น่าจะตรงกับสุภาษิตไทยที่ว่า “ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก” หลังจาก Nissan ประเทศญี่ปุ่นประกาศเรียกรถยนต์ขุมพลัง e-POWER กว่า 4 รุ่น ได้แก่ Note Note AURA Kicks และ Serena เข้าตรวจสอบเป็นจำนวนกว่า 699,000 คัน ก็ถึงคราวรถ EV ขนานแท้อย่าง Leaf เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่เตรียมโดนเรียกเข้าตรวจสอบเช่นเดียวกัน เนื่องจากปัญหาการเร่งโดยไม่ได้สั่งการจากผู้ขับขี่ หลังจากผู้ขับขี่ยกเลิกฟังก์ชั่น cruise control รวมไปถึงปัญหาการช๊อตในวงจรที่อาจทำให้มอเตอร์เข้าสู่ safe mode และหยุดการทำงานได้ขณะขับขี่

อย่างไรก็ตาม ทางแหล่งข่าวหัวใหญ่อย่าง Bloomberg ได้รับข้อมูลเพียงรถ Leaf ที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น และยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมี Leaf อีกจำนวนมากที่วางจำหน่ายนอกประเทศญี่ปุ่นซึ่งจะได้รับผลประกอบจากปัญหาดังกล่าวอีกหรือไม่ แต่ก็ได้ทำการยืนยันไปยัง Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) หน่วยงานด้านความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐฯ ถึงปัญหาดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีการอัพเดทและชี้แจงแต่อย่างใดในขณะนี้ พร้อมกับ Nissan อเมริกาเหนือเองก็ยังไม่ได้ประกาศเรียกคืนหรือออกหนังสือเตือนไปยังลูกค้าเช่นเดียวกัน

 

ทั้งนี้ หากพิจารณาจำนวนรถที่อาจจะถูกเรียกเข้าตรวจสอบทั้งหมด เนื่องจากปัญหาการเร่งโดยไม่ได้สั่งการจากผู้ขับขี่ หลังจากผู้ขับขี่ยกเลิกฟังก์ชั่น cruise control นับว่ามีปริมาณมากกว่า 1.38 ล้านคัน เมื่อรวมจำนวน Leaf เข้ากับรุ่น Note Note AURA Kicks และ Serena ที่จำหน่ายในญี่ปุ่นเอง รวมไปถึงที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา ภูมิภาคยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ

 

หากย้อนความถึงแคมเปญเรียกตรวจสอบของ Leaf ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ที่กำลังถูกตรวจสอบโดย NHTSA ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการกัดกร่อนของท่อลมระบบเบรกที่อาจทำให้น้ำมันเบรกรั่วได้ หรือแม้กระทั่งปัญหาการสื่อสารการใช้งานระบบละลายน้ำแข็งไม่ถูกต้องผ่านทางคู่มือการใช้งาน

หรือหากย้อนกลับไปถึงปี 2014 ที่ Nissan ได้เสนอเปลี่ยนรถ Leaf เจเนอเรชั่นแรก คันใหม่ให้กับลูกค้า เนื่องด้วยปัญหาจุดเชื่อมตัวถังบางจุดที่ชิ้นส่วนโครงสร้างรองรับการชนด้านหน้าหายไป ซึ่งทำให้ความแข็งแรงตัวรถลดลงเมื่อเกิดการชนหนัก

 

สถานการณ์ของ Leaf รุ่นปัจจุบัน ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2018 ด้วยราคาจำหน่ายที่ชักชวนให้ผู้คนเข้ามาสนใจหันมาใช้รถ EV กันมากขึ้นทั่วโลก ด้วยแบตเตอรี่ความจุเพียง 40 kWh และระบบระบายความร้อนที่ยังล้าหลังเมื่อเทียบกับรถ EV รุ่นอื่นๆ รวมไปถึงระยะทางวิ่งสูงสุดเพียง 240 กิโลเมตร ต่อ 1 รอบการชาร์จ และถึงแม้จะมีทางเลือกแบตเตอรี่ 60 kWh ให้ระยะทางสูงสุด 341 กิโลเมตร ทำให้ยอดขายในช่วงหลังในตลาดโลกอาจไม่ได้ปังเท่าที่ควร

ที่มา: Insideevs