หลังจากเปิดตัวตั้งแต่ปี 1995 ในงาน Frankfurt Motor Show และเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปี 1998 สร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยรูปโฉมที่เป็นเอกลักษณ์จนถึงโฉมปัจจุบันในรูปแบบรถสปอร์ตขนาดเล็กที่มีป้ายราคาเป็นมิตรกว่ารถ 2 ประตูรุ่นอื่นๆ ของค่าย
เป็นที่น่าเสียดายว่าความนิยมรถยนต์ประเภทนี้มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จึงทำให้บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ต่างตัดสินใจถอดรุ่น 2 ประตูของตน ให้เหลือเพียงรุ่นที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้เท่านั้น โดยทางค่ายได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่าจะไม่มีรุ่นเปลี่ยนโฉมของ TT อย่างแน่นอนพร้อมเปิดให้แฟนๆได้จับจองรุ่นพิเศษสั่งลาก่อนถอดจากสายพานการผลิต
แต่ทว่ารถรุ่น final edition ดังกล่าวได้ถูกเปิดตัวในตลาดสหราชอาณาจักรเท่านั้น เนื่องจากเป็นตลาดหลักของรุ่นนี้เมื่อพิจารณายอดขายจากทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดถึง 33% ทำให้แฟนๆแดนมะกันต่างพากันเสียดาย หลังจากที่ Audi ได้เปิดตัวรุ่น Heritage Edition สำหรับเวอร์ชั่นตัวแรงอย่าง TT RS ในปี 2022 ที่ผ่านมา
TT Final Edition มีการตกแต่งด้วยสีดำเป็นหลักไล่ตั้งแต่โลโก้ 4 ห่วงที่ติดตั้งบริเวณกระจังด้านหน้า ฝาครอบกระจกมองข้าง ปลายท่อไอเสียและสปอยเลอร์หลังแบบยึดตายตัว โดยในรุ่นเปิดประทุน roadster จะได้รับการติดตั้งแผงกั้นลมสีดำรวมไปถึงโรบาร์สีดำเช่นเดียวกัน ในขณะที่รุ่นหลังคาแข็งจะได้รับกระจกแบบ privacy glass งานออกแบบภายนอกถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานทั้งรุ่น TT และ TT S โดยในรุ่นปกติ TT Final Edition จะติดตั้งล้ออัลลอยแบบ 5 ก้านรูปตัว y ขนาด 20 นิ้ว พ่นด้วยสีเทาด้านมาพร้อมกับคาลิปเปอร์เบรคสีแดง
ภายในมาพร้อมกับแพ็คเกจ leather package ที่เน้นการหุ้มวัสดุบุนุ่มด้วยหนังอาคันทาร่าบริเวณพวงมาลัยและเบาะนั่งพร้อมเดินด้ายสีแดง รวมไปถึงการตกแต่งด้วยวัสดุเฉพาะที่บริเวณมือเปิดประตูและคอนโซลกลาง สีแดง Tango red
ในขณะที่รุ่น TT S Final Edition จะติดตั้งล้ออัลลอยแบบ 7 ก้านพ่นด้วยสีดำโดยทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมทางเลือกสีตัวถังภายนอกทั้งหมด 3 สีได้แก่สีแดง Tango Red สีขาว Glacier White และสีเทา Chronos Gray metallic
TT Final Edition จะเริ่มวางจำหน่ายในสหราชอาณาจักรในต้นเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 41,910 ปอนด์ (1,738,123 บาท) ในรุ่น TT Coupe ไปจนถึง 56,435 ปอนด์ (2,340,515 บาท) ในรุ่น TT S roadster
ที่มา: Motor1