ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการกับรถกระบะพิกัด 1 ตันคู่ฝาแฝด Ford Ranger อย่าง Volkswagen Amarok ซึ่งใช้งานวิศวกรรมร่วมกันในส่วนของโครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง แต่ในส่วนงานออกแบบภายนอก-ภายใน ทาง Volkswagen ได้จัดการออกแบบตามแนวทางของทางค่ายเอง เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าที่ยังคงกลิ่นอายของรุ่นก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย แต่ได้ปรับให้ทันสมัยขึ้นพร้อมไฟหน้า LED เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในขณะที่ออฟชั่นไฟหน้า IQ.LIGHT- LED matrix จะมีให้เลือกในรุ่น Top PanAmericana และ Aventura รวมทั้งไฟท้ายแบบ LED ที่สงวนไว้ให้ 2 รุ่นท๊อปเช่นเดียวกัน

Volkswagen Amarok มีให้เลือก 2 รูปแบบตัวถัง ได้แก่ 4 ประตู Double cab และ 2 ประตู Single cab สร้างขึ้นบนพื้นฐาน Ford T6 Platform รุ่นปรับปรุงใหม่ ที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นทุกมิติ พร้อมรองรับน้ำหนักลากจูงสูงสุดถึง 3.5 ตัน และเพิ่มขีดความสามารถในการลุยน้ำท่วมสูงสุด 80 เซนติเมตร จากเดิม 50 เซนติเมตร พร้อมปรับปรุงระยะ Overhang หน้า-หลัง ให้สั้นลงเพื่อรองรับองศาการปีนป่ายได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 17-21 นิ้ว

 

มิติตัวถัง รุ่น Double cab

  • ความยาว: 5,350 มม. (ยาวขึ้น 96 มม.)
  • ความกว้าง: 1,910 มม.
  • ความสูง: 1,888 มม.
  • ฐานล้อ: 3,270 มม. (ยาวขึ้น 173 มม.)
  • ความจุถังน้ำมัน: 80 ลิตร

 

ภายในออกแบบผสมผสานระหว่างการควบคุมผ่านจอสัมผัสและปุ่มควบคุม Analog สำหรับฟังก์ชั่นที่จำเป็น พร้อมปุ่มควบคุมที่แผงคอนโซลเกียร์ สำหรับการปรับความดัง-เบาของเครื่องเสียงและตัวเลือก Mode การขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นต้น

จอมาตรวัดขนาดมาตรฐาน 8 นิ้ว และออฟชั่นขนาด 10 นิ้ว ในรุ่น Style ขึ้นไป ขณะที่จอกลาง Infotainment เริ่มต้นที่ขนาด 10 นิ้ว และอัพเกรดเป็น 12 นิ้ว  ตั้งแต่รุ่น Style เป็นต้นไปเช่นเดียวกัน ระบบปฏิบัติการ SYNC4 จาก Ford แต่ได้รับการปรับแต่ง User Interface ให้เป็นธีมเดียวกับ Volkswagen รุ่นอื่นๆ พร้อม Android Auto และ Apple CarPlay

 

สำหรับรุ่น PanAmericana and Aventura มาพร้อมระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon 8 ลำโพง และเป็นออฟชั่นสำหรับรุ่นอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้นภายในยังได้คอนโซลบุหนัง พร้อมการออกแบบเบาะนั่งคู่หน้าตามหลักสรีรศาสตร์ จุดเด่นที่ทาง Volkswagen ภูมิใจนำเสนอสำหรับรุ่น DoubleCab ก็คือ พื้นที่เบาะหลังเพียงพอสำหรับผู้ใหญ่ 3 คน โดยไม่อึดอัด

 

ขุมพลังทั้งหมดแบ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซล TDI จำนวน 4 รุ่น และ เบนซิน TSI เพียง 1 รุ่น แบ่งเป็น

  • เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ มาพร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง โดยรุ่นนี้จะมีให้เลือกสำหรับตลาดแอฟริกา
  • เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 170 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 405 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และมีให้เลือกทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION แบบ Part-time สำหรับบางตลาด
  • เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Bi-Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ควบคุมด้วยปุ่มปรับแบบไฟฟ้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION แบบ Full-time เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยเครื่องยนต์นี้จะเป็นรุ่นมาตรฐานสำหรับตลาดยุโรป
  • เครื่องยนต์ดีเซล V6 DOHC 24 วาล์ว 3.0 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 241/250 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 600 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ควบคุมด้วยปุ่มปรับแบบไฟฟ้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION แบบ Full-time เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
  • เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.3 ลิตร พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 302 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 452 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ควบคุมด้วยปุ่มปรับแบบไฟฟ้า มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4MOTION แบบ Full-time เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

โหมดการขับขี่ 6 โหมด ได้แก่ Normal Eco Slippery Snow/Sand Mud/Rut และ Tow/Haul ขึ้นอยู่กับรุ่นย่อย

 

Amarok ใหม่มาพร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่สูงสุด 20 ระบบ ตัวอย่างเช่น ระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ ACC+ Adaptive Cruise Control พร้อมติดตั้งกล้องตรวจจับป้ายจราจรจำกัดความเร็วทำงานร่วมกัน กล้องรอบคัน 360 องศา ระบบช่วยจอด Park Assist เป็นต้น

มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย ได้แก่ Amarok Life Style และรุ่นที่ตกแต่งเพื่อการใช้งานแบบ off-road อย่าง PanAmericana พร้อมรุ่นบนสุดเน้นความหรูหราอย่าง Aventura

 

2023 Amarok จะถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน Silverton ในเมือง Pretoria ประเทศแอฟริกาใต้ โดยที่ Volkswagen จะยังผลิต Amarok รุ่นปัจจุบันที่สำหรับตลาดอเมริกาใต้ต่อไป

ที่มา: Volkswagen