ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวการทำตลาดของรถ EV แบรนด์มังกร BYD ที่ชาวไทยเริ่มคุ้นหูคุ้นตากันมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนพอสมควร เนื่องจากการรุกตลาดเมืองไทยอย่างจริงจัง ทั้งการรับจองแบบพร้อมส่งมอบรถเป็นจำนวนกว่า 5,000 คันของรถรุ่น ATTO 3 ล๊อตแรก จนเริ่มเห็นประชากร BYD บนท้องถนนบ้างแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวทางยุโรปที่มีการประกาศแผนการทำตลาดไปก่อนหน้านี้ กลับมีความล่าช้ามากกว่าตลาดประเทศไทยเสียอีก Li Ke ผู้บริหารของ BYD ตำแหน่ง Executive Vice President ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อใหญ่อย่าง Bloomberg ถึงความคืบหน้าการรุกตลาดยุโรป ด้วยอัพเดทการก่อสร้างโรงงานในยุโรปถึง 2 แห่ง เพื่อรองรับกำลังการผลิตให้ทั่วถึงตามแผนที่เพิ่งจะได้รับการปรับครั้งล่าสุด ด้วยการเพิ่มตลาดอย่าง เยอรมนี สวีเดน เดนมาร์ก เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก รวมไปถึง ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร
BYD จึงต้องมีโรงงานที่ใหญ่พอที่จะรองรับความต้องการของตลาดรถ EV ที่เอื้อมถึงได้โดยไม่จำกัดแบรนด์และขนาดตัวถัง เนื่องจากโรงงานในประเทศจีนเอง ก็กำลังวุ่นอยู่กับการผลิตส่งขายภายในประเทศจีนที่ขึ้นแท่นผู้ผลิตรถเสียบปลั๊กอันดับ 1 ของปี 2022 เป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
โดยตลาดที่ BYD ตั้งใจจะเปิดตัวให้เร็วที่สุดภายในปี 2022 ได้แก่ ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร โดยจะทำการเร่งการสร้างโรงงาน เพื่อเข้ามาทดแทนการขนส่งทางเรือของรถล๊อตแรกๆ ที่ผลิตจากโรงงานในจีน ซึ่ง BYD ได้ให้เหตุผลว่า ประสิทธิภาพการขนส่งทางเรือไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่อาจมากเกินที่วางแผนเอาไว้ได้
โมเดลที่เตรียมจะลุยตลาดยุโรป ได้แก่ Atto 3 ที่กลายเป็น Global model ลุยตลาดทั้งเอเชียและโอเชียเนีย Tang SUV ขนาดใหญ่ 3 แถว และ Han รถ สปอร์ตซีดานขนาดกลาง oversize
สำหรับ Atto 3 นับว่าเป็นหัวหอกสำคัญที่ทำตลาดประเทศดังนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ โคลอมเบีย อินเดีย เนปาล มองโกเลีย อุรุกวัย คอสตาริกา และสาธารณรัฐโดมินิกัน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจที่ทาง Bloomberg ได้สัมภาษณ์ Li Ke เพิ่มเติม นั่นก็คือการวางกลยุทธ์ทางการตลาดในภูมิภาคยุโรปของเหล่ารถ EV ทั้งหลาย ว่าจะแข่งขันโดยตรงกับ Tesla หรือไม่ จึงได้คำตอบว่า “ทาง BYD มองคู่แข่งเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ราคาใกล้เคียงกันมากกว่า เนื่องจาก BYD เตรียมจะปล่อยรถ EV แบรนด์พรีเมียมตามหลังอีก 2 แบรนด์ โดยแบรนด์แรกจะเน้นรถทรง SUV และรถสปอร์ตขุมพลังไฟฟ้าแนวหรูหรา ในขณะที่อีกแบรนด์จะเน้นรูปทรงแฟชั่นเป็นหลัก เน้นจับกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ที่มองรถเป็นหนึ่งในของสะสม”
สำหรับความคืบหน้าโรงงานที่จังหวัดระยอง ประเทศไทยนั้น ทาง BYD เตรียมทุ่มการลงทุนระดับ Mega project เพื่อรองรับกำลังการผลิตระดับ 150,000 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นไป ด้วยความร่วมมือกับยักษ์ใหญ่วงการลอจิสติกส์อย่าง WHA กรุ๊ป
นับว่าเป็นค่ายรถจีนที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง หลังจากตัดสินใจกระโจนเข้าสู่การแข่งขันอันร้อนแรงระดับสากล
ที่มา: Carnewschina