แฟนๆ ค่าย Mazda ที่รอคอยการกลับมาของเครื่องยนต์ลูกสูบหมุน หรือ Rotary engine ในตำนาน ที่สร้างชื่อให้กับรถสปอร์ตของ Mazda มากว่า 5 ทศวรรษ เริ่มต้นที่ รหัส10A กับเครื่องยนต์ 2 โรเตอร์ ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้า (PS) ในรุ่น Cosmo series I ปี 1965-1968 และรหัส 13-REW ตัวแรงในรุ่น RX-7 รหัส FD3S ด้วยพละกำลัง 284 แรงม้า (PS) ก่อนที่จะทิ้งท้ายด้วยรหัส 13-MSP Renesis ในรุ่น RX-8 ที่เน้นการปรับปรุงด้านมลพิษและอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา หลังจาก Mazda ยุติสายพานการผลิตเครื่องยนต์โรตารี่ ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ถึงการนำมาใช้กับขุมพลังแห่งอนาคต ทั้งจับคู่กับเชื้อเพลิงไฮโดรเจน ตลอดจนนำมาใช้เป็นเครื่องยนต์ปั่นไฟ ก่อนที่จะเปิดตัวการกลับมาอย่างเป็นทางการ ในรถรุ่น MX-30 e-Skyactiv R-EV เพื่อทำให้กลายเป็นรถ Plug-in Hybrid ที่เน้นระยะทางในการขับขี่ได้ไกลกว่า รถ BEV อย่าง MX-30 ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้
ถึงแม้จะไม่ใช่การนำมาใช้ส่งกำลังสู่ล้อโดยตรงแบบเครื่องยนต์โรตารี่รุ่นก่อนๆ แต่ทว่า การทำให้ MX-30 ที่แต่เดิมวิ่งได้ไกลสุดเพียง 160 กิโลเมตร ต่อ 1 การชาร์จ ในรุ่น BEV ขยับมาวิ่งได้ไกลสุดถึง 597 กิโลเมตร ในรุ่น e-Skyactiv R-EV นี้
นับว่าเป็นความพยายามอย่างสูงของทีมวิศวกรของ Mazda ที่ตั้งใจให้การกลับมาของเครื่องยนต์ลูกสูบหมุนมีความหมายสูงสุด โดยอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเป็นเครื่องยนต์ต้นกำเนิดพลังไฟฟ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูงสุด
ทั้งการนำวัสดุอะลูมิเนียมมาใช้ ที่ช่วยลดน้ำหนักได้กว่า 15 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ของ RX-8 ด้วยความจุกระบอกสูบ 830 ซีซี. พร้อมระบบฉีดเชื้อเพลิงตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ และอัตราส่วนกำลังอัดสูงถึง 11.9:1 ทำให้สามารถสร้างกำลังสูงสุดได้ถึง 75 แรงม้า (PS) ที่ 4,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 116 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ชุดเดียวกับรุ่นปกติ ด้วยกำลังสูงสุด 170 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 260 นิวตัน-เมตร
สำหรับความจุถังน้ำมัน 50 ลิตรที่มากพอที่จะเปลี่ยนให้ MX-30 เป็นรถที่เดินทางไกลได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยที่ยังสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ lithium-ion ความจุ 17.8 kWh ซึ่งสามารถชาร์จได้เต็มด้วยไฟ AC กำลังสูงสุด 11 kW ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 85 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP นอกจากนี้ยังสามารถชาร์ทเร็วด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 36 kW จากปริมาณแบตเตอรี่ 20% ไปจนถึง 80% ได้ภายในระยะเวลา 25 นาที
นอกจากนี้ทาง Mazda ยังออกรุ่นจำนวนจำกัด Edition R ใช้โทนสีดำ-แดง ตกแต่งทั้งภายนอก-ภายใน
MX-30 e-Skyactiv R-EV สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 9.1 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ถูกจำกัดไว้ที่ 140 กม./ชม. พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ย ตามมาตรฐาน WLTP ที่ 1 ลิตร/100 กม. พร้อมอัตราการปล่อยไอเสีย CO2 เพียง 21 กรัม/กม.
สำหรับกำหนดการวางจำหน่ายของ MX-30 e-Skyactiv R-EV จะพร้อมส่งมอบถึงลูกค้าในภูมิภาคยุโรปช่วงฤดูร้อนของปี 2023 ในขณะที่ตลาดบ้านเกิดแดนอาทิตย์อุทัยทางค่ายยังมีทางเลือกขุมพลังเครื่องยนต์เบนซินสันดาปภายในความจุ 2.0 ลิตร พ่วงระบบ mild-hybrid เป็นรุ่นเริ่มต้นให้เลือกอีกด้วย
ที่มา: Motor1