หลังจากที่ปล่อยทีเซอร์มาหลายรอบก็ถึงคราวเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Renault Austral รถ SUV ขนาด Compact ที่สร้างบนพื้นฐาน CMF-CD ที่คู่แฝดร่วมพันธมิตรอย่าง Nissan Qashqai ได้เปิดตัวและขายไปก่อนหน้าแล้วในปี 2021 โดย Renault วางแนวทางออกแบบให้มาในแนวหรูหราแต่ก็มีเหลี่ยมสันทำให้ดูดุดัน

ขนาดและมิติตัวถัง

  • ความยาว : 4,510 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง : 1,825 มิลลิเมตร
  • ความสูง : 1,644 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ : 2,667 มิลลิเมตร

ภายนอกมาพร้อมกับไฟหน้า LED ทรงเฉี่ยวพร้อม ไฟ DRL ขนาดใหญ่ตลอดขอบไฟหน้า ไฟท้ายลากยาวขนาบโลโก้ Renault ที่ฝาท้ายทั้ง 2 ข้างตลอดความกว้างตัวรถ ซึ่งใช้เทคโนโลยี Micro-optic เพิ่มความสวยงามและความสว่าง สปอยเลอร์หลังพร้อมเสาอากาศแบบครีบฉลาม ล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 17-20 นิ้ว แล้วแต่รุ่นย่อย

นอกจากนี้ยังมาพร้อมรุ่นย่อย Esprit Alpine ที่เป็นรุ่นท๊อปสุดของรุ่นเปิดตัวครั้งแรกใน Austral ซึ่งเน้นการตกแต่งแบบสปอร์ต โดยหยิบยืมชื่อ Alpine มาจากแบรนด์รถสมรรถนะสูงในค่าย พร้อมสีภายนอกเฉพาะรุ่นสีเทาด้าน Satin Shale Gray ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่ทำให้ดูแลสีรถได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีล้ออัลลอยลายเฉพาะขนาด 20 นิ้ว ราวหลังคาสีเงินซาติน ทริมตกแต่งสีดำเงา และโลโก้ Esprit Alpine ติดตั้งที่ด้านข้างของตัวรถ

ในขณะที่ภายในเดินด้ายสีน้ำเงิน มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วย Alcantara พร้อมผ้าลายคาร์บอน-ไฟเบอร์ แป้นเหยียบแบบอลูมิเนียมและพรมพื้นปักโลโก้ Alpine ภายในมีคอนโซลกลางออกแบบได้ล้ำสมัย เป็นการแบ่งโซนระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าอย่างชัดเจน พร้อมติดตั้งที่พักมือขนาดใหญ่แทนตำแหน่งคันเกียร์ ซึ่งย้ายไปติดตั้งเป็นคันโยกหลังพวงมาลัย วัสดุหุ้มคอนโซลบุนุ่มพร้อมไฟตกแต่งภายในห้องโดยสาร LIVING LIGHTS

หน้าจอกลางแนวตั้งขนาด 12 นิ้วเชื่อมต่อเรือนไมล์ผู้ขับขี่ขนาดใหญ่ถึง 12.3 นิ้ว และยังมีจอ Head Up Display ขนาดจุใจถึง 9.3 นิ้ว ด้วยเทคโนโลยีการปรับแสงสว่างของจอโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องติดตั้งชิ้นส่วนบังหน้าจอ เพราะสามารถสู้แสงแดดได้ดี นอกจากนี้ยังมีที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือไร้สาย และช่องเก็บของมากมายกระจายทั่วทั้งคัน ซึ่ง Renault บอกว่ามีความจุรวมมากถึง 35 ลิตร ในขณะที่ห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายมีความจุ 500 ลิตร และจะขยายเป็น 1,525 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ตามมาตรฐาน VDA

ระบบมัลติมีเดีย OpenR Link ใหม่ล่าสุด เป็นการผนวกรวมการทำงานของจอแสดงผลทุกอันเข้ากับฐานข้อมูลของตัวรถ ซึ่งระบบยังสามารถได้รับการอัพเดท Firmware แบบ Over-The-Air (FOTA) โดยอัตโนมัติผ่านระบบเครือข่ายมือถือ นอกจากนี้ยังติดตั้งแอพพลิเคชั่นจาก Google อาทิ ระบบแผนที่ Google Maps ผู้ช่วยส่วนตัวและระบบสั่งงานด้วยเสียง Google Assistant และคลังแอพพลิเคชั่น Google Play นอกจากนี้ยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon นอกเหนือจากระบบเครื่องเสียงพื้นฐานจาก Arkamys

นอกจากนี้ยังมีระบบ Predictive eco driving เพื่อช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากยิ่งขึ้น ผ่านการแนะนำการควบคุมตัวรถ การใช้คันเร่งและเบรก ที่จะแสดงผลบนจอ Head Up Display เมื่อทำการลัดเลาะไปตามจราจร โดยจะใช้คำแนะนำสั้นๆ เช่น ‘STOP’ หรือ ‘GIVE WAY’ เพื่อสื่อสารกับผู้ขับขี่ รวมไปถึงการวางแผนเส้นทางในรุ่น E-Tech Hybrid เมื่อขับขี่อยู่ในโหมด EV

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

Renault Austral มีเครื่องยนต์ให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ 4 ความแรง โดยแบ่งเป็น Full hybrid 1 แบบ Mild Hybrid Advanced 48V 1 แบบ และ Mild Hybrid 12V 2 ระดับความแรง

E-Tech Hybrid หรือ Full hybrid

เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger กำลังสูงสุด 199 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถทุกครั้งที่ออกตัว ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน ขนาด 1.7 kWh 400V เชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติ multi modal gearbox ประกอบไปด้วย 4 จังหวะสำหรับ เครื่องยนต์ และ 2 จังหวะสำหรับ มอเตอร์ โดยทั้งหมดจะถูกตัดต่อกำลังผ่าน dog clutch ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากรถแข่ง F1 ของ Renault สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ 4.6 ลิตร/100 กิโลเมตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 105 กรัม/กิโลเมตร โดยจะเพิ่มปุ่มควบคุมการขับขี่ MULTI-SENSE ได้ถึง 4 แบบ ซึ่งติดตั้งบนพวงมาลัย

Mild Hybrid Advanced 48V

เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger กำลังสูงสุด 132 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน 48V จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเท่านั้น สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ 5.3 ลิตร/100 กิโลเมตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 123 กรัม/กิโลเมตร

Mild Hybrid 12V (พัฒนาร่วมกับ Daimler)

เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.3 ลิตร ฉีดจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharger ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน 12V มาพร้อมกำลังสูงสุด 142 แรงม้า (PS) เมื่อจับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือ กำลังสูงสุด 162 แรงม้า (PS) เมื่อจับคู่กับเกียร์ X-TRONIC CVT แรงบิดสูงสุด 270 นิวตันเมตร ที่ 1,800-3,500 รอบ/นาที สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ที่ 6.2 ลิตร/100 กิโลเมตร และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 136 กรัม/กิโลเมตร

ระบบกันสะเทือน

ด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นคานบิดกึ่งอิสระทอร์ชั่นบีมสำหรับรุ่นเริ่มต้น และแบบมัลติลิงค์สำหรับรุ่นที่ติดตั้งระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ 4CONTROL Advanced ซึ่ง Renault บอกว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวยามขับขี่ ซึ่งจะใช้ Steering actuator ติดตั้งที่ช่วงล่างด้านหลังเพื่อสร้างมุมเลี้ยวได้ถึง 5 องศา ทำให้มีรัศมีวงเลี้ยว 10.1 เมตร และเมื่อรวมกับระบบ MULTI-SENSE จะทำให้ Austral มีโหมดการขับขี่มากถึง 13 รูปแบบ

ระบบความปลอดภัยและระบบช่วยเหลือการขับขี่ ประกอบด้วย

  • ระบบควบคุมความเร็วแปรผันที่มีฟังก์ชั่น ‘Stop & Go’
  • ระบบรักษาตัวรถให้อยู่ในเลน Lane Centering
  • ระบบกล้องมองรอบคัน 360 องศา พร้อมแสดงภาพแบบ 3 มิติ
  • ระบบจอดอัตโนมัติ Automated Park Assist
  • ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Warning
  • ระบบป้องกันการเปลี่ยนเลนกระทันหัน Lane Departure Prevention when overtaking
  • ระบบเตือนเมื่อมีรถผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert
  • ระบบเบรกอัตโนมัติด้านหลัง Rear Automatic Emergency Braking
  • ระบบไฟหน้าแบบ Matrix LED Vision smart lighting
  • ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนที่เมื่อผู้โดยสารเปิดประตูรถ Occupant Safe Exit

นอกจากนี้ยังมีระบบ Passive safety ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ เช่น ถุงลมนิรภัยระหว่างคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เพื่อป้องกันการบาดเจ็บเมื่อเกิดการปะทะด้านข้างตัวรถ และ QR code เพื่อแนะนำทีมกู้ภัยให้สามารถช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็วเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

Renault Austral มาพร้อมสีภายนอก 7 สี รวมถึงสีทูโทนเป็นสีมาตรฐานสำหรับรุ่นย่อยบนสุด โดยจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ภายในช่วงปลายปี 2022 นี้

ที่มา: Ranault