที่ผู้ขับขี่เลย อันนั้นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่ด้วยความสามารถในการรักษาระดับของตัวรถเอาไว้ นั่นทำให้ผู้ขับขี่สามารถจับสัมผัสได้จากการหมุนของตัวรถเองเพียงอย่างเดียว ถ้าหากรถเกิด Understeer หน้ารถก็จะบานออก และเมื่อเติมคันเร่งมากไป ท้ายรถไหลออก ทั้งหมดสัมผัสได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องอาศัยแรงที่กระทำกลับขึ้นมาบนพวงมาลัย และผู้ขับขี่ก็สามารถแก้อาการก่อนที่ระบบ ESP จะทำงานได้ง่าย ๆ

เมื่อรวมกับระบบช่วยเลี้ยวล้อหลัง ทำให้ Mercedes Maybach S 580 e เป็นรถที่การบังคับเลี้ยวที่ความเร็วสูง มีความคล่องตัวมากกว่าที่ขนาดและน้ำหนักของรถจะบ่งบอก ตัวรถนั้นไม่มีอาการโยนออกด้านข้างในแบบที่รถน้ำหนักมากมักจะประสบปัญหาเลย และระบบเลี้ยวล้อหลังก็ช่วยทำให้รถเลี้ยวได้คล่องตัวขึ้น โดยที่ไม่ได้เกิดอันตรายเพราะอาการของรถก็จับได้ง่าย และมีระบบช่วยเหลือที่ทำให้เป็นการยากที่จะทำให้รถเสียอาการจนแก้กลับมาไม่ได้

 

โดยสรุปแล้ว Mercedes Maybach S 580 e เมื่ออยู่ในกำมือของพลขับที่ต้องการทำเวลา จะกลายมาเป็นรถที่ตอบสนองการบังคับควบคุม และทำความเร็วในการเดินทางได้อย่างมาก ความรู้สึกเมื่อขับรถรุ่นนี้ไปในทางที่คดเคี้ยว เหมือนกับเมื่อคุณเต้นระบำได้อย่างลื่นไหลและสมบูรณ์แบบ มันเป็นความรู้สึก Satisfying พอ ๆ กับการใช้มือลูบไปบนผ้าสักหลาดเลยละครับ

อย่างไรก็ตาม รถที่มีลักษณะเช่นนี้ และถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ เนื่องจากความสามารถในการขับขี่ของแต่ละคนไม่เท่ากัน เราไม่แนะนำให้ผู้ขับขี่พยายาม Defeat ระบบช่วยเหลือการขับขี่ อย่างระบบควบคุมการทรงตัว ESP ซึ่งเท่าที่เราลองหาดูก็ไม่ได้มีอยู่ในเมนูที่ปรับเปลี่ยนได้ง่าย เรามองว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะเห็นได้ชัดว่า Mercedes Maybach S 580 e ถูกออกแบบมาให้ช่วงล่าง พวงมาลัย ทำงานร่วมกับระบบ ESP อย่างชัดเจน แต่นี่ก็เป็นการมองนอกเหนือจากจุดประสงค์หลักของรถคันนี้ไปแล้ว

ระบบห้ามล้อ / Brake

Mercedes Maybach S 580 e ใช้ปั้มเบรก และดิสก์เบรกขนาดยักษ์ทั้ง 4 ล้อ โดยด้านหน้านั้นเป็นแบบมีครีบระบายความร้อน และเจาะรู ส่วนด้านหลังมีเพียงครีบระบายความร้อน ระบบเบรกของ Maybach S 580 e ทำงานร่วมกับระบบ Regenerative Braking ของมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานตั้งแต่คนขับยกคันเร่ง

ความรู้สึกของแป้นเบรก สำหรับผู้ที่ไม่เคยขับมาก่อนนั้น จะมีความแปลกเป็นอย่างมาก เนื่องจากการทำงานร่วมกับระบบ Regen Braking จึงทำให้ระยะเหยียบ แตกต่างกันแทบจะในทุกครั้งที่เราเบรก นี่เป็นแป้นเบรกที่ไม่มีความ Linear เลยแม้แต่นิดเดียวในเรื่องของระยะเหยียบ

อย่างไรก็ตาม แป้นเบรกนี้ยังสามารถควบคุมได้ง่าย เนื่องจากน้ำหนักของแป้นนั้นยังคงมีความ Linear อยู่ เมื่อขับขี่ในระดับปกติ เหมือนกับมีผู้โดยสารตอนหลังที่อยากพักผ่อน การขับให้นิ่มนวลไม่มีแรงสะเทือนนั้นทำได้ง่าย

ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขับขี่ต้องการทำความเร็ว และใช้เบรกหนักขึ้นมากว่าปกติเสียหน่อย การควบคุมแป้นเบรกให้หน่วงความเร็วได้ตามต้องการนั้นทำได้ยากกว่า และบางครั้งอาจจะทำให้คนขับเบรกลึกมากเกินคาด เพราะระยะเหยียบที่ไม่เสมอกันนั่นเอง แต่ถ้าหากต้องการหยุดรถอย่างทันท่วงทีด้วยการเหยียบเบรกมิดให้ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ทำงาน ตัวรถก็จะหยุดได้ในระยะที่เท่า ๆ กันทุกครั้ง อย่างไรก็ดี คงไม่มีใครที่คิดจะขับเช่นนั้นตลอดเวลา จริงไหมครับ?

ระบบความปลอดภัย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ / Safety Features and Driving assistance

  • ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistant System
  • ระบบรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Active Distance Assist DISTRONIC
  • ระบบรักษารถให้อยู่ในเลน Active Lane Keeping Assist
  • ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย และเตือนเมื่อปล่อยมือ Active Steering Assist with Hands-off Warning
  • ระบบหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน Emergency Stop Assist
  • ระบบเบรกอัตโนมัติเมื่อพบตรวจรถยนต์ จักรยานยนต์ และคนข้ามถนน Active Brake Assist
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา Active Blind Spot Assist
  • ระบบเตือนขณะเปิดประตูรถ Exit Waring
  • ระบบตรวจจับเครื่องหมายจราจร Trafic Sign Assist
  • ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ ATTENSION ASSIST
  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ PRE-SAFE SYSTEM
  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุสำหรับด้านข้าง PRE-SAFE SYSTEM Impulse Side System
  • ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง PRE-SAFE Rear System
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัยด้านหน้า สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 4 ตำแหน่ง
  • ม่านถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่ง
  • ถุงลมเข็มขัดนิรภัย Beltbag
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control
  • ระบบจำกัดความเร็ว Speedtronic
  • ระบบเบรก ABS / EBD / BA
  • ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP
  • ระบบเบรก Adaptive Brake พร้อมฟังก์ชั่น Hold
  • ระบบเตือนรถในมุมอับสายตา Blind Spot Assist
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill-Start Assist
  • ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉิน Adaptive Brake Light
  • ระบบเบรก Adaptive Brake พร้อมฟังก์ชั่น Hold และ Hill Start Assist
  • ระบบช่วยเบรก Active Brake Assist
  • ระบบเตือนให้นำรถเข้าศูนย์บริการ ASSYST Service Interval indicator
  • ระบบเตือนแรงดันลมยาง Tyre Pressure Loss warning system
  • ระบบช่วยจอดแบบอัตโนมัติ Active Parking Assist

สรุป / Conclusion

ขับเองก็ดี นั่งโดยสารก็สบาย ความคล่องตัวสูงกว่าที่คาดคิด เหมาะสำหรับการเดินทางด้วยความเร็วสูงถ้าหากเส้นทางไม่ไกลพอ หรือไม่มีสนามบินให้ Private Jet ลงจอด

ในวันที่ 23 กันยายน 2013 Mercedes Benz ได้ปล่อยโฆษณาตัวหนึ่งชื่อว่า “Chicken” ออกมา เพื่อทำการโปรโมทช่วงล่าง Magic Body Control โดยโฆษณาตัวนี้ทำการเปรียบเทียบความรู้สึกของการขับขี่รถเข้ากับหัวของไก่ที่จะไม่ขยับตามตัว เหมือนกับมีระบบ Stabilizer ที่รักษาสเถียรภาพเอาไว้ตลอดเวลา โฆษณาชิ้นนี้ ถ้าหากท่านไม่เคยเห็น เราอยากให้ท่านลองรับชมดู ในปัจจุบันนี้ ระบบ Magic Body Control ซึ่งถูกพัฒนาต่อยอดมาจากระบบ Active Body Control ซึ่งใช้ไฮดรอลิกควบคุม ได้ถูกยกเลิกการใช้งาน เปลี่ยนมาเป็นช่วงล่างระบบลม AIRMATIC พร้อม Level Control แทน

แม้รูปแบบจะเปลี่ยนไป คาแรกเตอร์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในโฆษณาชุดนั้น ก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้ ความรู้สึกของตัวรถที่รักษาระดับคงที่เอาไว้ตลอดนั้น Mercedes-Benz เคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่าเหมือนพรมวิเศษของอะลาดิน ซึ่งคงจะไม่มีใครเคยสัมผัส แต่เราสามารถที่จะสัมผัสระบบช่วงล่างของ Mercedes Maybach S 580 e Premium ได้

 

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ความคล่องตัวและความสามารถในการรักษาการทรงตัวของรถรุ่นนี้ ทำให้แม้แต่ผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ก็สามารถที่จะสนุกไปกับการควบคุม Mercedes Maybach S 580 e ถ้าหากวันใดท่านเจ้าของรถอยากจะขับเอง รถคันนี้ก็ตอบสนองให้ได้ดีเกินคาด มันอาจจะไม่สามารถเทียบกับรถสปอร์ตได้ รถยาว 5.469 เมตรที่ไหนจะทำได้ละครับ แต่ถ้าหากท่านคุ้นชินกับ Mercedes Benz S-Class รุ่นอื่น ๆ ในอดีต ที่ให้ความรู้สึกหนักแน่นมั่นคง แต่ไม่คล่องตัว เราก็อยากให้ท่านได้ลองสัมผัส Mercedes Maybach S 580 e Premium นี้กัน

 

เมื่อรวมกับความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ทั้งความกว้างขวางของพื้นที่ รวมไปถึงเบาะนั่งที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับและให้ความสบายเป็นหลัก รวมไปถึงขุมพลังที่ให้พละกำลังรวม 510 แรงม้า ทั้งหมดทำให้ Mercedes Maybach S 580 e Premium เป็นรถที่เราให้ข้อสรุปได้ว่า ขับเองก็ดี และนั่งโดยสารก็สบาย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับเดินทางไกลด้วยความรวดเร็ว ถ้าหากไปในพื้นที่ที่ไม่มีที่ให้จอด Private Jet นี่ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว

อีกทั้งราคาค่าตัวที่ 9,880,000 บาท อานิสงค์จากการนำเข้ามาประกอบในประเทศไทย และอัตราภาษีสรรพสามิตของรถ Plug-in Hybrid ที่ถูกกว่า ก็ทำให้ Mercedes Maybach S 580 e Premium เป็นรถยนต์ Ultra Luxury ที่จับต้องได้ง่ายมากขึ้น คนทั่วไปยังซื้อกันไม่ได้หรอกครับ แต่กลุ่มคนที่มีเงินซื้อรถระดับนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะซื้อของแบบไม่ยั้งคิด ไม่ดูราคา ความคุ้มค่าก็ยังเป็นสิ่งที่คำนึงถึงอยู่

 


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด

เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

Burapat Roongluksamesri (BorisJeam)

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่ายรถยนต์ในประเทศ เป็นผลงานของ J!MMY

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
กันยายน 2023

Copyright (c) 2023 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole 
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
September 2023