Aston Martin DB12 เปิดตัวเพื่อมาแทน DB11 ด้วยธีมงานออกแบบใหม่หมดจดและนิยามใหม่แห่งวงการรถสปอร์ตว่า Super tourer แทนที่ Grand Tourer ในรุ่นก่อนหน้านี้ โดยเปิดตัวเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 110 ปี ของ แบรนด์ Aston Martin และหากพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าเป็นการนำ DB11 ซึ่งเปิดตัวตั้งปี 2016 มาพัฒนาต่อยอด มิใช่การสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแต่อย่างใด แต่ก็มีการปรับมากพอที่จะตั้งชื่อรุ่นใหม่ขึ้นมาได้










งานออกแบบด้านหน้าเปลี่ยนไปไม่มากนัก เริ่มที่กันชนหน้าและกระจังหน้าทรงใหม่ ที่เน้นให้มีเส้นสายสอดคล้องกับรุ่นคลาสสิคสมัยยุค 90 มากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยช่องดักลมขนาดใหญ่และไฟหน้า LED ทรงรีแนวตั้ง ตามมาด้วยช่องดักลมที่ฝากระโปรงหน้าและตราสัญลักษณ์ Aston Martin แบบใหม่ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เสา A กลับมีการใช้ร่วมกับ DB11 อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตามด้านข้างมาพร้อมกับกระจกมองข้างทรงใหม่สุดลู่ลม พร้อมกับล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว ซึ่งเคลมว่าเบากว่าล้อเดิมขนาด 20 นิ้ว อยู่ถึง 8 กิโลกรัม รัดด้วยยางที่ออกแบบมาเฉพาะรุ่น Michelin Pilot 5s ติดตั้งฉนวนลดเสียงรบกวนทำจาก Polyurethane อยู่ภายในได้มากถึง 20%








ขณะที่ภายในได้รับการปรับปรุงพอสมควร เพื่อให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยติดตั้งพวงมาลัยออกแบบใหม่หมดจด พร้อมกันแผงคอนโซลหน้าทรงโมเดิร์น จอกลางรุ่นใหม่ขนาด 10.25 นิ้วสำหรับระบบ Infotainment ซึ่งมาพร้อมการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ระบบสั่งงานด้วยเสียง และรองรับการอัพเกรดผ่าน over-the-air (OTA) เพื่อเข้ามาทดแทนระบบ Infotainment อันก่อนหน้าจาก Mercedes-Benz โดยได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองการใช้งานเฉพาะแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น
ช่องแอร์และแผงคอนโซลกลางออกแบบใหม่แบบลอยตัว พร้อมปุ่มปรับคันเกียร์แบบใหม่ ปุ่มกดต่างๆ ได้รับการออกแบบมาอย่างดีด้วยวัสดุคุณภาพสูง พร้อมปุ่มควบคุมการขับขี่ที่เลือกได้จำนวน 5 รูปแบบ พร้อมชุดเครื่องเสียงจำนวน 11 ลำโพง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน หรือเลือกอัพเกรดเป็นแบบ 15 ลำโพง จาก Bowers & Wilkins พร้อมด้วยการตกแต่งภายในห้องโดยสารจัดเต็มจากคาร์บอนไฟเบอร์ อะลูมิเนียมและลายไม้สุดหรู





ขุมพลังเปลี่ยนจาก V12 ของ Aston Martin ไปใช้เครื่องยนต์เบนซิน V8 รหัส M178 จาก AMG ขนาด 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี. เทอร์โบคู่ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 83.0 x 92.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 กำลังสูงสุด 680 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งมากกว่าของเดิมจาก DB11 ที่มี กำลังสูงสุด 535 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 675 นิวตัน-เมตร
- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 3.6 วินาที
- ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 325 km/h
สำหรับการปรับแต่งช่วงล่างให้มีความเฟิร์มขึ้น 7% ด้วยการติดตั้งคานค้ำตัวถังที่บริเวณเครื่องยนต์ และด้านใต้ตัวถังด้านหน้าและหลัง พร้อมบริเวณด้านหลังกันชนหน้า พร้อมเฟืองท้ายแบบ Limited-slip differential ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมช่วงล่างแบบ Adaptive ปรับตามสภาพพื้นผิวถนน นอกจากนี้ยังมีระบบเบรกที่ใช้จานแบบคาร์บอนเซรามิก น้ำหนักเบาลงกว่า 27 กิโลกรัม
Aston Martin DB12 เตรียมส่งมอบในเดือนกันยายน 2023 นี้ ก่อนที่จะเปิดตัวรุ่นเปิดประทุน DB12 Volante ในปี 2024
ที่มา: Carscoops