หลังจากเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017 DS 7 CROSSBACK ได้สร้างมาตรฐานงานออกแบบใหม่ให้กับค่ายด้วยการเป็นรถรุ่นแรกที่ DS Automobiles ออกแบบเป็นเอกเทศกับ แบรนด์หลักอย่าง Citroen อย่างชัดเจน ด้วยการผสมผสานงานออกแบบระดับประณีตจากฝรั่งเศส ทรอดแทรกลวดลายภายในที่แตกต่างและเป็นเอกลักษณ์ จนกระทั่งได้เวลาปรับโฉมเล็กน้อยในปี 2022 นี้ และพร้อมยกเลิกชื่อ CROSSBACK

ด้านหน้ามาพร้อมไฟหน้าแบบ DS Pixel light LED VISION 3.0 เป็นไฟหน้าล้ำสมัยที่ส่องสว่างได้ไกลถึง 380 เมตร ด้วยแสงที่ควบคุมอย่างชาญฉลาด จากหลอด LED ทั้งหมด 84 ดวง เรียงตัวซ้อนกันเป็น 3 แถว พร้อมไฟ DRL ออกแบบใหม่ เป็นสิ่งที่สะดุดตาที่สุดของการปรับโฉมครั้งนี้ ที่ DS เรียกว่า DS LIGHT VEIL มีลักษณ์เป็นเส้น 4 เส้นเรียงตัวกันที่ด้านข้างของกันชนหน้า ประกอบด้วยหลอดไฟ LED ข้างละ 33 ดวงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถต้นแบบ DS X E-TENSE และ DS AERO SPORT LOUNGE

 

นอกจากนี้ กันชนหน้ายังได้รับการปรับปรุงงานออกแบบใหม่ให้มีเส้นสายลักษณะ DS WINGS ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ตามเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมขยายขนาดกระจังหน้าให้เต็มพื้นที่มากขึ้น

ด้านท้ายเปลี่ยนสัญลักษณ์ CROSSBACK ออก และแทนที่ด้วย DS AUTOMOBILES ขยายคิวให้ใหญ่ขึ้นและพ่นสีรมดำ โดยยังคงงานออกแบบไฟท้ายเช่นเดิม ที่สวยงามและแตกต่างกว่ารถในระดับเดียวกัน โดยปรับลักษณะให้เรียวยาวและกัดลายข้าวหลามตัดที่บิดเป็นเกลียว Vortex พร้อมพ่นตัวโคมให้มีสีเข้มขึ้น

 

มิติตัวถัง:

  • ความยาว: 4,593 มม.
  • ความกว้าง: 1,906 มม.
  • ความสูง: 1,625 มม.
  • ฐานล้อ: 2,738 มม.

 

วัสดุหุ้มเบาะมีให้เลือกหลากหลายตามแต่ละรุ่นย่อยและความต้องการของลูกค้า ตั้งแต่เบาะหนัง Nappa ที่มีให้เลือกทั้งสีดำและสีเทา รวมไปถึง Alcantara แบบพิเศษที่ผสมผสานเข้ากับวัสดุผ้าได้อย่างลงตัว หรือจะเป็นวัสดุผ้า Canvas ก็มีให้เลือก

จุดเด่นสำคัญก็คือการแทรกลายที่แผงประตูหน้าทั้ง 2 ข้าง ด้วยลวดลายจาก ไฟ DRL ภายนอก DS LIGHT VEIL และมาพร้อมกับไฟ Ambient light ที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ พร้อมสอดแทรกลวดลายพิเศษ Clous de Paris ไว้ตามจุดต่างๆ ภายในรถ

Post-production : Astuce Productions

 

ขุมพลังมีให้เลือกครบทั้งดีเซล เบนซิน และ เบนซิน Plug-in hybrid ตามแต่ละประเทศที่จำหน่าย

  • ขุมพลัง PureTech 130 เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร 1,199 ซีซี. เทอร์โบ กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ EAT8 ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
  • ขุมพลัง BlueHDi 130 ดีเซล แบบ 4 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร 1,499 ซีซี. เทอร์โบ กำลังสูงสุด 130 แรงม้า ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 10.1 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 199 กิโลเมตร/ชั่วโมง จับคู่เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ EAT8 ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า

และมีขุมพลัง Plug-in hybrid ให้เลือกถึง 3 ระดับความแรง ได้แก่

  • E-TENSE 225
    ประกอบด้วยเครื่องยนต์ PureTech 180 เบนซิน PureTech แบบ 4 สูบ ขนาด 1,598 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่(PS) 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 รอบ/นาที เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า (PS) และ แบตเตอรี่ Li-ion ขนาด 14.2 kWh ทั้งระบบให้ตัวเลขสมรรถนะ 225 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดรวม 360 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ EAT8 ขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
  • E-TENSE 4×4 300
    ประกอบด้วยเครื่องยนต์ PureTech 180 เบนซิน PureTech แบบ 4 สูบ ขนาด 1,598 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่(PS) 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า (PS) และ มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้า (PS) ทั้งระบบให้ตัวเลขสมรรถนะ 300 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดรวม 520 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ EAT8 ขับเคลื่อน 4 ล้อ

และรุ่นย่อยใหม่

  • E-TENSE 4×4 360
    ประกอบด้วยเครื่องยนต์ PureTech 180 เบนซิน PureTech แบบ 4 สูบ ขนาด 1,598 ซีซี. พ่วงเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่(PS) 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร ที่ 3,000 รอบ/นาที เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า (PS) และ มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหลัง 1 ตัว ให้กำลังสูงสุด 112 แรงม้า (PS) ได้รับการปรับแต่งจาก DS PERFORMANCE ทั้งระบบให้ตัวเลขสมรรถนะ 360 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดรวม 520 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ EAT8 ขับเคลื่อน 4 ล้อ และพิเศษด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ขนาดใหญ่ถึง 21 นิ้ว และอัพเกรดระบบเบรกด้านหน้าเป็นจานขนาด 380 มิลลิเมตร และช่วงล่างที่เตี้ยลง 15 มิลลิเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายใน 5.6 วินาที

ทั้ง 3 รุ่น พ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 14.2 kWh ให้ระยะทางสูงสุดถึง 65 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP พร้อมชาร์จไฟผ่านไฟ AC 7.4kW จาก 0-100% ได้เร็วสุดภายในเวลา 1 ชั่วโมง 55 นาที

 

นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์ที่ออฟชั่นช่วงล่างปรับได้ตามการประมวลผลของกล้อง DS ACTIVE SCAN SUSPENSION ที่ติดตั้งบริเวณล้อแต่ละข้าง เพื่อจับสภาพถนนและปรับความหนืดของโช้คให้เหมาะสม ระบบความปลอดภัยกล้องตรวจจับวัตถุตอนกลางคืน ด้วยกล้องอินฟราเรด DS NIGHT VISION เป็นระยะไกลถึง 100 เมตร ระบบช่วยเหลือการขับขี่ DS DRIVE ASSIST หรือระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2

DS7 จะถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่เมือง Mulhouse ประเทศฝรั่งเศส พร้อมจะส่งมอบภายในเดือนกันยายน 2022 นี้

ที่มา: DS Automotives