BYD เก็บเกี่ยวยอดขายอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าดุดันไม่เกรงใจใคร เพียงแค่เดือนกรกฎาคม 2023 ก็ขายไปได้มากกว่า 262,161 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 61% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2022 ซึ่งเป็นการทำลายสถิติยอดขายสูงสุดในเดือนมิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา ด้วยยอดขาย 253,046 คัน ส่งผลให้ยอดขายสะสมในปี 2023 มีมากกว่า 1,517,798 คัน ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 กว่า 89%
ยิ่งไปกว่านั้น ยอดการผลิตที่สามารถรองรับยอดขายที่เติบโตได้เช่นนี้ ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้กับแบรนด์ โดยเฉพาะในการส่งมอบรถให้ทันกับความต้องการของลูกค้า โดยยอดผลิตของเดือนกรกฎาคม 2023 มีมากกว่า 272,414 คัน มากกว่าเดือนเดียกวันของปี 2022 กว่า 67%
หากจำแนกยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ที่แบรนด์ BYD จำหน่ายจะมีเพียงรถขุมพลังไฟฟ้าล้วนและ Plug-in hybrid ซึ่งถูกเรียกรวมกันว่า New Energy Vehicles (NEVs) จะพบว่ายอดขายของรถ Plug-in hybrid จำนวน 126,322 คัน ยังน้อยกว่ายอดขายของรถ EV จำนวน 134,783 คัน ทำให้ยอดขายรวมของรถ EV ตลอดปี 2023 พุ่งทะยานสู่ 751,593 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 86%
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณายอดขายรวมของรถ Plug-in hybrid ตลอดปี 2023 จะยังมากกว่ายอดขายรวมของรถ EV ที่ 757,673 คัน คิดเป็นอัตราการเติบโตกว่า 91%
สำหรับแบรนด์ที่กำลังพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยยอดขายจากรถ MPV สุดหรูรุ่น Denza D9 ภายใต้แบรนด์ Denza ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง BYD และ Mercedes-Benz หลังจากไม่ประสบความสำเร็จกับรถ EV ที่เป็นการนำ Mercedes-Benz B-Class รุ่นที่ 2 รหัสตัวถัง W246 มาพัฒนาต่อยอดเป็นรถ EV รุ่น Denza 500 ขณะที่ปัจจุบันมีรุ่นน้องอย่าง Denza N7 เข้ามาทำตลาดกลุ่ม SUV แทนที่ ซึ่งกำลังทยอยส่งมอบตั้งแต่สิ้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
สำหรับตลาดนอกประเทศจีน BYD ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขายกว่า 18,169 คัน ในเดือนกรกฎาคม 2023 ส่งผลให้ยอดส่งออกรวมของปี 2023 อยู่ที่ 74,289 คัน แน่นอนว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในลูกค้าของกลุ่มนี้
ที่มา: Carnewschina