หลังจากเผยภาพ Teaser จากภายในห้องโดยสารที่เผยให้เห็นถึงความทันสมัย รวมไปถึงภาพภายนอกบางส่วนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเปิดตัวในวันที่ 25 เมษายน จะเกิดขึ้น ทำให้แฟนๆ ได้รับชมความแปลกตารูปแบบใหม่ ที่เน้นจับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น ด้านหน้ามีการออกแบบใหม่หมดจด แตกต่างด้วยรูปทรงไฟหน้าที่ไม่เหมือนเพื่อนร่วมรุ่นอื่นๆ รวมไปถึงเทคโนโลยีไฟหน้าที่อัดแน่นเช่นเดียวกัน โดยมาพร้อมกับ Digital Light เวอร์ชั่นล่าสุด ที่จะช่วยให้ทัศนวิสัยการมองเห็นได้ยามค่ำคืนเคลียร์ชัดมากกว่าเดิม พร้อมกระจังหน้าแบบเรืองแสงได้และไฟส่องสว่างกลางวัน DRL แบบแยกชิ้น เช่นเดียวกับรถในตระกูล EQ รุ่นใหม่ๆ

บริเวณเปลือกกันชนด้านหน้า ยังคงเลือกใช้ดีไซน์ช่องรีดอากาศคล้ายกันกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของค่าย ทว่ามีการเพิ่มรายละเอียดงานออกแบบเล็กๆ น้อยๆ เช่น ลวดลายดาวสามแฉก ประดับลงไปในชิ้นงานพลาสติกสีดำ

 

แต่ทว่า ยังคงเอกลักษณ์เส้นสายของงานออกแบบด้านข้าง ตลอดจนดีไซน์กรอบกระจกหน้าต่างของ E-Class รุ่นเดิมเอาไว้ ขณะที่มือเปิดประตูถูกเปลี่ยนไปใช้แบบ Flush type หรือซ่อนเรียบเนียนไปกับตัวถัง รวมไปถึงการออกแบบเส้นสายให้เป็นไปตามหลักอากาศพลศาสตร์มากยิ่งขึ้น เป็นผลให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือค่า Cd. เหลือเพียง 0.23 ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ล้ออัลลอยลาย Aeroblinds ที่ซ่อนรายละเอียดเล็กๆ ไว้ที่ก้านล้อ มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 17-21 นิ้ว พร้อมด้วยชิ้นส่วนเพื่อลดแรงต้านบริเวณด้านหน้าซุ้มล้อหน้าและด้านหลังซุ้มล้อหลัง

นอกจากนี้ ยังติดตั้งล้ออัลลอยสีดำเงาที่ออกแบบให้มีครีบลดอากาศหมุนวนบริเวรด้านข้างล้อ สวมด้วยยาง Michelin e Primacy ซึ่งถูกแบบมาให้เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์ Hybrid ที่ต้องการความเงียบ แรงเสียดทานตำ่ และสามารถรองรับแรงบิดอันมหาศาลจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้ ในคราวเดียวกัน

 

ขนาดและมิติตัวถัง

  • ความยาว : 4,949 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง : 1,880 มิลลิเมตร
  • ความสูง : 1,468 มิลลิเมตร
  • ฐานล้อ : 2,961 มิลลิเมตร
  • ความจุถังน้ำมัน : 66 ลิตร
  • พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง : 540 ลิตร (E300e ความจุ 370 ลิตร )

 

ภายในห้องโดยสารของ E-Class ใหม่ มาพร้อมจอแสดงผลแบบแยกส่วน ทั้งหน้าจอชุดมาตรวัด หน้าจอกลาง และหน้าจอแสดงผลสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า มีการปรับรายละเอียดงานออกแบบแผงแดชบอร์ดด้านหน้าให้มีความเรียบร้อย ด้วยช่องแอร์ขนาดเพรียวบาง เชื่อมต่อเนื่องตลอดคอนโซลหน้าไปสิ้นสุดที่ฝั่งผู้โดยสาร พร้อมทั้งติดตั้งปุ่มควบคุมแบบกดบริเวณใต้จอกลาง

ระบบปฏิบัติการ MBUX เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่ทำงานร่วมกับจอ Hyperscreen ได้รับการอัพเดทให้สามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชั่นอย่าง TicTok Zoom meeting Vivaldi สำหรับการท่องเว็บ หรือแม้กระทั่งเกมส์ Angry Birds รวมไปถึง ZYNC สำหรับการ Streaming ความบันเทิงต่างๆ ผ่านจอฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า

 

ยิ่งไปกว่านั้นจะมีระบบปฏิบัติการที่ทำงานผ่าน AI เพื่อเรียนรู้และปรับฟังก์ชั่นต่างๆ ของตัวรถ ให้เข้ากับพฤติกรรมและรสนิยมของผู้ขับขี่ หรือหากผู้ขับขี่ต้องการที่จะโปรแกรมสั่งงานให้ตัวรถปรับนิสัยตามต้องการก็ย่อมทำได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ระบบปรับอากาศ ระบบขับเคลื่อน ระบบความบันเทิง ระบบแสงสว่าง เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Dual Light Control Technology (DLC) ที่อาศัยกล้องในการตรวจจับสายตาผู้ขับขี่ ขณะหันมามองที่จอฝั่งผู้โดยสาร โดยจอฝั่งนั้นจะทำการลดระดับแสงลง เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้ขับขี่ โดยที่ผู้โดยสารยังสามารถรับชมความบันเทิงได้ตามปกติ กล้องดังกล่าวยังสามารถใช้สำหรับการถ่ายรูป Selfie หรือใช้สำหรับ Live Streaming ขณะรถจอดนิ่งได้ ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Zoom เพื่อการประชุมสาย หรือ Webex โดยเป็นอ็อพชั่นเสริมที่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม

เพิ่มเติมระบบปรับอากาศที่สามารถปรับทิศทางลมได้อย่างอิสระ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและความสบายยามเดินทาง นอกจากนี้ยังมาพร้อมออฟชั่น Active Ambient Lighting ที่สามารถปรับแสงสีในห้องโดยสารให้สอดคล้องกับเพลงที่เล่นผ่านเครื่องเสียงติดรถ โดยจะเปลี่ยนสีและรูปแบบให้เป็นไปตามจังหวะเพลง ขณะที่เครื่องเสียง Burmester จำนวน 17 ลำโพง จะถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

 

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

E 220d

เครื่องยนต์ดีเซลรหัส OM 654 M 4 สูบ 16 วาล์ว Diesel Commonrail Turbocharged Intercooler ขนาด 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 82.0 x 94.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 15.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 197 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบ/นาที พ่วงระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 48V EQ Boost พละกำลัง 23 แรงม้า 205 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง

E 300e Plug-in Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ถึง 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน (WLTP)

E 400e Plug-in Hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร 1,999 ซีซี. เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ กำลังสูงสุด 252 แรงม้า (PS) ที่ 5,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ที่ 3,200 – 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 129 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ ให้กำลังสูงสุด 381 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 650 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ 9G-Tronic ขับเคลื่อนล้อหลัง สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ถึง 100 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน (WLTP)

 

ระบบบังคับเลี้ยว

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า Electric Power Steering อีกทั้งยังติดตั้งระบบเลี้ยว 4 ล้อ ซึ่งล้อหลังจะสามารถเลี้ยวได้ถึง 2.5 องศา ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในช่วงความเร็วต่ำ ตลอดจนเพิ่มสเถียรภาพการทรงตัวในย่านความเร็วสูง เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

ระบบกันสะเทือน

ระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นแบบ Double Wishbone พร้อมเหล็กกันโคลงและคอยล์สปริงน้ำหนักเบา ปีกนกเป็นวัสดุอลูมิเนียม

ระบบห้ามล้อ

ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

จานเบรกคู่หน้าเป็นแบบมีครีบระบายความร้อน
จานเบรกคู่หลังเป็นแบบธรรมดา

เสริมการทำงานด้วยระบบป้องกันล้อล็อก Anti-Lock Braking System ระบบเสริมแรงเบรก Brake Assist ระบบช่วยการทรงตัว ESP (Electronic Stability Program) และเบรกมือไฟฟ้า

หากมีข้อมูลอัพเดทเวอร์ชั่นจำหน่ายในประเทศไทยทาง Headlightmag จะนำมารายงานให้ทราบอีกครั้ง

ที่มา: Mercedes-Benz