บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ที่เน้นการทำตลาดขุมพลังไฟฟ้าล้วนต่างพากันพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า เพื่อให้มีผลโดยตรงกับระยะทางวิ่งสูงสุดต่อ 1 การชาร์จที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ หากพิจารณาระบบภายในรถที่มีผลกระทบต่อระยะทางวิ่งอย่างแท้จริง คงจะหนีไม่พ้นระบบปรับอากาศและระบบทำความร้อนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลา

โดยเฉพาะในกรณีของรถยนต์เพื่อการพาณิชย์สำหรับการรับ-ส่งพัสดุ ที่มีการเปิด-ปิดประตูอยู่บ่อยครั้งในแต่ละวัน จึงทำให้ระบบปรับอากาศทำงานหนักกว่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล เพื่อที่จะรักษาอุณหภูมิให้เป็นไปตามต้องการ

 

ล่าสุด Ford ได้มีการศึกษาการเปลี่ยนจากระบบฮีตเตอร์ทั่วไปที่ใช้การปล่อยลมร้อนจากช่องแอร์ภายในรถ มาใช้ระบบอุ่นผ่านชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร เพื่อให้การสัมผัสของผู้ขับขี่รู้สึกสบายโดยไม่ต้องใช้ลมร้อน ซึ่งแนวทางนี้ย่อยมีการสูญเสียความร้อนได้น้อยกว่า พร้อมกับสามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ นอกเหนือไปจากระบบอุ่นเบาะและพวงมาลัยที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน

ทาง Ford ได้ติดตั้งระบบอุ่นแบบสัมผัสในชิ้นส่วนหัวหมอน ที่พักแขน แผงประตู พรมพื้นตัวถัง แผงบังแดด รวมไปถึงแผงคอนโซลใต้พวงมาลัย จะมีเพียงเข็มขัดนิรภัยที่ไม่ได้ติดตั้งระบบอุ่นเท่านั้น ในขณะที่บริษัทผลิตชิ้นส่วนชื่อดังจากเยอรมนีอย่าง ZF ได้นำแนวคิดนี้มาใช้กับเข็มขัดนิรภัยในรถ EV บางรุ่นแล้วในปัจจุบัน

 

ผลลัพธ์ที่ Ford รายงานหลังการศึกษารถเพื่อการพาณิชย์รุ่น E-Transit ซึ่งใช้ในการขนส่งตลอดปีและผ่านครบทุกฤดู ครบทุกสภาวะพื้นผิวทั้งเปียกและแห้ง ลมแรง หิมะตก ระบบให้ความร้อนผ่านชิ้นส่วนภายในห้องโดยสารสามารถลดอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 13% ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับระยะทางวิ่งต่อ 1 การชาร์จที่เพิ่มขึ้นกว่า 5% โดยตัวเลขนี้อาจดูไม่มากมายนัก แต่ถ้านับรวมระยะทางใน 1 ปี ที่ภาคขนส่งสามารถมีระยะทางเพิ่มขึ้นได้ มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถเพิ่มระยะทางได้มากหลักร้อยไมล์

 

โดยงานวิจัยนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (ภายใต้ชื่อโครงการ CEVOLVER ตั้งแต่ปี 2018-2022) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาให้รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ให้ตอบโจทย์การใช้พลังงานไฟฟ้าในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้นี้ โดยพุ่งเป้าไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ เพื่อให้ส่งผลโดยตรงกับระยะทางวิ่งต่อ 1 การชาร์จ ที่กำลังเป็นจุดสนใจจากทุกค่ายรถยนต์ เนื่องจากเทคโนโลยีแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถเพิ่มระยะวิ่งได้โดยตรง แต่ยังมีปัจจัยแวดล้อมที่สามารถส่งเสริมการลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็นได้

Ford ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงเป้าหมายยอดขายรถ EV ในภูมิภาคยุโรปที่ตั้งเป้าไว้เป็นจำนวนกว่า 600,000 คัน ภายในปี 2026 และเป้าหมายรวมกว่า 2 ล้านคัน ภายในปีเดียวกัน

ที่มา: Carscoops