หลังจาก Mercedes-Benz เปิดตัว G500 Final Edition ไม่เพียงข้ามวัน ก็ได้เปิดตัวรุ่นพิเศษ ของรหัสร้อนแรงอย่าง AMG G63 ภายใต้ชื่อ AMG G63 Grand Edition ซึ่งมีจำหน่ายในจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คัน เท่านั้น โดยเติมแต่งภายนอกภายในให้มีความหรูหรามากยิ่งขึ้น สมกับชื่อรุ่นพิเศษนี้ มาพร้อมราคาจำหน่ายไม่ธรรมดา 228,896 ยูโร หรือประมาณ 8,906,122 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า



AMG G63 Grand Edition มาพร้อมกับสีตัวถังพิเศษ สีดำ Manufaktur night black mango ที่มีความพิเศษภายใต้ชั้นสีมากกว่าสีดำทั่วไป พร้อมด้วยการตกแต่งสีสันเพิ่มเติมบริเวณกันชนหน้าและหลังด้วยสีทอง รวมไปถึงชิ้นส่วนแผ่นกันกระแทกใต้กันชนหน้า และโลโก้ดาวสามแฉกบริเวณฝาครอบยางอะไหล่ เพื่อความสปอร์ตแบบไม่ทิ้งความหรูหรา ทาง AMG จึงได้ติดตั้งสติกเกอร์ลวดลายกราฟิกสีทอง kalaharigold รวมไปถึงโลโก้ของ AMG และตราดาวสามแฉกบริเวณภายนอก โดดเด่นด้วยล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว ทำทอง tech gold พร้อมฝาครอบดุมล้อสีดำด้าน และแน่นอนกับตราดาวสามแฉกสีทอง

ภายในมาพร้อมกับการใช้โทนสีดำ-ทองเป็นหลัก เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้สีดำ Manufaktur black Nappa พร้อมเดินด้ายสีทอง นอกจากนี้ยังมีมือจับบริเวณคอนโซลหน้าสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า ที่หุ้มด้วยหนังสีดำเดินด้ายสีทองเช่นเดียวกัน โลโก้ AMG ที่บริเวณแผงประตูสีดำที่มีความพิเศษด้วยการตกแต่งด้วยทริมลวดลายคาร์บอนไฟเบอร์ที่ผสานด้วยเส้นใยสีทองแดงสุดหรูหรา

อย่างไรก็ตาม ในรุ่นพิเศษนี้ไม่มีการปรับแต่งขุมพลังให้แรงขึ้นแต่อย่างใด ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซินรหัส M177 V8 สูบ ขนาด 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี. ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Bi-Turbo กำลังสูงสุด 585 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 850 นิวตัน-เมตร ที่ 2,500 – 3,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT 9G-Tronic ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC all-wheel drive พร้อมฟังก์ชั่นกระจายอัตราส่วนแรงขับเคลื่อนไปที่ล้อหลังสูงถึง 60% ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม.
สำหรับใครที่รอเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนหรือ EQG ที่คาดว่าจะเปิดตัวตามมาภายในปี 2023 นี้ โดยยังใช้ Platform เดียวกันกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นปัจจุบัน ที่คาดว่าจะมาพร้อมกับมอเตอร์จำนวน 4 ตัวสุดทรงพลัง และอาจทำให้เวอร์ชั่นร้อนแรงที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปหยุดการจำหน่ายภายหลังจากนั้นก็เป็นได้
ที่มา: Mercedes-AMG