Polestar 3 เผยให้เห็นถึงแนวทางการออกแบบยุคใหม่ของแบรนด์ ที่เน้นเส้นสายเฉียบคม เสริมความล้ำยุค ทำให้ตัวถังดูทรงพลังและมีความกว้างกว่ารถที่มีขนาดมิติ เท่าๆกัน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเส้นสายตัวถังตามหลักอากาศพลศาสตร์ ฝากระโปรงหน้า ออกแบบให้มีคิ้วเสริมที่เป็นขอบยื่นออกมา เสมือนเป็นสปอยเลอร์ในตัว สปอยเลอร์หลังที่มาพร้อมกับ เส้นสายที่กลมกลืนกับตัวรถ รวมไปถึงการติดตั้งครีบรีดอากาศที่บริเวณขอบกันชนท้ายทั้งสองข้าง
หลังคากระจก Panoramic แบบเต็มบาน ไฟหน้า-ไฟท้ายรอบคันแบบ Full-LED มือเปิดประตูแบบซ่อนไว้ที่ตัวถังทำงานร่วมกับเซนเซอร์ตรวจจับการเข้าสู่ตัวรถ พร้อมออฟชั่นเสริมระบบปิดแบบ soft close ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว พร้อมออฟชั่นเสริม
ดีไซน์ ใหม่ถูกออกแบบมาสำหรับแบรนด์ Polestar โดยเฉพาะ ที่เห็นได้ชัดคือ เส้นสายภายในไฟหน้า ที่ทาง Polestar เรียกว่า dual blade การออกแบบให้ฝากระโปรงหน้าเปรียบเสมือนสปอยเลอร์ในตัว รวมไปถึงบริเวณกระจังหน้าแบบทึบตามสไตล์รถ EV ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของบรรดาเซนเซอร์ เรดาร์และกล้องหน้า รองรับการทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ
Plus Pack และ Pilot Pack จะถูกติดตั้งสำหรับรถ Model year 2023 ที่ส่งมอบให้กับลูกค้า มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียงพรีเมียม ลำโพงจำนวน 25 ชิ้น จาก Bowers & Wilkins พร้อมระบบ 3D surround sound และ Dolby Atmos
วัสดุต่างๆ ที่ใช้ผลิตรถรุ่นนี้ถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถันโดยมุ่งเน้นแนวคิดเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม การใช้วัสดุที่สามารถ นำไปรีไซเคิลได้ โดยที่ยังคงความหรูหราและผิวสัมผัสพรีเมียมเอาไว้ มีทั้งวัสดุผ้าที่ทำจากธรรมชาติ รวมไปถึงหนังที่ได้รับการรับรองจากองค์กรพิทักษ์สัตว์ มุ่งเน้นเป้าหมายการลดปริมาณคาร์บอนตลอดอายุการใช้งานของตัวรถ ภายใต้มาตรฐาน life-cycle assessment (LCA) ที่เริ่มนำมาใช้ใน Polestar 3 ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของสายพานการผลิต
ไฮไลท์ของระบบตัวรถอยู่ที่การนำเทคโนโลยี NVIDIA DRIVE มาใช้ในการประมวลผลตัวรถทั้งคัน โดยเป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูงจาก NVIDIA และซอฟต์แวร์ที่ถูกพัฒนาโดย Volvo Cars ประสาร การทำงานร่วมกันเปรียบเสมือนสมองกลอัจฉริยะ เพื่อนำไปวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลปริมาณมาก ที่ได้รับจากบรรดาเซนเซอร์กล้องเรดาร์ ซึ่งอยู่ในการทำงานของระบบช่วยเหลือต่างๆ ระหว่างการขับขี่
ระบบความบันเทิงภายในตัวรถ ประมวลผลภายใต้ชิพ Snapdragon Cockpit Platform รุ่นล่าสุดจาก Qualcomm Technologies, Inc. ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพประมวลผลให้กับโทรศัพท์มือถือชั้นนำ โดยโครงสร้างของระบบประกอบไปด้วยการเข้าถึงข้อมูลที่จะเชื่อมต่อตัวรถ เข้ากับฐานข้อมูล แบบ open and scalable cloud-connected automotive platforms ช่วยทำให้ประสบการณ์การขับขี่และการทำงานของตัวรถอยู่ในระดับแนวหน้า ผนวกกับการแสดงผลผ่านจอแสดงผลประสิทธิภาพสูง ระบบสั่งงานด้วยเสียงและลำโพงชั้นเยี่ยม ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่และตัวรถ เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ
เนื่องจากเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทต้นกำเนิดอย่าง Volvo Cars จึงได้ยกเทคโนโลยีรุ่นล่าสุด ที่ผนวกกันทำงานระหว่างเซนเซอร์ต่างๆ ภายในสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตภายในรถ ในระดับมิลลิเมตร และตรวจจับความร้อนของผู้โดยสารเพื่อนำไปแจ้งเตือนหากมีภาวะฉุกเฉินทางกายภาพ เช่น สโตรก และ ภาวะอุณหภูมิร่างกายผิดปกติ
สำหรับระบบ ADAS (Advanced Driver Assistance System) ของ Polestar 3 ทำงานภายใต้ เรดาร์จำนวน 5 จุด กล้องรอบคันจำนวน 5 กล้อง เซนเซอร์อัลตราโซนิกส์ภายนอกจำนวน 12 จุด พร้อมด้วยกล้องตรวจจับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ จำนวน 2 ตัว ภายในรถ ที่จะคอยสังเกตการกะพริบตา ภายใต้เทคโนโลยี Smart Eye ซึ่งถูกติดตั้งเป็นครั้งแรก
แน่นอนว่าระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้กับความบันเทิงและการทำงานการสั่งการของตัวรถยังคงเป็น Android Automotive OS เชิงพัฒนาร่วมกับ Google แสดงผลผ่านจอกลางขนาด 14.5 นิ้ว ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจาก Polestar 2 รถยนต์รุ่นแรกที่ใช้ระบบปฏิบัติการจาก Google มาพร้อมการอัพเดทฐานข้อมูลและฟังก์ชั่นของตัวรถแบบไร้สาย หรือ Over-the-air (OTA)
ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ที่ล้อคู่หน้าและหลัง ให้กำลังสูงสุด 490 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 840 นิวตัน-เมตร โดยสามารถเลือกติดตั้ง Performance Pack ทำให้กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 517 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 910 นิวตัน-เมตร การควบคุมการเร่งตัวรถทำงานภายใต้ระบบ One-pedal ที่สามารถปรับความหน่วงได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกระจายแรงบิดที่เพลาล้อคู่หลัง electric Torque Vectoring Dual Clutch ซึ่งพัฒนาต่อยอดจากรถสปอร์ตรุ่นแรกของค่าย Polestar 1
แบตเตอรี่ความจุ 111 kWh ทำให้ Polestar 3 สามารถวิ่งได้ไกลถึง 610 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP ต่อ 1 การชาร์จ วัสดุที่ใช้นำมาห่อหุ้มเซลล์แบตเตอรี่ทำจาก อะลูมิเนียมผสมโบรอน พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ และติดตั้งปั๊มความร้อน ทำให้สามารถปรับอุณหภูมิแบตเตอรี่ให้เหมาะกับสภาพอากาศภายนอกได้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการประจุไฟและการปลดปล่อยพลังงาน นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบชาร์จเร็วที่มีกำลังไฟสูงสุดถึง 250 kW นับว่าสูงที่สุดในกลุ่ม อีกทั้งยังรองรับระบบจ่ายไฟให้กับ สนามไฟฟ้า vehicle-to-grid และ plug-and-charge
Advanced chassis control ทำหน้าที่รับมือการทรงตัวของตัวรถในทุกสภาพพื้นผิว ที่สามารถปรับระดับได้ตามความต้องการอีกด้วย โดยทำงานร่วมกับชุดโช้คอัพไฟฟ้าซึ่งสามารถประมวลผลได้ไวที่ความถี่ 500 Hz และสำหรับ Performance Pack มาพร้อมล้ออัลลอยแบบ Forged ขนาด 22 นิ้ว รวมทั้งปรับแต่งช่วงล่างให้รองรับสมรรถนะที่สูงขึ้น
Polestar เปิดให้จับจองได้ตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2022 เป็นต้นไป และจะพร้อมส่งมอบในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 สำหรับภูมิภาคยุโรป อเมริกาเหนือ และจีน โดยจะผลิตจากโรงงานในเฉิงตู ประเทศจีน ในช่วงแรก ก่อนจะย้ายไปผลิตที่โรงงานใน Ridgeville รัฐ South Carolina ตั้งแต่กลางปี 2024 เป็นต้นไป ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 89,900 ยูโร (3,305,368 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)สำหรับ Polestar 3 รุ่น Long range Dual motor
ที่มา: Polestar