MG ได้เปิดตัวรถ EV ที่ทุกคนเอื้อมถึงในรูปแบบตัวถัง Hatchback 5 ประตู เพื่อหวังสู้ศึกในตลาดโลก โดยในประเทศบ้านเกิดได้ใช้ชื่อ Mulan ในขณะที่ตลาดยุโรปรวมไปถึงประเทศไทยจะใช้ชื่อ MG 4 ซึ่งทาง MG ประเทศไทยก็เพิ่งจะออกมายืนยันแล้วว่าจะพร้อมเปิดให้จับจองได้ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2022 นี้ เป็นต้นไป โดยยังไม่ได้ระบุถึงข้อมูลทางเทคนิคไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมรรถนะและข้อมูลเกี่ยวกับแบตเตอรี่
อย่างไรก็ตามในประเทศจีน MG Mulan เริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2022 โดยมีราคาจำหน่ายที่ 186,800 หยวน (941,107 บาท) เป็นรุ่น Standard Range ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยมอเตอร์คู่ กำลังสูงสุด 428 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จอยู่ที่ 460 กิโลเมตร (มาตรฐาน CLTC) อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 3.8 วินาที
MG Mulan
ล่าสุดทาง SAIC ประเทศจีนก็ได้เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจ Mulan ที่ต้องการโดยการระยะทางวิ่งสูงสุดมากกว่ารุ่นที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้โดยราคาปรับลดลง เนื่องจากติดตั้งเพียงมอเตอร์เดี่ยว โดยสามารถวิ่งได้ไกลจนถึง 425 และ 520 กิโลเมตร ภายใต้ชื่อรุ่น Flagship และ Deluxe ตามลำดับ
MG Mulan ยังคงให้อุปกรณ์มาตรฐานทัดเทียมกับคู่แข่งที่เป็นรถยนต์ในกลุ่มเดียวกันไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้าแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED ที่ลากยาวตลอดความกว้างของฝากระโปรงท้าย ด้านหน้ามีการใช้ Theme งานออกแบบใหม่ มีเส้นสายที่เฉียบคมโดยเอกลักษณ์ที่สังเกตเห็นได้ง่ายสำหรับรถรุ่นนี้ ก็คือความยาวตัวถังที่ดูเหมือนจะไม่มากมายนัก แต่ฐานล้อถูกขยายให้ยาวออกไปด้วยเอกสิทธิ์จากแนวคิดการออกแบบพื้นฐานขึ้นมาใหม่ตั้งแต่แรกที่เรียกว่า Nebula Platform เพื่อรองรับขุมพลังไฟฟ้าโดยเฉพาะ
MG 4
มิติตัวถัง
- ความยาว : 4,287 มม.
- ความกว้าง : 1,836 มม.
- ความสูง : 1,504 มม.
- ฐานล้อ : 2,705 มม.
- การกระจายน้ำหนักหน้า : หลัง ที่อัตราส่วน 50 : 50
- รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด: 5.3 ม.
ภายในติดตั้งจอมาตรวัดสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 7 นิ้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานและจอกลางขนาด 10.25 นิ้วที่จะแสดงผลระบบ Infotainment รวมไปถึงติดตั้งการสั่งงานด้วยเสียงของฟังก์ชั่นในตัวรถต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสีภายในให้เลือกตั้งแต่ สีดำล้วน สีดำสลับสีเทา รวมไปถึงสีแดงสลับสีขาว
งานออกแบบคอนโซนกลางมีความแปลกตาอยู่พอสมควร ด้วยการย้ายตำแหน่งที่วางแก้วไปอยู่ด้านล่างบริเวณที่ยื่นออกมาซึ่งเป็นที่อยู่ของปุ่มเลือกตำแหน่งเกียร์ ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ อีกทั้งยังใช้แนวทางการออกแบบที่เรียบง่าย
โดยในรุ่น Deluxe 520 กม. จะติดตั้ง ระบบช่วยเหลือการขับขี่เพิ่มเติม โดยเฉพาะระบบขับขี่อัตโนมัติระดับที่ 2 ซึ่งจะช่วยลดทอนความเหนื่อยล้า และเสริมความมั่นใจยามขับขี่ทางไกลมากยิ่งขึ้น
รุ่น Flagship
ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยมอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ ความจุ 51 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จอยู่ที่ 425 กิโลเมตร (มาตรฐาน CLTC)
รุ่น Deluxe
ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยมอเตอร์เดี่ยว กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ ความจุ 64 kWh ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จอยู่ที่ 520 กิโลเมตร (มาตรฐาน CLTC)
ในส่วนของสีตัวถังทาง MG มีให้เลือกตั้งแต่ สีชมพู สีเขียว สีน้ำเงิน สีเทา สีขาว สีน้ำเงิน และสีแดง
ที่มา: Carnewschina
สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่:
MG 4 Electric รถยนต์ไฟฟ้า 100% เตรียมเปิดรับจองในไทย 15 พฤศจิกายน นี้ !