Skoda เตรียมเปิดตัว Superb และ Kodiaq เจเนอเรชั่นถัดไป ที่ยังคงใช้งานวิศวกรรมพื้นฐานร่วมกัน และจะเป็นรุ่นที่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นสุดท้าย ก่อนที่จะมุ่งเข้าสู่ยุคของขุมพลังไฟฟ้าแบบเต็มตัว โดยล่าสุดได้เผยภาพภายในของทั้ง 2 รุ่น ที่ใช้ธีมการออกแบบร่วมกันจนยากที่จะแยกกันออกเพียงพริบตา แต่ต้องใช้การพิจารณารายละเอียดจึงจะเห็นความแตกต่าง

 

ไฮไลท์อยู่ที่การติดตั้งปุ่มควบคุมแบบหมุนขนาดใหญ่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ โดยไม่ต้องละสายตามามองจอกลางแต่อย่างใด ถึงแม้จอจะมีขนาดใหญ่ถึง 13 นิ้ว แต่ทาง Skoda ได้เล็งเห็นว่า ปุ่มควบคุมยังคงมีความจำเป็นอยู่เพื่อให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของต่างค่าย ซึ่งได้ถูกออกแบบให้เป็น Smart dials ที่มาพร้อมหน้าจอสี โดยปุ่มหมุน 2 วง ด้านนอก จะใช้สำหรับการควบคุมระบบปรับอากาศสำหรับฝั่งผู้ขับขี่และฝั่งผู้โดยสารตามลำดับ ขณะที่ปุ่มควบคุมอันกลางจะสามารถควบคุมได้หลากหลายฟังก์ชั่น ได้แก่ ระดับเสียง ความแรงของพัดลมแอร์ ทิศทางของลมแอร์ การควบคุมฟังก์ชั่นระบบปรับอากาศแบบ Smart รวมไปถึงใช้สำหรับขยายภาพหน้าจอกลางและปรับโหมดการขับขี่

Superb

นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ head-up display ควบคู่กับหน้าจอมาตรวัดขนาด 10 นิ้ว ขณะที่คันเกียร์ได้ถูกย้ายมาไว้ที่คอพวงมาลัยแทนที่บริเวณคอนโซลกลาง เพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บของได้มากขึ้น เพิ่มเติมความสบายยามขับขี่ด้วยเบาะนั่งที่คำนึงถึงความสบายเป็นหลัก พร้อมระบบนวดแผ่นหลัง

 

สำหรับความแตกต่างระหว่างภายในของรุ่น Superb และ Kodiaq จะอยู่ที่รูปทรงของคอนโซลหน้า ขณะที่รุ่นซีดานจะใช้เส้นแนวนอนเป็นหลัก จึงทำให้ช่องแอร์ฝั่งผู้โดยสารของ Superb จะมีการติดตั้งแผงบังลมแนวนอนแบบเรียบง่าย ส่วนรุ่น SUV อย่าง Kodiaq ได้ใช้เส้นสายรูปตัว X สื่อถึงความเป็นรถ Crossover ด้วยการเพิ่มการตกแต่งด้วยแผ่นปิดหนังทรงสี่เหลี่ยมที่บริเวณผู้โดยสารตอนหน้า รวมไปถึงการออกแบบไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารที่แตกต่างกัน ขณะที่ช่องเสียบ USB-C ที่บริเวณกระจกมองหลังและที่ชาร์ทมือถือแบบไร้สายกำลังไฟสูงสุด 15W ซึ่งมาพร้อมระบบช่วยระบายความร้อนอีกด้วย

สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทั้ง 2 รุ่น ตามแบบฉบับ Skoda ได้แก่การติดตั้งช่องเก็บของบริเวณประตูคนขับ พร้อมซ่อนร่มพับขนาดเล็กไว้ พร้อมด้วยแผ่นพลาสติกเกลี่ยแผ่นน้ำแข็งสำหรับเมืองหนาว

Skoda เตรียมเปิดตัว Superb และ Kodiaq ภายในปีนี้ ก่อนที่จะขายและส่งมอบในปี 2024

ที่มา: Motor1