หลังจากปล่อยให้รอกันมาแสนนานกับรุ่นเปลี่ยนโฉมหรือเจเนอเรชั่นที่ 3 ของรถ Compact SUV ขวัญใจชาวยุโรปอย่าง Volkswagen Tiguan ที่ถูกวางตำแหน่งไว้เพื่อทำตลาดในยุโรปโดยเฉพาะและจำไม่ไปทำตลาดที่อเมริกาเหนืออย่างแน่นอน ต่างจากรุ่นก่อนๆ โดยจะมีให้เลือกเพียงแบบ 2 แถว 5 ที่นั่งเท่านั้น ซึ่ง Volkswagen จะทำการแยกรุ่น 3 แถวไปเป็นอีกรุ่นหนึ่งต่างหากที่แชร์งานวิศวกรรมพื้นฐานร่วมกับ Tayron เวอร์ชั่นจีนและทำตลาดทั้งในภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือ

 

งานวิศวกรรมพื้นฐานของ Tiguan รุ่นที่ 3 นี้ จะใช้ MQB Evo platform ร่วมกันกับ Golf Passat และ Audi A3โดยทั้งหมดนี้มีระยะฐานล้อ 2,681 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้มีระยะวางขาด้านหลังเพิ่มขึ้น 10 มิลลิเมตร พร้อมกับห้องเก็บสัมภาระที่ใหญ่จุใจกว่า 648 ลิตร มากกว่ารุ่นก่อนหน้ากว่า 33 ลิตร ทั้งนี้กลับมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ (Cd.) ลดลงจาก 0.33 เหลือ 0.28 เท่านั้น

 

ภายนอกมาพร้อมรูปลักษณ์ที่แชร์ร่วมกันกับ Passat ใหม่ โดยลดความเหลี่ยมสันจากรุ่นปัจจุบัน เพิ่มเติมความอ่อนช้อยมากยิ่งขึ้น โดยในรุ่นตกแต่งดุดันอย่าง R-Line จะมาพร้อมกันชนหน้าติดตั้งกระจังหน้าขนาดใหญ่ลวดลายตาข่าย พร้อมทริมสีดำเงา โดดเด่นด้วยไฟ LED Bar ลากยาวตลอดความกว้างด้านหน้า ขณะที่รุ่นปกติจะได้รับการติดตั้งกระจังหน้าที่มาพร้อมเส้นโครเมียมแนวนอน 4 เส้น

ด้านข้างยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของ Tiguan ด้วยกระจกหน้าต่างบานใหญ่มอบความปลอดโปร่งภายในห้องโดยสาร พร้อมเส้นสายที่เรียบง่ายตามสไตล์ VW ยุคใหม่ ขณะที่ด้านท้ายมาพร้อมไฟ LED bar ที่มีความยาวตลอดความกว้างของตัวถัง พร้อมด้วยกันชนท้ายที่ตกแต่งตามงานออกแบบด้านหน้าที่ขึ้นกับรุ่นย่อยปกติหรือ R-Line

 

มิติตัวรถ

  • ความยาว 4,509 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,860 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,659 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ 2,680 มิลลิเมตร

 

ภายในมาพร้อมคุณภาพคับแก้วเช่นเดิมโดยที่ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ของรถ Volkswagen รุ่นอื่นๆ โดดเด่นด้วยหน้าจอกลางขนาด 15 นิ้ว ที่แยกส่วนปุ่ม shortcut ไว้ที่ขอบด้านบนและล่าง สำหรับใช้ควบคุมและสั่งการแทนปุ่มกด พร้อมด้วยการเปลี่ยนปุ่มกดบนพวงมาลัยจากปุ่มระบบสัมผัสมาใช้เป็นปุ่มกดแบบธรรมดาตามคำเรียกร้อง เช่นเดียวกันรุ่น Passat และ ID.7 พร้อมด้วยการยกชุดก้านคันเกียร์ติดตั้งไว้หลังพวงมาลัย เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยบริเวณคอนโซลข้างคนขับ

 

ไฮไลท์อยู่ที่ปุ่มหมุนพร้อมหน้าจอแสดงผลสารพัดประโยชน์ ที่สามารถเลือกให้ปรับฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระดับเสียงเพลง โหมดการขับขี่ได้อย่างสะดวกเพียงแค่ปุ่มหมุนและกดภายในชิ้นเดียวเท่านั้น พร้อมด้วยท่านชาร์จโทรศัพท์ไร้สายจำนวน 2 ตำแหน่ง พิเศษด้วยระบบระบายความร้อนจากการนำแอร์มาเป่า

 

ขุมพลังที่หลากหลายและครบทุกความต้องการ โดยเฉพาะขุมพลัง Plug-in hybrid และ Mild hybrid ที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ 1.4 TSI มาเป็น 1.5 TSI evo 2  อันประกอบไปด้วย

เบนซิน Plug-in hybrid

  • รุ่น eHybrid (Low Power) เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร
  • รุ่น eHybrid (High Power) เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 272 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร

ทั้ง 2 รุ่น ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 19.7 kWh และสามารถวิ่งด้วย EV mode ได้ระยะทางสูงสุด 100 กิโลเมตร สามารถชาร์จได้ด้วยไฟฟ้ากระแสตรงกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 50 kW เพื่อที่จะชาร์จจาก 10% – 80% ได้ภายในเวลา 25 นาที สามารถให้ระยะทางเดินทางได้สูงสุดกว่า 1,000 กิโลเมตร

 

เบนซิน Mild hybrid

  • รุ่น 1.5 eTSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48Vกำลังสูงสุด 20 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า

เบนซิน TSI (รหัส EA888 evo4)

  • รุ่น 2.0 TSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TSI 4MOTION เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

 

ดีเซล TDI (รหัส EA288 evo)

  • รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TDI 4MOTION ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

Volkswagen ได้เพิ่มออฟชั่นช่วงล่างแบบ DCC Pro adaptive dampers สุดล้ำ สามารถปรับได้จาก Vehicle Dynamics Manager drive mode ที่ได้แนะนำไปก่อนหน้ากับ Passat และเตรียมวางจำหน่าย Tiguan ในช่วงต้นปี 2024

ที่มา: Carscoops