ตลาดรถ EV ในญี่ปุ่นถือว่ามีสเกลขนาดเล็กเมื่อเทียบกับยุโรป จีน และอเมริกา เนื่องจากข้อจำกัดในการใช้งานและชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น ที่มีพื้นที่จำกัด รวมทั้งที่จอดรถที่หายากและไม่ใช่คนคนจะมีที่จอดรถเป็นของตัวเองได้โดยง่าย ดังนั้น โครงสร้างพื้นฐานระบบ ชาร์จไฟ ยังคงไม่รองรับ และตอบโจทย์ สภาพการใช้งานจริงของคนญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ ผลกระทบของสิ่งเหล่านี้เห็นได้ชัดจากยอดขายของรถ EV ที่มีปริมาณและส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยผิดปกติ เมื่อเทียบกับประเทศข้างต้น
ดังนั้นเหล่าผู้ผลิตที่มีรถ EV เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อวางจำหน่ายในตลาดโลก และยังวางจำหน่ายในตลาดบ้านเกิดด้วย จึงหาหนทางในการที่จะให้รถเหล่านั้นมีจุดยืน โดยการเปลี่ยนจากการขาย เป็นการเช่าซื้อ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าที่ยังไม่สะดวกที่จะเป็นเจ้าของรถทีวีอย่างเต็มตัว และมีข้อจำกัดบางประการที่จะต้องพึ่งบริการสถานีชาร์จ โดยปกติแล้ว การเช่าซื้อรถEV ในประเทศญี่ปุ่นจะมาพร้อมกับแพ็คเกจการชาร์จไฟร่วมด้วย ดังนั้นแผนการขายแบบนี้จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจหันมาใช้รถ EV ง่ายขึ้น
ในขณะที่ผลพวงจากการจัดการขายเป็นแบบเช่าซื้อ จะทำให้ผู้ผลิตสามารถวางแผนการรีไซเคิลแบตเตอรี่เพื่อนำกลับมาใช้กับรถคันต่อๆ ไปในสายพานการผลิตได้ง่ายยิ่งขึ้น
โดยล่าสุดทาง Nissan ได้เริ่มใช้แนวความคิดนี้กับ Leaf ซึ่งเป็นรถ EV ต้นตำรับของค่าย ด้วยการให้ลูกค้าที่สนใจเช่าซื้อ จ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือน ที่จะรวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้งานตัวรถด้วย
การนำแบตเตอรี่กลับมาใช้ใหม่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากทำให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถจัดการกับต้นทุนและทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะการรีไซเคิลแผ่นธาตุที่มีราคาแพงและหายากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันและอนาคต เพื่อนำมาผลิตแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้กับรถรุ่นต่อมา
อย่างไรก็ตามการรีไซเคิลแบตเตอรี่เหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องใช้ขั้นตอนที่ถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมทั้งยังใช้ เครื่องมือที่มีมูลค่าสูงและต้องอยู่ภายใต้กระบวนการที่ได้รับการตรวจสอบตามมาตรฐานความปลอดภัย ดังนั้นโรงงานที่รีไซเคิลแบตเตอรี่ได้จึงมีเพียงไม่กี่แห่งบนโลกนี้
ถึงกระนั้น เมื่อคำนวณจำนวนเงินส่วนต่างระหว่างการรีไซเคิลแบตเตอรี่ และการสรรหาแผ่นธาตุไม้เพื่อผลิตแบตเตอรี่ลูกใหม่หมดจด การรีไซเคิลแบตเตอรี่ยังคงน่าสนใจมากกว่า เพื่อที่จะประหยัดทั้งต้นทุนและทรัพยากรธรรมชาติ
ที่มา: Fortune