หลังจากที่ซุ่มทดสอบกันอยู่พักใหญ่ พร้อมกับการประกาศจากทาง GM ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ Corvette จะติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อคู่หน้า เพื่อทำงานร่วมกับเครื่องยนต์รหัส LT2 V8 อันเลื่องชื่อ ติดตั้งแบบวางกลางลำขับเคลื่อนล้อหลัง โดย Corvette C8 ในเวอร์ชั่นปกติ Stingray ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2020 และตามมาด้วยรหัสร้อนแรง Z06 ในภายหลัง ก็นับว่าเป็นอีกขั้นของ Corvette ที่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์วางกลาง พร้อมที่จะไล่บี้บรรดา Supercar เครื่องยนต์วางกลางทั้งหลาย
นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดี ของการเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี ของ รถสปอร์ตภายใต้ชื่อ Corvette รุ่นแรก C1 ด้วยการเปิดตัวรุ่น E-Ray ซึ่งเตรียมขึ้นชกเวทีเดียวกับ Porsche 911 Turbo ด้วยการพกแรงม้ามากกว่ารุ่น Stingray และ Z06 ที่มีให้เลือกทั้งตัวถัง Coupe และ Convertible
มิติตัวถัง
- ความยาว : 4,699 มม.
- ความกว้าง : 2,025 มม.
- ความสูง : 1,235 มม.
- ฐานล้อ : 2,722 มม.
งานออกแบบภายนอกยังคงมีกลิ่นอายของ Z06 ไม่ผิดเพี้ยน แต่ทว่า ได้มีการเพิ่มเติมเส้นสายและชุดแต่งบางจุด โดยได้ขยายความกว้างของตัวถังอีก 91 มิลลิเมตร รวมไปถึงช่องระบายอากาศที่บริเวณกันชนหลังได้รับการออกแบบใหม่ อย่างไรก็ตาม ท่อไอเสียแบบออกจริง 4 ท่อยังคงเหมือนกับรุ่น Z06
สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับ Z06 อยู่ที่ขุมพลัง ซึ่ง E-Ray ไม่ได้ยกเครื่องยนต์ LT6 V8 ความจุ 5.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 661 แรงม้า (PS) จาก Z06 มาใช้ แต่กลับหยิบเครื่องยนต์ LT2 V8 ความจุ 6.2 ลิตร จาก C8 รุ่นปกติมาใช้แทน อีกทั้งยังให้กำลังสูงสุดเท่ากันที่ 502 แรงม้า (PS) ที่ 6,450 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 637 นิวตัน-เมตร ที่ 5,150 รอบ/นาที จับคู่ เกียร์อัตโนมัติ DCT 8 จังหวะ
ให้อัตราเร่ง 0 – 96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 2.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่ารุ่น Z06 และ C8 ธรรมดา อยู่ 0.1 วินาที และ 0.5 วินาที ตามลำดับ และทำเวลาในการแข่ง ¼ ไมล์ ได้เพียง 10.5 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Z06 0.1 วินาทีเช่นเดิม
ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าที่เพลาล้อคู่หน้าให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 170 นิวตัน-เมตร โดยสามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนจากแบตเตอรี่ความจุ 1.9 kWh ได้ที่ความเร็วสูงสุด 72 กม./ชม.
สำหรับช่วงล่างมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดของตระกูลที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพถนนได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น Magnetic Ride Control 4.0 ขอโหมดการปรับโช้คอัพไฟฟ้า 3 รูปแบบ อีกทั้งยังสามารถเลือกติดตั้ง แพ็คเกจจากเบรกแบบคาร์บอนเซรามิกจาก Brembo ด้วยล้ออัลลอยรูปทรง 5 ก้าน ลายใบพัด ออกแบบมาเฉพาะรุ่น พร้อมสีล้อและสีตัวถังให้เลือกเป็นพิเศษ เพื่อความโดดเด่นและแตกต่างจากทั้ง 2 รุ่นก่อนหน้า หากใครต้องความโดดเด่นภายนอกเพิ่มเติม สามารถเลือกติดตั้งสติ๊กเกอร์คาดกลางตลอดคันสีน้ำเงิน รวมไปถึงจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อล้อคาร์บอนไฟเบอร์
ที่มา: Carscoops