หลังจากที่ Jaguar เปิดตัว I-Pace ตั้งแต่ปี 2018 ในฐานะรถ EV รุ่นแรกของค่าย บนรูปลักษณ์ที่ฉีกออกไปจากรุ่นอื่นๆ โชว์ภาพลักษณ์ความเป็นรถ EV ที่มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ด้วยการยืดตำแหน่งของล้อทั้ง 4 ไปที่มุมของตัวรถ
อย่างไรก็ตาม ด้วยอายุทางการตลาดกว่า 4 ปี กอรปกับกองทัพรถ EV รุ่นใหม่ที่ตบเท้าเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดกันอย่างเนืองแน่น ที่มาพร้อมเทคโนโลยีขุมพลังไฟฟ้ารุ่นใหม่
ทาง Jaguar จึงจัดการยกโฉมงานออกแบบของ I-Pace โดยเฉพาะด้านหน้าซึ่งเปลี่ยนไปใช้กระจังหน้าแบบทึบพ่นสีเดียวกับตัวรถ พร้อมติดตั้งโลโก้แบบใหม่บนพื้นหลังสีดำ
รวมไปถึงชิ้นส่วนตัวถังรอบคันที่เปลี่ยนมาใช้สีเดียวกับตัวรถแทนที่สีดำเงา เพิ่มความหรูหราทันสมัยเข้ามาแทนที่ โดยยังได้รับการติดตั้งล้ออัลลอยลายใหม่เน้นแพทเทิร์นรูปเพชร และมีสีเทาใหม่ให้เลือก
ในขณะที่การตกแต่งแบบสปอร์ตจะถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น R-Dynamic SE ที่สามารถสั่งหลังคาสีดำพร้อมกับหลังคากระจก Panoramic
ภายในได้รับการอัพเกรดอุปกรณ์ภายในให้ทันสมัย โดยเฉพาะระบบ Infotainment รุ่นใหม่ ชื่อว่า Pivi Pro ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียงและผู้ช่วยส่วนตัว Alexa voice control รวมไปถึงการอัพเดทแบบ Over-the-air ตามสมัยนิยม
นอกจากนี้ รายละเอียดรุ่นย่อยที่ทาง Jaguar เพิ่มเข้ามาสำหรับตลาดสหราชอาณาจักร โดยเป็นรุ่น I-Pace 400 Sport วางตำแหน่งไว้บนสุดของไลน์อัพ ตกแต่งด้วยสปอยเลอร์หลัง ช่วงล่างแบบ Adaptive Air suspension ล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้ว พร้อมเพิ่มความสบายในการโดยสารด้วยเบาะนั่งฟุ้มด้วยหนัง Windsor leather ที่ปรับด้วยไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 14 ทิศทาง
ทางด้านขุมพลังยังคงใช้ชุดเดิม ด้วยมอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 400 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 696 นิวตัน-เมตร ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 4.5 นาที ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 90 kWh ให้ระยะทางวิ่งสูงสุด 470 กิโลเมตร ตามทาตรฐาน WLTP
แต่ทว่า ยังคงใช้ระบบชาร์จเร็วด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุดเพียง 100 kW DC ที่สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางสูงสุด 127 กิโลเมตรหากทำการชาร์จเพียงเวลาแค่ 15 นาที ควบคู่กับการชาร์จไฟบ้าน 11kW AC ที่ใช้เวลา 8.6 ชั่วโมงในการชาร์จเต็มต่อ 1 รอบ
สำหรับการอัพเดทในตลาดประเทศไทยทาง Headlightmag จะนำมารายงานให้ทราบอีกครั้ง