Mazda ประเทศญี่ปุ่นได้ปรับโฉม CX-8 ซึ่งทำตลาดมายาวนานกว่า 5 ปี ได้ฤกษ์ปรับโฉมตามรุ่นน้อง CX-5 ที่ได้นำงานออกแบบ Kodo design ชุดใหม่ พร้อมปรับรุ่นย่อยการทำตลาด และฟังก์ชั่นภายในให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยนำเทคโนโลยีจากรุ่นใหม่ๆ มาใส่ไว้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยยามขับขี่
ด้านหน้ามาพร้อมกระจังลวดลายตะแกรงแบบใหม่ พร้อมกันชนหน้าที่มีลายเส้นล้ำสมัยแบบ Contour พร้อมสะท้อนบุคลิกแข็งแกร่งของ SUV ระดับหรู พร้อมไฟหน้า-ไฟท้าย แบบใหม่ ที่ปรับลวดลายภายในให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และแนะนำสีตัวถังใหม่ สีขาว Rhodium White Premium Metallic
Grand Journey
รุ่นย่อยมีการปรับเล็กน้อย โดยยังคงเริ่มต้นที่รุ่น 25S/XD พร้อมเบาะแบบ 7 ที่นั่ง การตกแต่งภายในสีเทา-ดำ ตามด้วยรุ่น Smart Edition ที่เพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย เช่น ไฟหน้า LED แบบ Adaptive Headlight ปรับตามการจราจรด้านหน้า ระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน Lane-Keep Assist System (LAS) ระบบตรวจจับป้ายจราจร Traffic Sign Recognition System และ ระบบช่วยควบคุมตัวรถตามการจราจร Cruise & Traffic Support
สำหรับใครที่มองหาความสดใหม่ รุ่น Grand Journey ที่ตกแต่งสไตล์รถครอบครัวสำหรับกิจกรรมภายนอกสุดสัปดาห์ มีลุคที่ดูเข้มกว่ารุ่นอื่นๆ พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมโหมด OFF-ROAD ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วปัดเงา ชิ้นส่วนกันกระแทกรอบคันสีดำตัดด้วยวัสดุโครเมียม ภายในสีพิเศษ เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สีเบจผสมกับผ้าลายสปอร์ตสีเทา คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยรังผึ้งแนวสปอร์ต
Sports Appearance
ในขณะที่รุ่น Sports Appearance เน้นความโฉบเฉี่ยวด้วยวัสดุสีดำเงารอบคันสไตล์สปอร์ต ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้า ชิ้นส่วนตกแต่งกันชนหน้า-กันชนหลัง กระจกมองข้าง แผ่นกันกระแทกใต้ประตู พร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว สีดำเข้ม และปลายท่อไอเสียแบบพิเศษ ภายในใช้เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังโทนสีแดงหรือดำเดินด้ายสีเทา ตกแต่งคอนโซลหน้าด้วยลวดลายรังผึ้งแนวสปอร์ต
Exclusive Mode
และรุ่นท๊อปสุดอย่าง Exclusive Mode ที่มาพร้อมความหรูหราด้วยวัสดุตกแต่งสีเงิน Gun metallic พร้อมทำสีชิ้นงานพลาสติกรอบคันเป็นสีเดียวกับตัวรถและอัดแน่นออฟชั่นเต็มพิกัด ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว สีเทาสว่าง ภายในมาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง Nappa สีขาวหรือดำ ตกแต่งคอนโซลหน้าด้วยสีเงิน ทั้งหมด
Grand Journey
สำหรับเทคโนโลยีการขับขี่ Mazda ได้แนะนำ MAZDA INTELLIGENT DRIVE SELECT หรือ Mi-DRIVE ให้กับ CX-8 ที่สามารถปรับโหมดการขับขี่ได้ทั้ง NORMAL และ SPORT พร้อมโหมด OFF-ROAD สำหรับรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ อีกทั้งยังนำเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE ARCHITECTURE จาก Mazda3 รุ่นปัจจุบันมาติดตั้ง เพื่อปรับปรุงความสามารถในการยึดเกาะถนน ลดความเหนื่อยล้ายามขับขี่เพิ่มความสบายขณะโดยสารมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้ ทำการเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างตัวถังสำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3
Sports Appearance
ทางด้านขุมพลังยังคงมีให้เลือก 3 แบบ ตามแต่ละรุ่นย่อย ได้แก่
2.5 SKYACTIV-G
เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2,488 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 89.0 x 100.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 13.0 : 1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 252 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
2.2 SKYACTIV-D
เครื่องยนต์ดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 2,191 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 86.0 x 94.3 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 14.4 : 1 กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 4,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
2.5T SKYACTIV-G
เครื่องยนต์เบนซิน แบบ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร 2,488 ซีซี. เทอร์โบ กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 89.0 x 100.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 230 แรงม้า (PS) ที่ 4,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
Exclusive Mode
Mazda CX-8 วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นแล้วตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2022 ด้วยราคาตั้งแต่ 2,994,200 – 5,058,900 เยน (752,615 – 1,272,856บาท) ไม่รวมภาษีนำเข้าประเทศไทย
ที่มา: Mazda