Lamborghini เปิดตัวตัวตายตัวแทนของรถสปอร์ตเรือธงขุมพลัง V12 ของ Aventador ที่มีอายุตลาดยาวนานกว่า 12 ปี โดยการกลับมาครั้งนี้ถูกเปลี่ยนไปใช้ชื่อ Revuelto LB744 ที่อัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยมากมาย ที่ไม่เคยถูกติดตั้งในรถรุ่นอื่นมาก่อน รวมไปถึงเส้นสายการออกแบบที่ถูกยกเครื่องเคราใหม่หมดจด เติมความดุดันขั้นสุด
โครงสร้างตัวถังที่ถูกออกแบบใหม่หมดจดเพื่อรองรับขุมพลังเบนซิน V12 พ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม โดยใช้วัสดุคาร์บอนเป็นหลัก ทั้งในส่วนโครงสร้างของห้องโดยสารและบริเวณเฟรมด้านหน้าของตัวรถ ที่เคลมว่ามีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และยังมาพร้อมน้ำหนักเบากว่าโครงสร้างแบบเดิม
งานออกแบบด้านหน้ามาพร้อมไฟที่ติดตั้ง DRL รูปตัว Y อันโดดเด่น เสริมให้ตัวรถมีความเพรียวลมมากกว่า Aventador อีกทั้งยังติดตั้ง ช่องดักลมด้านหน้าขนาดใหญ่ โดยเน้นให้กันชนด้านหน้ามีขนาดเล็กลงเพื่อให้ชิ้นส่วนไฟหน้ามีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ประตูเปิดด้านข้างแบบปีกนกที่ยังคงติดตั้งเหมือนดังรุ่นพี่ พร้อมช่องดักลมด้านข้างตามสไตล์รถสปอร์ตของค่าย ปิดท้ายด้วยไฟท้ายขนาดใหญ่ที่ติดตั้งในระดับเดียวกับท่อไอเสียทรงเหลี่ยม เพิ่มความโดดเด่น
โดยน้ำหนักตัวรถที่เพิ่มขึ้นจากขุมพลังชุดใหม่ทำให้ Revuelto มีน้ำหนักมากถึง 1,772 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับ Aventador Ultimae ที่มีน้ำหนัก 1,550 กิโลกรัม แต่ก็มาพร้อมกับชุดแต่งที่ช่วยเพิ่มเติมแรงกดด้านท้ายมากขึ้นกว่า 74% และ 33% ที่ด้านหน้า จากชุดแต่งรอบคันและสปอยเลอร์หลังแบบพับเก็บได้
ขุมพลังเบนซิน V12 ให้กำลังสูงสุด 780 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับมอเตอร์จำนวน 3 ตัว ที่มีจำนวน 2 ตัวส่งกำลังไปที่ล้อคู่หน้า และอีก 1 ตัวที่เพลาล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุดตัวละ 150 แรงม้า (PS) โดยมอเตอร์ตัวหลังทำงานร่วมกับระบบส่งกำลังเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Dual cluth
ดังนั้นหากขับขี่ในเมืองด้วย EV Mode มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าจะรับหน้าที่ส่งพลังขับเคลื่อนไปยังล้อทั้งสองโดยมีกำลังสูงสุดที่ถูกลดทอนเหลือ 180 แรงม้า
ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาด 3.8 kWh ที่ชาร์จได้เต็มภายในเวลา 30 นาที ด้วยไฟบ้าน AC กำลัง 7 kW
- อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.5 วินาที
- อัตราเร่งจาก 0-200 กม./ชม. ภายในเวลาน้อยกว่า 7.0 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
โดดเด่นด้วยฝาครอบเครื่องยนต์แบบใสที่โชว์ความเป็นขุมพลังตัวแรงในตำนาน ที่พร้อมส่งเสียงคำรามได้อย่างเต็มที่ไม่โดนตัดทอนไปด้วยเสียงมอเตอร์ไฟฟ้าแต่อย่างใด เพื่อระเบิดความมันได้อย่างเต็มที่
โหมดการขับขี่จำนวน 13 รูปแบบ โดยจะปรับได้ในส่วนปุ่มควบคุมที่สามารถเลือกได้ตั้งแต่โหมด Città ที่เน้นการขับขี่ในเขตเมืองและให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เป็นหลัก ขณะที่โหมด Strada จะเพิ่มการทำงานของเครื่องยนต์มากยิ่งขึ้น แต่ยังคงเซ็ตอัพของชุดช่วงล่างโดยเน้นความสบายยามขับขี่เป็นหลัก ขณะที่ Sport สามารถเลือกปรับการใช้เครื่องยนต์ได้เป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ Recharge Hybrid และ Performance โดยที่จะปรับกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ไว้เพียง 907 แรงม้า (PS) ขณะที่โหมด Corsa จะปรับเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 1,001 แรงม้า (PS)
ภายในติดตั้งจอมาตรวัดขนาด 12.3 ออกแบบใหม่แบบ Full Digital พร้อมหน้าจอกลางขนาด 8.4 นิ้ว แนวตั้ง พร้อมจอแสดงข้อมูลการขับขี่สำหรับผู้โดยสารตอนหน้าขนาด 9.1 นิ้ว พร้อมความสามารถในการเลื่อนการแสดงผลข้อมูลต่างๆ ไปยังหน้าจอดังกล่าวได้
ระบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อต่างๆ ถูกอัพเกรดให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ Amazon Alexa และ SiriusXM 360L สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ พร้อมฟังก์ชั่นการอัพเดทแบบไร้สายหรือ Over-the-Air พร้อมทั้งระบบความปลอดภัยต่างๆแบบจัดเต็มกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ระบบเตือนการชนด้านหลัง
นี่จะเป็นครั้งแรกของ Lamborghini ที่เปิดตัวรถยนต์ Plug-in hybrid เวอร์ชั่นหลังคาแข็งคันแรก ก่อนที่จะตามมาด้วยเวอร์ชั่นเปิดประทุนและตัวแรง SV และจะมีราคาจำหน่ายประมาณ 650,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 22,262,500 บาท
ที่มา: Carscoops