เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดภายใต้ความร่วมมือระหว่างยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์และบริษัทเพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลกดังจะเห็นได้จากความร่วมมือที่มีกันอยู่ทั่วไปตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ เพื่อให้ได้สุดยอดแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของความเร็วในการประจุไฟฟ้าหรือการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพและการเพิ่มระยะทางต่อ 1 รอบการชาร์จให้มากขึ้นอย่างมีนัยอย่างสำคัญ
ค่ายรถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยเบอร์ต้นอย่าง Toyota ที่มีจุดอ่อนในเรื่องของระยะทางต่อ 1 รอบการชาร์จซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งจากหลากค่ายรถยนต์ในปัจจุบัน ได้ออกมาประกาศถึงแนวทางการพัฒนาแบตเตอรี่ในอีก 3-4 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งตั้งเป้าให้มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อ 1 รอบการชาร์จมากถึง 805 กิโลเมตร นับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ทำได้ในระดับ 300-400 กิโลเมตรเท่านั้น
ผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้นี้ มาจากความร่วมมือต่างๆ ของค่ายกับบรรดาผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำของโลกโดยไม่ยึดติดและปิดกั้นโอกาสของการทำธุรกิจเนื่องจาก toyota เองอาจจะมีความถนัดในการทำขุมพลังทางเลือกอื่นๆโดยเฉพาะ Hydrogen fuel cell ดังนั้น การพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมกับคู่แข่ง จึงต้องอาศัยระยะเวลาและความพยายามอย่างสูง ไม่เช่นนั้นการร่วมมือกับผู้ผลิตและบริษัทรายย่อยที่มีความเชี่ยวชาญอาจช่วยร่นระยะเวลาในการพัฒนาและไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้เร็วยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามทางค่ายต้องการที่จะดันให้แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงในด้านการชาร์จเร็วและการปลดปล่อยพลังงานเพื่อให้กำลังไฟฟ้าสูงสุดเปิดตัวก่อนในช่วงปี 2026 ขณะที่แบตเตอรี่ที่มอบระยะทางสูงสุดต่อ 1 การชาร์จกว่า 800 กิโลเมตรจะตามมาในภายหลัง ที่คาดว่าจะเป็นช่วงปี 2027 ประเด็นสำคัญที่ทางค่ายสนใจเป็นอย่างมาก คือการพัฒนาแบตเตอรี่แบบ LFP ให้มีต้นทุนถูกลงกว่าปัจจุบันเป็นอัตราส่วน 40% และยังเพิ่มระยะทางสูงสุดต่อ 1 รอบการชาร์จอีก 20%
แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงที่จะถูกเปิดตัวช่วงปี 2027 ในฐานะเฟส 2 จะสามารถลดต้นทุนได้เป็นอัตราส่วน 10% เมื่อเทียบกับเฟส 1 ที่เปิดตัวในปี 2026 โดยในแบตเตอรี่เฟส 2 นี้จะสามารถชาร์จเร็วโดยใช้เวลาเพียง 20 นาทีและให้ระยะทางหลังการชาร์จได้สูงถึง 1,000 กิโลเมตรเมื่อรวมกับการออกแบบตัวรถให้มีสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่น้อยลงกว่ารถในปัจจุบัน จึงจะทำให้แบตเตอรี่เฟส 2 นี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไฮไลท์ที่ทุกคนรอคอยกันมาเนิ่นนานนั่นก็คือ แบตเตอรี่แบบ solid-state ที่ทาง toyota ได้เคยกล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยประโยชน์หลักของแบตเตอรี่ชนิดนี้ คือการเก็บประจุได้เป็นจำนวนมากโดยที่มีขนาดเล็กลง ทำให้ในพื้นที่ที่เทียบเท่ากับแบตเตอรี่ในปัจจุบัน แบตเตอรี่แบบ solid-state จะสามารถมอบระยะทางสูงสุดต่อ 1 รอบการชาร์จได้สูงถึงระดับ 1,200-1,500 กิโลเมตร พร้อมด้วยการชาร์จเร็วในระยะเวลาเพียงแค่ 10 นาทีแต่สามารถเติมพลังไฟได้ถึง 80%
Toyota ยังได้พยายามลดความหนาของเคสแบตเตอรี่ เพื่อให้ห้องโดยสารมีพื้นที่ในการวางขาอย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมไปถึงการลดความสูงของตัวรถลงได้อีกเล็กน้อยเพื่อปรับปรุงเรื่องสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ ยกตัวอย่างเช่นความสูงของเคสแบตเตอรี่ในรถรุ่น bZ4X ที่มีค่าอยู่ 150 มิลลิเมตร จะสามารถลดลงเหลือเพียง 100-120 มิลลิเมตรเท่านั้น
ที่มา: Carscoops