BYD ได้เผยข้อมูลผลประกอบการตลอดปี 2022 โดยมีพัฒนาการทางด้านยอดขายแบบก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้าด้วยรายได้จำนวนกว่า 61.4 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราส่วนเพิ่มขึ้นที่ 84% ซึ่งแปลงเป็นผลกำไรกว่า 2.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราส่วน 403% จากยอดขายรวมจำนวน 1.85 ล้านคัน ซึ่งแบ่งเป็นรถ EV อัตราส่วน 49.5% และ Plug-in hybrid จำนวน 50.5% โดยประเทศที่กินสัดส่วนยอดขายมากที่สุดยังคงอยู่ที่ประเทศจีน ที่คิดเป็นสัดส่วน 97%
สำหรับเป้าหมายยอดขายของปี 2023 นี้ ทาง BYD ได้ตั้งเป้าไว้ที่ 3.6 ล้านคัน หรือเกือบเท่าตัวของยอดขายในปี 2022 ที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ BYD ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติจีน ที่เป็นผู้นำกลุ่มรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicles) โดยได้ถอดขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนไปตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 เป็นต้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เปิดตลาดแบรนด์รถยนต์หรู Denza ซึ่งจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมด 2 รุ่นในปัจจุบัน ได้แก่ D9 รถ MPV สุดหรู และ N7 รถ Fastback ทรงเฉี่ยว รวมไปถึงแบรนด์รถยนต์หรูตัวลุยพร้อมชน Land Rover อย่าง Yangwang U8 ที่เป็นรถ SUV ขุมพลังไฟฟ้าล้วนเกรดพรีเมียมผู้บุกเบิกตลาดนี้
หากเรียงลำดับรถยนต์ขายดีของค่าย 5 อันดับ ได้แก่
1. Song Plus จำนวน 458,047 คัน
2. Qin Plus จำนวน 315,282 คัน
3. Han จำนวน 274,016 คัน
4. Dolphin จำนวน 205,417 คัน
5. ATTO 3 จำนวน 202,058 คัน
BYD ไม่ได้มีธุรกิจภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ยังผลิตชิ้นส่วนสำหรับเทคโนโลยีอื่นๆ โดยเฉพาะแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือ และชิ้นส่วนด้าน photovoltaic พร้อมขยายตลาดไปยังธุรกิจรถไฟในอนาคตอันใกล้นี้ เพิ่มเติมจากธุรกิจด้านอุตสาหกรรมการจับเก็บพลังงานไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายในอนาคต ถึงแม้ว่าสัดส่วนรายได้ของธุรกิจรถยนต์จะมากถึง 76% ก็ตาม
ทั้งหมดนี้ จะมีผลกระทบครั้งสำคัญจากการยกเลิกการสนับสนุนนโยบายรถยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลจีน ที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2022 ทำให้ค่ายรถยนต์แต่ละเจ้าต้องหั่นราคาจำหน่ายกันอย่างดุเดือด จึงอาจเป็นอุปสรรคครั้งสำคัญที่ทำให้ยอดขายของบรรดาค่ายรถยนต์ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2023 นี้
ที่มา: Carnewschina