“เด่นที่ช่วงล่าง แต่ด้อยที่ เครื่อง คันเร่ง เกียร์ และราคา!”

เปล่าครับ นี่ไม่ใช่บทสรุปของ MG6 Saloon 1.8X Turbo Sunroof คันสีดำนี้
เสียทีเดียวหรอก มันคือชื่อหัวบทความที่ J!MMY ตั้งไว้เมื่อเขียน Full Review MG6
โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ในปี 2014 ต่างหาก และผมก็เห็นด้วยกับเขา มันคือความผิดหวัง
ในทำนองเดียวกับการที่คุณโสด เหงา แล้วมีเพื่อนหรือรุ่นน้องของคุณมาแนะนำ
ให้รู้จักกับเพื่อนของเขาอีกคน ซึ่งกำลังโสด และเหงาเหมือนกัน พร้อมทั้งส่งลิงค์
Facebook ให้คุณไปส่อง ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่คุณส่องและเซฟรูปของเขา
ไปแทบจะเป็นล้านรูป คุณก็เริ่มนึกภาพและวาดบุคลิก เสียง หน้าตา ท่าทาง
และนิสัยใจคอของเขาหรือเธอคนนั้น

แต่ครั้นพอได้เจอตัวจริง แม้บางสิ่งที่คุณวาดฝันไว้จะตรงกับความจริง แต่ก็มี
หลายสิ่งที่ช่างไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย เช่นเดียวกับกรณีของ MG6 รุ่นปี 2014
ซึ่งผมรู้สึกตื่นเต้นเมื่อจะได้พบตัวจริงและรู้สึกประทับใจกับทรวดทรงที่เซ็กซี่
ได้สัดส่วนของรุ่น 4 ประตู แต่ความประทับใจนั้นลดลงเล็กน้อยเมื่อพบกับแผง
แดชบอร์ดที่แอบโบราณ อุปกรณ์บางจุดที่เหมือนหลงมาจากยุคเปลี่ยนสหัสวรรษ
รวมถึงวิธีการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆที่แหวกแนวจนบอกไม่ถูก เหมือนกับเข้าไป
ในครัวของคนที่ไม่รู้จักแล้วเจอตู้กับลิ้นชักทึบไม่รู้ว่าจะหาช้อนหาชามจากตรงไหน

จากนั้นเมื่อได้ทราบราคา ผมก็แทบจะเดินเข้าห้องน้ำทั้งชุดสูท เปิด Rain shower
ให้น้ำรดหัวแล้วนั่งกอดเข่าเหมือนตอนเพิ่งถูกหักอก..และนั่นมันก็ก่อนที่จะได้ลอง
ขับรถคันจริงในเดือนกรกฎาคมปี 2014 แล้วพบว่าความประทับใจเหลือเพียงแค่
เรื่องช่วงล่าง นอกนั้นผมส่ายหน้าเกือบหมด โดยเฉพาะการทำงานของคันเร่ง
กับเกียร์ที่แค่พอจะขับแบบปกติธรรมดาได้อยู่ แต่พอรีบหรืออยากจะเล่นขึ้นมา
เกียร์กับคันเร่งก็ทำตัวเหมือนสามีภรรยาร้านก๋วยเตี๋ยวตรงข้ามมหาวิทยาลัยที่
ลวกเส้นไป เสิร์ฟไป ทะเลาะกันไป จดรายการอาหารผิดๆถูกๆ

 

MG6_TheFace

แต่ 1 ปีหลังจากนั้น การปรากฏตัวของเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ พร้อมด้วยข่าว
เรื่องราคาที่ถูกลงเกือบแสน…นั่นยังไม่ตื่นเต้นเท่ากับการได้คุยกับเจ้าหน้าที่
ฝ่ายขาย 2-3 ท่านที่บอกว่า “มีการปรับจูนเครื่องกับเกียร์ใหม่ด้วยนะครับ”
พี่ๆเหล่านั้นอ่านทั้งบทความบนเว็บเราและติดตามดู The Clip ของเรามาหมด
จนผมสงสัยเหมือนกันว่าผมด่ารถพวกพี่เละขนาดนั้นพี่ไม่โกรธหรือครับ
..ผมเดาว่าเขาก็คงมีเคืองบ้าง แต่พี่เขาก็บอกผมว่ารู้สึกเห็นด้วยกับการ J!MMY
บอกไปตามจริงว่า “จุดด้อยบางข้อมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาให้ลูกค้าพยายาม
ปรับตัวเข้าหารถเสียทุกเรื่อง รถนั่นแหละที่จะต้องพยายามทำให้ลูกค้ารู้สึกดี
กับมันก่อน มันถึงจะขายได้ แล้วถ้าทำรถออกมาแล้วทุกคนไม่มีใครยอมพูด
ข้อเสียของรถ พอรถรุ่นใหม่ออกมา มันก็จะยังมีข้อเสียนั้นอยู่ต่อไป ถูกมั้ยฮะ”

โอ้ว..เดฟ..ผมรู้สึกประทับใจครับ อยากให้คนอื่นๆรู้บ้างว่าคนใน MG น่ะ
เขาไม่ได้ขายรถไปวันๆไม่ทำอะไรหรอก เขาก็เหมือนพวกคุณทั้งหลายที่
ทำงานองค์กร คุณไม่เคยเจอหรือว่าเวลาคิดอยากปรับอะไรให้มันดีขึ้น
มันไม่ใช่เรื่องง่ายแบบฉีกซองแล้วเทน้ำเดือดตาม?!

อันที่จริง..วิศวกรที่ MG ประเทศไทยเขาเริ่มปรับจูนเกียร์กันใหม่มานาน
พอสมควร จะเห็นได้ว่ารถรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ รุ่นหลังๆลูกค้าบางท่านซื้อไปขับ
ก็บอกว่าเกียร์มันไม่ถึงกับเยี่ยมแต่ก็ไม่ได้แย่อย่างที่เรารีวิวไว้ ก็ดีครับมันเป็น
ประโยชน์ต่อตัวลูกค้า ส่วนพวกเราที่ Headlightmag นั้น ไม่ได้มีโอกาสแตะ
กุญแจพลาสติกเบาๆของ MG6 อีกจนกระทั่ง 21 มกราคม 2016 ซึ่งผมตัดสินใจ
ว่าจะของลองรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์อีกครั้งว่าจะดีขึ้นแค่ไหน แม้ว่าจะเป็นจังหวะ
ไม่ดีที่รถถูกปรับราคาขึ้น โดยรุ่น 1.8 Turbo X Sunroof Sedan ที่เราทดสอบ
ถูกเพิ่มอีก 100,000 บาท กลายเป็น 1,128,000 บาทก็คงต้องลองให้มันรู้จักรถ
จากนั้นแพงหรือไม่แพง คุณผู้อ่านที่เป็นผู้กำเงินซื้อรถไปตัดสินกันเองได้

สำหรับผู้ที่สนใจประวัติความเป็นมากว่า 90 ปีของแบรนด์ MG และบทความ
เกี่ยวกับการทดสอบรุ่นปี 2014 ท่านสามารถคลิกอ่าน Full Review รุ่นที่แล้ว
ของ J!MMY ได้ที่นี่ครับ

MG6_2016_DiagonalRear01E

MG 6 รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ยังมีให้เลือก 2 ตัวถัง คือ Saloon และ Fastback 5 ประตู

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอก ได้แก่ กันชนหน้าใหม่พร้อมไฟ
Daytime Running Light แบบ LED ไม่มีไฟตัดหมอกด้านหน้า (แต่มีด้านหลัง)
รายละเอียดภายในไฟหน้าเปลี่ยนไป มีที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้า กันชนชิ้นใหม่ กระจังหน้า
เปลี่ยนจากซี่ตาข่ายเป็นซี่ตั้งตรง รุ่น 1.8X ยังใช้ล้ออัลลอย 17 นิ้วกับยาง
215/50 ของ Goodyear Efficient Grip อยู่ แต่เปลี่ยนลายล้ออัลลอยใหม่ให้ดู
สปอร์ตหรูขึ้น ส่วนด้านท้ายก็มีการเปลี่ยนลวดลายไฟท้ายใหม่จากเดิมใสๆ
พื้นดำมองเห็นหลอดไฟสีข้างใน เปลี่ยนเป็นแบบไฟเบรก Tube ซึ่งก็เป็นลักษณะ
คล้ายกันกับของ Honda HR-V ตัว 1.8EL นั่นเอง

ความยาวตัวถังรถเพิ่มเพียงเล็กน้อยจาก 4,648 เป็น 4,653 มิลลิเมตร กว้างเท่าเดิม
1,827 มิลลิเมตร สูงเท่าเดิม 1,467 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,705 มิลลิเมตร
น้ำหนักตัวถังตามสเป็คตัว 1.8 Turbo X 4 ประตู หนัก 1,548 กิโลกรัม

MG6_Diagonal_L

ในสมัยที่เปิดตัว ว่ากันว่ามันเป็นรถที่มีพิกัดสอดตรงกลางระหว่าง C-Segment
อย่าง Civic และ D-Segment อย่าง Accord จึงมีการกำหนดเรียกว่า CD-Segment
ซึ่งเป็นเรื่องแปลกของรถบ้านเรา แต่ไม่แปลกสำหรับตลาดยุโรปซึ่งเคยมีรถอย่าง
Vauxhall Vectra และปัจจุบันยังมี Toyota Avensis เป็นรถที่อยู่ในพิกัดตัวถังนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อเรามองตัวเลขก็จะพบว่ามันยาวกว่า Honda Civic รุ่นที่เพิ่ง
เปิดตัวไปอยู่ 23 มิลลิเมตร และกว้างกว่า Ford Focus แค่ 4 มิลลิเมตร ตัวรถสูง
กว่า Mazda 3 และ Civic 2016 แต่เตี้ยกว่า Nissan Sylphy และ Ford Focus
ดังนั้นก็ไม่ได้เรียกว่าหนีกันเท่าไหร่ และถ้าจะหารถมาเทียบก็ต้องเทียบกับ
รถระดับนี้นั่นล่ะครับ จะไปเทียบกับ Camry หรือ Teana ที่ยาวกว่ากัน 20 เซ็นติเมตร
ก็คงจะไม่ใช่แม้ว่าตัวรถจะถือว่ากว้างมากก็ตาม

MG6_2016_Dugrear03

เรื่องความสวยงาม ที่จริงหลากคนก็หลายความเห็น แล้วแต่จะคิด
ในความเห็นส่วนตัวของผม ความสวยของตัวถังมันไม่ใช่จุดอ่อนของ MG6
มาตั้งแต่รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์แล้ว ตัวซีดานมีการออกแบบที่แม้จะดูเหมือน
ใช้เส้นสายจากยุคเปลี่ยนสหัสวรรษมาทำให้ดูใหม่ แต่มันเป็นเส้นสายที่ดูดี
อารมณ์เหมือนบ้านยุคเก่าที่ให้นักตกแต่งบ้านเก่งๆรีโนเวทใหม่จนดูสวย
ยิ่งกว่าบ้านสมัยใหม่ พอหลังจากการไมเนอร์เชนจ์ ในรุ่นท้อป 1.8X นั้น
กันชนหน้าดูทันสมัยขึ้น ไฟหน้าดูเข้ากับบุคลิกของรถมากขึ้น ไฟท้ายก็
ดูแล้วเข้ากันกับเส้นสายของตัวรถมากกว่าแบบเดิม ยิ่งเจอสัดส่วนความยาว
หน้า-กลาง-หลังของรถที่ลงตัวกันเส้นด้านข้างที่มีมิติ ฉาบเคลือบด้วยสีดำ
แบบรถทดสอบที่เราได้มา มันเป็นรูปลักษณ์ที่ดูสมราคาขึ้นกว่าเดิม

DSCF2887 DSCF2893

การเข้าสู่ตัวรถ ยังใช้รีโมทเพื่อนยาก(ที่ไม่ยาก)แบบเดิม ซึ่งไม่ใช่ Smart Key
ประเภทพกใส่กระเป๋า เอามือแตะๆรถแล้วปลดล็อค คุณยังต้องกดปุ่ม
ปลดล็อคด้วยตัวเอง กด 1 ครั้งเพื่อปลดล็อคบานคนขับ และ 2 ครั้ง
เพื่อปลดล็อคประตูทุกบาน อาจจะมองดูน่ารำคาญแต่ก็ทำไปเพื่อความ
ปลอดภัยสำหรับสุภาพสตรีทั้งหลายนั่นล่ะ ซึ่งถ้าปลดล็อคประตูหมดทุกบานใน
คราวเดียวก็อาจเปิดโอกาสให้โจรกระโจนเปิดประตูอีกบานเข้ามาจี้ได้

ยกเว้นถ้าโจรเป็นประเภทใจเหี้ยม เดินเข้ามาเล่นงานคุณที่บานประตูคนขับ
อันนี้ก็ อตตาหิ อตตาโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน จะยอมยกกระเป๋า
เงินให้เพื่อรักษาชีวิตหรือ เอามือกระทุ้งจุดศูนย์กลางความบันเทิงโจรสุดแรง
ก่อนจะเอากระเป๋า BaoBao Issey Miyake ครอบหัวมันแล้วกระโดดถีบขาคู่
ให้มันล้มเป็นพินโบว์ลิ่งเลยก็ได้ อย่าไปปราณีมัน

คนจะซวย Smart Key คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่าในยุคนี้ที่
รถคันละหกแสนบาทเริ่มใช้ Smart Key กันมานาน ก็ต้องมีลูกค้าบางกลุ่ม
ที่มองว่ารถราคาเกินล้านควรจะมีมาให้ได้แล้ว..ผมเชื่อว่าเจนเนอเรชั่นต่อไป
ของ MG6 ก็คงมีมาให้ครับ

สำหรับการสตาร์ทรถนั้น ก็ยังใช้วิธีเสียบกุญแจเพื่อนยาก(ที่ไม่ยาก)เข้าไปที่รู
แห่งความลึกลับข้างซ้ายของพวงมาลัย ในรถรุ่นเดิมที่เราได้มาทดสอบนั้น
ต้องเหยียบเบรกไว้ จากนั้นเสียบ กดให้ถึงสวิตช์ On จากนั้นกดแล้วปล่อย
มีจังหวะธรรมชาติของมันซึ่งเราจำเป็นต้องก้มหน้าทำความเข้าใจ ปล่อยเร็วไป
ก็ดับ ปล่อยช้าไปก็ไม่ติด จนเราสงสัยว่าตกลงรถมันเป็นอย่างนี้หรือมันเป็น Defect
แต่ในรถทดสอบตัวไมเนอร์เชนจ์คันนี้ คุณสามารถสตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องกด
เหยียบเบรก เสียบลงไปแล้วจะกดพรวดสตาร์ทเลย หรือไป On ก่อนแล้วค่อย
กดสตาร์ทก็ได้..แต่ถ้ากดแล้วปล่อยเลย มันจะดับครับ วิธีการกดคือให้ค้างไว้
ประมาณ 1.5 วิแล้วปล่อย ฟังดูเหมือนยาก แต่ผมว่าไม่ยาก ในรถคันเก่าของคุณ
เวลาบิดกุญแจสตาร์ทคุณบิดมันไว้นานแบบไหนกว่ารถจะติด? และถ้าคุณบิด
แล้วปล่อยในทันทีรถมันก็สตาร์ทไม่ติด ถูกมั้ย? ให้คิดซะว่ามันคือกลไก
การทำงานแบบเดียวกัน แค่เปลี่ยนวิธีส่งไฟสั่งไดสตาร์ทจากการ “บิด”
เป็นการ “กด”

ในรถสมัยใหม่ที่ใช้ปุ่ม Start เมื่อคุณกด สวิตช์จะรับรู้แล้วโยนคำสั่งไปที่
ECU จากนั้น ECU จะดูแลเรื่องการสตาร์ทให้ทั้งหมด มันถึง “กด”แล้ว
ปล่อยเลยทันทีได้ อันที่จริงพวกเบนซ์ C-Class W203 แม้จะใช้กุญแจบิด
แต่ตัวกุญแจก็ไปสั่งกล่องในลักษณะเดียวกัน บิดแล้วปล่อยได้เลย
ส่วนรถแบบที่ใช้กุญแจสตาร์ทสมัยก่อน การบิดสตาร์ทคือการแตะ Contact
Switch เพื่อส่งกำลังไฟ คุณเองเป็นคนบิดค้างเพื่อส่งไฟให้รถมันสตาร์ทติด

ผมคิดว่าระบบของ MG6 อาจจะเป็นอย่างหลัง ผมทำรถดับอย่างอนาถ
แค่ 2 ครั้ง หลังจากนั้นพอรู้จังหวะก็กดทีไรติดทุกครั้ง (แต่ถ้าผมคิดผิด
บอกได้ จะยอมรับผิดโดยดี ไม่ทิ้งตัวลงข้างทางหรือหาทางลงแบบ
นุ่มนวลไม่เจ็บตัวหรอกครับ มันต้องเจ็บสิมันถึงจะจำ)

002

เปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสาร..มันยังเป็นประตูที่หนักและมีกระเปาะรั้ง
ประตูให้ล็อคในตำแหน่งที่ 1-2-3 คล้ายกับ Mercedes-Benz หลายรุ่น
ถ้ารั้งให้ถูกที่มันจะคาประตูไว้แบบนั้น แต่ถ้าจอดในที่แคบแล้วจะเปิด
ให้ค่อยๆเปิดจนประตูลงตำแหน่งของมันจะป้องกันการเด้งไปกระแทก
รถข้างๆได้ ด้านในของแผงประตูมีการออกแบบใหม่ให้ดูอ่อนช้อย
กว่ารุ่นเดิม

ที่เท้าแขนบริเวณแผงประตู หากเป็นผู้ขับตัวสูง 183 เซ็นติเมตรแบบผม
ซึ่งชอบปรับตำแหน่งเบาะไว้ค่อนข้างต่ำ ถือว่าค่อนข้างพอดี แต่ส่วนมาก
ผมมักเท้าแขนกับขอบบนของประตูมากกว่า เรื่องของที่เท้าแขนคง
ต้องดูสรีระของแต่ละคนด้วยว่าแขนและลำตัวยาวต่างกันแค่ไหน สำหรับ
ตัวผมคิดว่ามันก็สบายดี ส่วนฝั่งคนนั่งซ้าย ผมก็จัดแจงนั่งจนตัวเองสบาย
ได้อยู่ดีครับเพราะ…

002_1

..เพราะอย่างที่เห็นครับ เบาะคนนั่งก็ปรับด้วยไฟฟ้า แถมปรับได้ 6 ทิศทาง
แบบเบาะคนขับ ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดดีเพราะรถระดับเดียวกันส่วนหนึ่ง
จะไม่สามารถปรับความสูงของเบาะได้ อย่าว่าแต่ปรับด้วยไฟฟ้าเลย
ส่วนรุ่นเก่านั้นถ้าคุณลองไปดูในรีวิวจะเห็นเบาะฝั่งคนนั่งเป็นแบบปรับมือ
อยู่ด้วยซ้ำ

ภายในห้องโดยสารของ MG6 ไมเนอร์เชนจ์จะมีทั้งหุ้มเบาะสีดำและสีเบจ
รถทดสอบของเราซึ่งใช้หนังสีเบจก็ทำให้บรรยากาศภายในลดความสปอร์ต
ลงจากเดิมแต่ก็ดูหรูสบายตาขึ้น (ดีที่ไม่ทำพวงมาลัยเป็นสีเบจ ขี้เกียจเช็ด
คราบมือเปื้อน ยิ่งไม่ค่อยชอบล้างมืออยู่) คุณภาพของหนังที่ใช้ยังดีเหมือนเดิม
ผมรู้สึกว่าคุณภาพหนังคล้ายกับรถคันเก่าของแม่ผม (VW Vento) ซึ่งส่ง
ไปหุ้มหนังนอกโชว์รูม จ่ายไป 42,000 บาท สัมผัสหนังดีกว่ารถญี่ปุ่น
ระดับเดียวกัน และดีกว่าเบาะหนังแถมจากศูนย์ทั่วไปแน่นอน

ตัวเบาะนั่ง ให้ความรู้สึกเหมือนพยายามจะกระชับคล้ายเบาะแบบสปอร์ต
ของรถอังกฤษยุคที่ Sean Connery ยังรับบท James Bond พนักพิงศีรษะ
จะดันหัวนิดๆ ถ้าเป็นคนขับแบบที่ชอบตั้งเบาะเอนๆจะไม่รู้สึกรำคาญอะไร
แต่พวกที่ชอบถอยเบาะจนสุดแล้วตั้งพนักพิงหลังตรงแหน็วแบบผม รู้สึก
ว่ามันแค่พอนั่งได้ ไม่ได้ถึงกับสบาย พนักพิงหลังรองรับช่วงครึ่งล่างได้ดี
และครึ่งบนขาดไปไม่มาก ส่วนรองรับแก้มก้นนั้นกำลังดี แต่ถ้าขยายมารอง
ใต้น่องได้อีกนิดจะดีมาก ตัวเบาะยังมีปีกข้างที่ดันขึ้นมาค่อนข้างเยอะกว่า
รถระดับเดียวกัน ถ้านั่งนานๆดูแล้วน่าจะเมื่อย

แต่ผมได้มีโอกาสลองนั่งนานๆ ตั้งแต่ขับไปถ่ายรูป ไป-ถ่าย-กิน-กลับในวันเดียว
ที่คุ้งวิมาน จันทบุรี ไปอ่างเก็บน้ำเขายายเที่ยง ผมลงจากรถแล้วไม่เดิน
เป็นเดชไอ้เดี้ยง ไม่ปวดหลังปวดน่องเหมือนเวลาขับรถของตัวเอง อย่างน้อย
ถ้าเทียบกับเบาะอันแข็งกระด้างอย่างที่เคยพบใน Chevrolet Cruze เบาะของ
MG6 เป็นเบาะที่น่านั่งมากกว่าแน่นอน พวกคุณตัวผอมๆทั้งหลายอาจจะ
อยากลองไปนั่งเทียบกับเบาะของ Altis ESport ดูก่อนว่าจะคิดเหมือนผมไหม

A002

ส่วนการเข้าออกประตูหลังนั้น ถ้าคุณตัวสูง ก็จะต้องก้มหัวหลบ
ตามปกติของรถที่พยายามออกแบบประตูให้ดูลาดโดยไม่ใช้ Opera Window
และมีหลังคาเตี้ย ผมว่ามันขึ้นลงง่ายกว่า Mazda 3 แต่อาจยังไม่เท่า
Altis กับ Sylphy ช่วงธรณีประตูก็ค่อนข้างสั้น การตวัดขาเข้านั่งใน
ห้องโดยสารจะต้องงอและยกขามากกว่าคู่แข่งที่เน้นเรื่องพื้นที่ด้านหลัง
อย่าง Altis กับ Sylphy

004_1

MG ยังรักษาลักษณะของเบาะหลังให้เป็นพื้นที่ที่มีความสบายอยู่
ถูกล่ะแม้ว่าคนตัวสูงถ้านั่งหลังตรงตูดชิดเต็มที่หัวจะติด แต่ C-Segment
รุุ่นอื่นๆคนสูง 183 เซ็นติเมตรก็หัวติดเกือบทั้งนั้น ต้องลองไถๆตัวมาข้างหน้า
เพื่อลดหัวลงอีกหน่อย จะพบบว่าองศาการเอียงของพนักพิงหลัง
อยู่ในระดับที่พอดีมาก ผมได้ลองนั่งเบาะหลังกลับจากชลบุรี แม้ว่าเรื่อง
พื้นที่วางขาจะค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระยะฐานล้อของรถ แต่ความสูง
ของตัวเบาะรองนั่งไม่ได้เตี้ยจนนั่งแล้วต้องงอขาแบบ Mazda 3 และ
พนักพิงศีรษะรูปตัว L คว่ำนั้นถ้าปรับความสูงให้พอดีหัวก็สามารถหนุนได้สบาย

เรื่องความสบายของเบาะหลัง ถ้าขาคุณไม่ยาวนัก MG6 น่าจะเป็นรถ
ที่นั่งสบายที่สุด แต่ถ้าขาคุณยาวมากและต้องการเนื้อที่วางขาเยอะๆ
Altis หรือ Sylphy อาจจะเหมาะกว่า แต่ในกรณีของ Sylphy โปรดทำใจ
เรื่องพนักพิงศีรษะที่แข็งจนอยากจะถอดไปอบรมมารยาทกุลสตรี
เผื่อจะทำตัวนุ่มนวลกับเขาเป็นบ้าง

พนักวางแขน แบบพับเก็บได้ พร้อมช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง
(ฝาปิดแบบรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์หายไป ฮั่นแน่!!) ตำแหน่งของพนักวางแขน
ยังอยู่สูงเท่าเดิม เกือบจะสบายแล้ว แต่ระนาบของมันจะอยู่สูงกว่า
ที่เท้าแขนบนประตูนิดหน่อย ถ้าต้องการเท้าแขนสองข้างให้สนิทคุณ
อาจต้องนั่งตัวเอียงนิดๆ

มือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ (ศาสดา) มีมาให้เหนือบานประตูคู่หลัง และ
ผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย รวม 3 ตำแหน่ง ไม่เพียงเท่านั้น บริเวณ
เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar มีตะขอแขวนมาให้ ผมไม่รู้จะใช้แขวน
อะไร แขวนเสื้อก็ไม่ได้ แขวนถุงน้ำอัดลมก็เด้งไปกวนคนขับ
อาจจะแขวนเครื่องครัวบางประเภทได้ แต่คิดว่าไม่จำเป็นต้องลอง

005

เช่นเดียวกับรุ่น Fastback เบาะหลังของรุ่น Sedan ก็สามารถพับแยก
แบบ 60:40 ทะลุไปห้องเก็บของได้ กลไกล็อคตัวเบาะค่อนข้างแน่นหนา
แม้รถทดสอบของเราจะพลีกายมาระดับหมื่นกิโลเมตรในวันสุดท้ายที่เจอ
ก็ไม่มีเสียงกิ๊กก๊อกกวนใจให้ได้ยิน

สำหรับพื้นที่ใต้ฝากระโปรงหลังนั้น รุ่น Sedan จะน้อยกว่ารุ่น Fastback
เล็กน้อยโดยลดจาก 498 เหลือ 472 ลิตร ถ้าพับเบาะหลังลงราบก็จะได้
ที่เพิ่มเป็น 1,268 ลิตร เนื้อที่จัดว่าไม่ได้เยอะมากนักสำหรับขนาดของรถ
และการยกของเข้าออกยังต้องยกให้พ้นขอบล่างของฝากระโปรง
ซึ่งค่อนข้างสูงมาก MG คงเลือกแล้วว่าระหว่างเรื่องดีไซน์กับเรื่อง
ความง่ายในการขนถ่ายของ อย่างแรกอาจจะสำคัญกว่าในสายตาเขา

MG6_2016_wholedash

แผงหน้าปัดและห้องโดยสารส่วนหน้า บรรยากาศโดยรวมดูล้ำสมัย
สวยงามและตระการตา…ถ้าคุณเพิ่งขึ้นยานเจาะเวลามาจากปี 2008 นะ
ซึ่งก็ไม่แปลกนี่ครับ เพราะงานดีไซน์ทั้งหมดจริงๆถูกทำขึ้นตั้งแต่
ก่อนปี 2008 และนำมาใช้ครั้งแรกใน Roewe 550/MG550 ที่ขาย
ในประเทศจีน (ดูรูปMG550 ได้ที่นี่..แต่ย้ำว่าอย่าดูแผงมาตรวัดนะ แฮรรี่)

ถ้าคุณรู้ว่างานออกแบบมันมีอายุเกือบ 10 ปีแล้วก็คงเข้าใจได้ถ้ามันจะ
ดูไม่ล้ำสมัยแบบคู่แข่งพวกที่เพิ่งเกิดทีหลังในช่วง 2-3 ปีมานี่ แต่อย่างน้อย
วัสดุที่ใช้ประกอบจุดต่างๆก็ไม่ได้เป็นของกิ๊กก๊อก เป็นพลาสติกแข็ง
สลับกับวัสดุกึ่งนุ่มซึ่งถ้าคุณไปดู C-Segment รุ่นอื่นๆ บางรุ่นที่ขายดีมากๆ
ก็ใช่ว่าวัสดุจะเลิศ แม้ว่าบางรุ่นจะดีไซน์และเล่นกับสีสันจนล้ำอนาคต
ต่างจาก MG6 อย่างชัดเจนก็ตาม (ลองดูภายในของ Cruze ตัวท้อปดู)

ในรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์นี้ หากคุณสังเกตด้านบนของภาพดีๆจะพบว่า
แผงบังแดดถูกเปลี่ยนใหม่ จากเดิมที่มีขนาดเล็กเหมือนถูกออกแบบมาเป็น
ที่สถิตย์ของกระจกแต่งหน้าเฉยๆ ตอนนี้มีขนาดใหญ่จนเหมือนจะโตกว่า
รถของคู่แข่งบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ และยังมีไฟแต่งหน้ามาให้ทั้งสองข้าง

MG6_2016_Dashzoom

มองจากมุมนี้ จะเริ่มเห็นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงเทียบกับรุ่นก่อนมากขึ้น
แผงสวิตช์กระจกไฟฟ้าหน้าตาคล้ายของเดิม เป็นกระจก One-Touch ทั้ง 4 บาน
ถ้าอยากให้กระจกลงหมด ให้แตะแล้วรีบปล่อยเหมือนแตะจานร้อนๆ
แต่ถ้าแตะค้างไว้นานๆมันจะทำงานในโหมดธรรมดา ใช้งานได้ไม่มีปัญหา
ยกเว้นตอนที่จอดกลางแดดแล้วพยายามจะแง้มกระจกนิดๆ คุณต้องกดลง
แล้วกดขึ้นแล้วปล่อยจังหวะให้พอดีกับขนาดช่องที่ต้องการแง้ม ถ้ามันยากนัก
ก็แง้มซันรูฟแทน..ถ้าเป็นรุ่นไม่มีซันรูฟล่ะ..ไม่ทราบครับ ปรึกษาเดฟละกัน

การพับกระจกส่องข้าง ไม่มีสวิตช์ ไม่มีสัญลักษณ์อะไรบอกจนบางคน
อาจจะนึกว่าพับไม่ได้ อันที่จริงที่เปิดคู่มืออ่านจะพบวิธีพับกระจก นั่นก็คือ
ให้กดปุ่ม L และ R ที่ส่วนปรับกระจกมองข้างค้างไว้สักพัก กระจกจะพับเอง
คือ..การกดนะไม่ได้ยากแต่อย่างน้อยทำสัญลักษณ์อะไรไว้ให้เห็นหน่อย
ก็จะดีครับ การพับกระจกสำหรับบางคนเขาชอบพับเป็นนิสัย มันไม่ควรจะต้อง
เปิดคู่มือไล่หาเพียงเพื่อที่จะพับกระจกแค่นี้ ถ้าเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้
เช่นรีเซ็ตเครื่องวัดลมยางหรือปรับตั้งค่าการปล่อยไฟหน้าเปิดค้างหลังดับเครื่อง
นี่จะไม่ว่าเลย

ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวาสุดด้านคนขับ เป็นสวิตช์ เปิด-ปิด ไฟหน้า และไฟตัดหมอก
หลัง ด้วยวิธีหมุน และดึงเข้าหาตัว 1-2 จังหวะ มีสวิตช์แบบ Toggle
ให้เลื่อนหมุน ปรับความสว่างชุดมาตรวัด ส่วนสวิตช์ปรับระดับจานฉายของ
ไฟหน้านั้นถ้าเป็นรุ่นที่มีระบบปรับองศาจานฉายอัตโนมัติจะไม่มีสวิตช์นี้
ส่วนพวงมาลัยนั้นยังเป็นทรงอวบอูม ขนาดเล็กสปอร์ต แต่หน้าตาไม่สปอร์ต
เหมือนของเดิม ปุ่มด้านซ้ายปรับเสียงและเลือก Media ที่จะเล่น ส่วนด้านขวา
เป็นที่อยู่ของระบบ Cruise Control และมีปุ่ม Mute เสียงของชุดเครื่องเสียง
โผล่มาอยู่แบบผิดบ้านผิดช่องอย่างงงๆ

MG6_2016_instrumentspanel01 MG6_2016_instrumentspanel02

แผงหน้าปัดรุ่นไมเนอร์เชนจ์ เปลี่ยนกรอบจากแบบคู่เป็นกรอบนอกเดียว
ภายในมีมาตรวัดสองวัดซึ่งเปลี่ยนหน้าตาใหม่ จากเดิมที่ใช้ฟอนท์อ่านยาก
ที่จัดแนวแบบอ่านง่าย มาใช้ฟอนท์แบบที่อ่านง่ายแต่จัดเรียงให้มองยากแทน
ในการใช้งานจริงถ้าคุณไม่ซีเรียสกับการเล็งความเร็วให้เป๊ะๆก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ถ้าอยากเป๊ะ ให้สังเกตวงกลมวงในที่เป็นขีดๆสองเส้นแล้วมีช่องว่างเล็กๆ
ระหว่างเส้นแต่ละเส้น ถ้าคุณขับให้เข็มทาบตรงนั้นได้ ก็จะจัดความเร็วรถ
ได้ลงพอดี 80,100,120 หรือ 140 ต้องอาศัยความชินกันสักระยะ

MID_mix

ขนาดมาตรวัด ยังเล็กเหมือนเดิม จอ MID ตรงกลางนั้นถ้าเป็นคนที่เริ่มแก่
(เช่นผม) มองผ่านๆแล้วอ่านค่าแทบไม่ออก ต้องหันลงมามองเต็มๆตาสักวิสองวิ
ถึงจะอ่านออกว่าวิ่งมากี่กิโลแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่ MG ไม่ทราบ เขาทราบกันแล้ว
และในรุ่นหลังๆของ MG พวกเขาก็พยายามขยายมาตรวัดให้โตขึ้น

C006

ลูกเล่นของมาตรวัดอีกอย่างหนึ่งคือเมื่อคุณผลักคันเกียร์ไปโหมด S
หรือเล่นเกียร์เอง มาตรวัดรอบและความเร็วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้มน้อยๆ
ซึ่งได้บรรยากาศรถยุโรปคล้ายพวก BMW E39 และ E60 มากขึ้น
หลายต่อหลายครั้งผมผลักเกียร์ไป S เพียงเพื่อจะเปลี่ยนสีหน้าปัดเท่านั้น

MG6_2016_leftlook

แผงพลาสติกชิ้นที่เป็นท่อนยาวจากฝั่งคนนั่งมาล้อมกรอบช่องแอร์นั้น
เปลี่ยนใหม่ ให้ความรู้สึกทันสมัยขึ้นกว่าของเดิม ระบบปรับอากาศ
เป็นแบบแยกโซนซ้าย/ขวา ซึ่งทำความเย็นได้เร็วมากสำหรับมาตรฐาน
รถยุโรป ผมจอดตากแดดไว้ครึ่งวัน กลับมาขึ้นรถแค่เปิดแอร์ 21 องศา
แล้วเปิดกระจกกับซันรูฟขับแป๊บเดียวห้องโดยสารเย็น..ซันรูฟนี่ถึงแม้
ไม่ใช่อุปกรณ์ที่ผมคลั่งไคล้อะไรขนาดนั้น แต่จริงๆมันก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ
และดูเหมือน DNA ของ MG ทั้งค่ายส่วนหนึ่งก็คือให้ให้รุ่นท้อปของแต่ละ
โมเดลมีซันรูฟนี่ล่ะ

B002

พูดถึงซันรูฟ มันก็ยังเป็นแบบเดิม พร้อมระบบ One-Touch ทั้งขาเปิดและปิด
แต่คุณต้องรีบหมุนสวิตช์แล้วปล่อยเหมือนคนโดนน้ำร้อนลวก มันถึงจะ
เปิดหรือปิดได้หมดบาน ถ้าหมุนค้างไว้นานกว่านั้นเพียงนิดเดียวจะกลาย
เป็นระบบเปิดปิดแบบ Touch Forever แทน

B010

แผงคอนโซลช่วงท้ายคันเกียร์ เป็นที่อยู่ของระบบเบรกมือไฟฟ้า
และสวิตช์ต่างๆ เช่นปุ่มล็อคประตู ปุ่มปลดล็อคประตู ปุ่มปิดระบบ
ควบคุมการทรงตัวและการลื่นไถล โดยถ้ากดทีเดียวแล้วปล่อย
จะปิดเฉพาะระบบควบคุมการลื่นไถล..ถ้าอยากกดคันเร่งล้อฟรีออกตัว
กดทีเดียวพอ แต่ถ้าต้องการปิดระบบควบคุมการลื่นไถลด้วย ให้กดค้าง
เอาไว้ 3 วินาที หน้าปัดจะโชว์ TCS off/SCS off

สิ่งที่เพิ่มมาในรุ่นไมเนอร์เชนจ์คือระบบ Auto Brake Hold
(ปุ่มรูปตัว H) ซึ่งทำงานคล้ายกับระบบของ Honda HR-V มันคือระบบ
ที่คนเมืองรถติดจะชอบ การใช้งานก็ไม่ได้ยาก คุณขับรถมาแล้วเจอ
รถติดประเภทจอด 30 วิ เคลื่อนตัว 5 วิสลับกันไปตลอด มันออกจะเมื่อย
บาทาขวาใช่มั้ย? ไม่เป็นไร กดเบรกให้รถหยุดสนิท จากนั้นก็กดปุ่ม H
นั่นซะ หน้าปัดจะขึ้นรูป (P) สีเขียว จากนั้นคุณก็ถอนเท้าออกจากเบรก
ต่อให้รถยังอยู่เกียร์ D ระบบไฟฟ้าก็จะช่วยสั่งจับเบรกเอาไว้แบบนั้น
เวลารถเคลื่อนตัว ก็แค่กดคันเร่ง คุณก็สามารถออกตัวได้เลย พอรถหยุด
อีกครั้ง ไฟ (P) สีเขียวขึ้น ก็ถอนเท้าจากเบรกได้ มันช่วยให้คุณได้มีจังหวะ
ผ่อนคลายเท้าซ้ายเวลารถติดๆ และไม่เสียเวลาเปลี่ยนเกียร์ N-D, D-N
ไปๆมาๆบ่อยๆ

B005

ระบบ Infotainment..เหมือน MG ตั้งใจเอาคืนกับสิ่งที่เราสับไว้
อย่างเละกับรถรุ่นก่อนซึ่งไม่มีระบบนำทาง เป็นแค่เครื่องเสียงที่มีจอบน
แดงๆราวกับหลงยุคมาจาก 90s ใช้งานยุ่งยากสับสนวุ่นวายชนิดที่ต้อง
ถามตัวเองว่าเราจ่ายเงินล้านหนึ่งมาเพื่อสิ่งนี้หรือ พอมารุ่นใหม่นี้พวกเขา
จับระบบ Infotainment รุ่นใหม่พร้อมหน้าจอแบบทัชสกรีนมาให้

การใช้งานแม้จะยากตอนทิ่มๆรูดๆสไลด์ๆ บางทีแค่จะเลื่อนหน้าจอเฉยๆ
ก็หลุด Enter เข้าไปในฟังก์ชั่นนั้นเฉยเลยแม้จะจอดรถนิ่งแล้วพยายาม
ไล่กดก็ตาม แต่ถ้าไม่นับเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เข้าใจง่ายกว่า
ระบบของรถรุ่นเดิมมาก เพราะอยากเข้าฟังก์ชั่นไหนก็ทิ่มไป จะทิ่มบนจอ
หรือจะใช้แผงควบคุมด้านล่างก็ได้ กด Setup ก็เจอ Setup ผมไม่ต้องเปิด
คู่มือใดๆเพื่อหาฟังก์ชั่นปรับ Equalizer ของเครื่องเสียงให้เจอ แต่เวลาเลือก
ถ้ากดปุ่มไหนแล้วไม่เวิร์ก อาจจะต้องลองเอานิ้วถูจอไปมาดู เวลากดกลับไปหน้า
ก่อนหน้า ถ้ามันกลับไปจนถึงเมนูหลัก ก็เป็นไปได้ว่าคุณไปกดลูกศรอันซ้าย
ซึ่งที่จริงต้องกดลูกศรอันขวาที่กำลังชี้ลง พูดแล้วจะงง..ใช้จริงผมก็งง แต่
ใช้สักวันสองวันคุณก็จะเริ่มจับทางมันได้เอง

screen_mix

คุณภาพของระบบเสียง เอาหูระดับชาวบ้านๆแบบผมฟังตอนแรกก็
ไม่ประทับใจนัก แต่ก็ใช้วิธีเข้าไปปรับ Equalizer เองให้เสียงเทมา
ข้างหน้า 1 ระดับ และแต่งความถี่ช่วงต่างๆเอง มันก็ให้สุ้มเสียงที่มีความ
ทุ้ม แหลม และเก็บรายละเอียดได้ดีพอ (ปกติผมชอบฟัง Jamiroquai,
Bobby Caldwell และเพลง Jazz อื่นๆ) ถ้าผมซื้อ MG6 ก็คงไม่ต้องไป
เสียเงินเปลี่ยนอะไรเพิ่ม..เครื่องเสียง JBL ของ Camry ยังฟังดูแหบแห้ง
ขาดพลังกว่านี้มาก

กล้องถอยหลังมีมาให้ แต่มุมมองไม่กว้างและเล็งลงต่ำไปนิด
ตามที่คุณเห็นได้ในภาพ

นอกจากนี้ สำหรับการเสียบ USB นั้น จะยังมีช่องเสียบอยู่ที่ช่องเก็บของ
บริเวณใกล้เข่าขวาของคนขับ เปิดฝาออกแล้วจะเห็นช่องเสียบข้างใน
แต่ถ้าคุณไม่ถนัดที่จะใช้ช่องนี้ ก็ยังมีช่องเสียบอีกช่องที่มีฝาปิดและรวม
อยู่กับแผงควบคุมระบบเครื่องเสียง เสียบพร้อมกันสองอันก็ได้ เพราะระบบ
จะแยกการอ่านออกเป็น USB1 กับ USB2 ให้ ซึ่งแค่นี้ผมว่าพอแล้ว ใช้งาน
สะดวกกว่าการเอา USB ไปซ่อนไว้ในที่เก็บของใต้ที่เท้าแขนด้วยซ้ำ

screen_mix2

อีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มมาให้คือระบบนำทาง ที่ MG เรียกว่า iGO ซึ่งใช้งานได้
ค่อนข้างดี สามารถค้นหาโรงแรมและร้านอาหารแถวๆจันทบุรีได้มาก
พอสมควร อาจจะไม่เยอะเท่าใช้ Google Map หรือ Foursquare ค้น
บนมือถือ แต่อย่างน้อยก็สามารถไหว้วานสำหรับการเดินทางได้ดีกว่า
ระบบนำทางติดรถของรถญี่ปุ่นยุค 2010-2012 ที่ใช้ก็ยากและแทบจะค้น
หาอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไม่ด้

คุณสามารถปรับเสียงการนำทางได้โดยเข้าที่ Menu>Settings
หากคุณจำเป็นต้องขับรถกลางคืนบ่อยๆ แนะนำให้เลือกเป็นภาษาไทย
เพราะเสียงที่ได้จะมีอารมณ์คล้ายอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ผู้หญิงที่
แอบแฝงแววโหดนิดๆ พอได้ยินแล้วชวนให้นึกว่ามีการบ้านอะไรค้าง
ยังไม่ได้ส่งอีกหรือเปล่า

ฟังก์ชั่นอีกอย่างหนึ่งที่มีมาให้ในรถรุ่นใหม่ เป็นระบบแอพพลิเคชั่น
สื่อสารกับรถยนต์ที่เรียกว่า Inkanet ซึ่งถ้าคิดจะใช้ อย่างแรกเลยคุณ
ก็ต้องเป็นเจ้าของรถ MG5, MG6 หรือในอนาคตก็มี MG GS ก่อน
จากนั้นก็โหลดแอพพลิเคชั่น InkaNet มาใส่ในโทรศัพท์มือถือของคุณ

Inkanet01 Inkanet02

ซึ่งเมื่อเข้าสู่ระบบ คุณก็ต้องลงทะเบียนก่อนโดยกรอกรายละเอียด
ของรถลงไป เช่นเลขตัวถัง เลขเครื่อง และรุ่นรถ ในระหว่างนี้
บางฟังก์ชั่นบน InkaNet เช่นปุ่มติดต่อ Call Center จะใช้ได้อยู่
หลังจากลงทะเบียนเสร็จและเซ็ต User ID กับ Password ได้แล้ว
คุณก็จะสามารถเข้าสู่ระบบ และใช้หน้าจอหลักสีฟ้าในการเช็ค
สถานะของรถได้

โชคไม่ดีนักที่รถทดสอบคันสีดำของเราไม่สามารถใช้ระบบ InkaNet ได้
เนื่องจากเป็นรถทดสอบสื่อมวลชนที่ยังไม่พร้อมให้ลองเล่นระบบ
อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชั่นหลักๆเท่าที่สามารถอธิบายได้จากข้อมูลระบบ
ที่ MG เคยส่งรายละเอียดให้ ผมพอเล่าย่อๆได้ดังนี้

1. ในเมนู Status (ลูกศรชี้ลง) คุณสามารถเข้าไปดูสถานะของรถได้
ว่ามีน้ำมันเหลืออยู่มากแค่ไหน เช็คระบบเบรกกับเครื่องยนต์ว่ามีปัญหา
อะไรหรือไม่ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจสอบได้ว่ามีประตูบานไหนปิดไม่สนิท
และรถของคุณล็อค หรือไม่ได้ล็อค ซึ่งถ้าหากลืมล็อค คุณสามารถสั่ง
InkaNet ให้ล็อครถผ่านมือถือคุณได้เลย

2. Map Service มีฟังก์ชั่นย่อยคือ Car Location ซึ่งสามารถบอกตำแหน่ง
ได้ว่าขณะนี้รถคุณจอดอยู่ส่วนไหน มีฟังก์ชั่น Electronic Fence ซึ่งสามารถ
เซ็ตได้ว่าถ้ารถวิ่งออกนอกบริเวณที่กำหนดในรัศมี X (แล้วแต่จะกำหนด)
เช่นสมมติว่าผมเซ็ตจุดศูนย์กลางไว้ที่บ้าน และเซ็ตรัศมีไว้ 2 กิโลเมตร
แล้วสมมติว่าแม่ผมบอกว่าจะขอยืมรถไปซื้อของในซอย แต่ (สมมติ)ว่าแม่
แอบเอาไปคลอง 5 เมื่อรถวิ่งออกนอกรัศมี 2 กิโลเมตร ระบบก็จะส่ง SMS
มาเตือนที่โทรศัพท์ตามที่ผมให้ไว้ในข้อมูลตอนลงทะเบียน

นอกจากนี้ ระบบ Map Service ยังทำงานเชื่อมกับ Google Map ..แล้วมันดี
ยังไง? ก็ดีตรงที่คุณใช้แอพตัวนี้ในการค้นหาสถานที่ด้วยสมาร์ทโฟนของคุณ
ซึ่งง่ายกว่าการทิ่มจอกลางของรถแน่ล่ะ เมื่อค้นเจอแล้วก็กดปุ่ม Issue this POI
to vehicle ระบบก็จะส่งพิกัดของร้านกาแฟที่คุณเพิ่งค้นได้ไปอยู่บน Message
ของหน้าจอกลางของรถ กดเลือกและสั่งให้นำทางได้เลย แต่สามารถใช้
ค้นหาสถานที่ได้ในรัศมีจำกัด คือประมาณ 50 กิโลเมตรจากจุดที่คุณอยู่

3. Vehicle Alarm สามารถเตือนได้เมื่อรถมีการเคลื่อนไหวแบบผิดปกติ
หรือเมื่อมีการสตาร์ทรถ และมี Message Inbox รูปซองจดหมายทางมุมขวา
เพื่อส่งข้อมูลอื่นๆได้อีก

ให้พูดสั้นๆ Inkanet คือระบบช่วยเรื่องการค้นหาสถานที่ และเป็นระบบตรวจ
สภาพรถกับช่วยเรื่องการติดตามรถกรณีศูนย์หายได้ ผมว่าเป็นระบบที่ใช้
ความสามารถของระบบสื่อสารยุคปัจจุบันได้คุ้มค่าน่าสน

เสียดายที่รถทดสอบของเราเล่นฟังก์ชั่นนี้ไม่ได้ ผมต้องขอให้คุณผู้อ่านที่สนใจ
ลองอ่าน Feature ของ Inkanet โดยคลิกดูได้ที่นี่

หมายเหตุ: เท่าที่ทราบมา Inkanet ใน MG6 จะเป็นเวอร์ชั่นเต็มที่มีหลายฟังก์ชั่น
มากกว่าของ MG5 นะครับ ของ MG5 นั้นเมนูจะหายไปบางรายการเช่นฟังก์ชั่น
ตรวจสอบสถานะรถกับฟังก์ชั่นล็อคประตู

C001

เรื่องทัศนะวิสัยของรถนั้น ในภาพรวม มันยังคงเหมือนกับ MG6 ตัวที่
เราเคยรับมาทดสอบ ซึ่งเสาหน้าที่ค่อนข้างใหญ่จะบังทัศนะวิสัยเวลา
เลี้ยวเข้าซอยในบางโอกาส แต่ก็ยังดีกว่า Civic FD ที่มีเสา A-pillar
ใหญ่และยื่นไปข้างหน้ามาก ส่วนด้านหลังนั้น รุ่นซีดานมีขนาดเสา C-pillar
ที่เล็กลงเพราะไม่ต้องทำให้กระจกท้ายและเสาใหญ่ลาดแบบรถแฮทช์แบ็ค
ดังนั้นจึงอยู่ในระดับที่พอยอมรับได้ ไม่มีอะไรน่าห่วง

engine01_resize

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

เครื่องยนต์ของ MG 6 มีรหัสว่า 18K4G   “Kavachi” เป็นขุมพลัง บล็อก
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,796 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 80.0 x 89.3 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 9.2 : 1  ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วย เอ็มเอฟไอ (MFI : Multipoint
Fuel Injection) ผ่านการควบคุมของ กล่อง ECU จาก BOSCH เจเนอเรชันใหม่
EMS6204 เพิ่มระบบแปรผันวาล์วอัจฉริยะที่หัวแคมชาฟต์ DVVT (Double
Variable Valve Timing)

กำลังสูงสุด 161 แรงม้า (PS) /5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 215 นิวตันเมตร
(21.9 กก.-ม.) ที่ /2,000 – 4,500 รอบ/นาที

ตัวเครื่องยนต์ เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว มีการอัพเดทใหม่ในรายละเอียดของฝาสูบ
(ซึ่งทาง MG ไม่ได้บอกว่าทำอะไรกับฝาสูบ) แต่มีการอัพเกรดตัวซอฟท์แวร์
กล่อง ECU เพื่อให้รองรับการเติมน้ำมันตั้งแต่เบนซิน 95 ไปจนถึง E85 ได้
(ตัวเก่าเติมได้ถึง E20) แต่ตัวเลขแรงม้าและแรงบิดตามในเอกสารเท่ากับ
รถรุ่นเดิมเด๊ะ

 

B009

ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Dual Clutch Transmission
6 จังหวะ ซึ่งไม่ใช่เกียร์คลัตช์แห้งแบบที่เราคุ้นกัน (จากรถบางยี่ห้อ) แต่เป็นแบบ
Wet Clutch..ถามว่ารู้ได้ยังไงว่าเป็น Wet Clutch ผมไม่ได้เปิดเกียร์ดูครับแต่อ้างอิง
จากหน้าเว็บของ saicmg.com

Capper01

..ซึ่งเขาเขียนไว้ว่าเป็นเกียร์ “TST 6-speed wet dual-clutch transmission”

ตัวเกียร์นั้น ทาง MG แจ้งว่ามีการปรับการทำงานของสมองกลใหม่ให้ทำงาน
ได้ดีขึ้นกว่ารุ่นที่แล้ว (นี่ล่ะบางสิ่งที่รอมานาน)

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1…………………………..3.5882
เกียร์ 2…………………………..2.1739
เกียร์ 3…………………………..1.4242
เกียร์ 4…………………………..1.0263
เกียร์ 5…………………………..1.2121
เกียร์ 6…………………………..0.9737
เกียร์ R…………………………..4.6438
อัตราทดเฟืองท้าย………4.1579/2.7241

เอาล่ะ!
แล้วในเมื่อมีการปรับปรุงทั้งตัวเครื่องยนต์และเกียร์ อัตราเร่งจะเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?
ในเมื่อรุ่นเดิมคนเห็นตัวเลขแล้วขำกันหลายคน รุ่นใหม่จะทำตัวได้ดีขึ้นมั้ย?

ในการทดสอบอัตราเร่งนั้น เนื่องจากผมเองน้ำหนักเยอะเกินเกณฑ์ เดี๋ยวไปจับเวลา
จะมีคนหาว่าไม่แฟร์ รถค่ายอื่นจับเวลาโดยใช้ J!MMY บวกคนจับเวลาอีก 1 คน
ดังนั้นใน MG6 คันนี้ ก็ต้องเชิญ J!MMY มาจับเวลาโดยมีน้ำหนักบรรทุกเท่าเดิม
เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกันกับรถคันอื่นที่เราจับเวลา

CsegmentMGacceldata CsegmentData

ดูอัตราเร่งแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ได้แรงสุดกู่หรือสร้างตัวเลขสวยแบบ
Sylphy Turbo หรือ NA 2.0 ที่แรงม้าสวยแบบ Ford Focus 2.0 GDi
แต่การปรับปรุงเครื่องและเกียร์ที่ทางวิศวกรได้ลงมือทำไปก็ไม่ได้สูญเปล่า
เพราะจากรุ่นเดิมที่อัตราเร่งอยู่ในระดับที่สามารถโดนรถ 1,600 ซี.ซี.
ของค่ายอื่นไล่ตีนต้นและช่วงกลางได้ พอมาเป็นรุ่นไมเนอร์เชนจ์จะเห็น
ได้ว่าตัวเลขอัตราเร่งเขยิบเข้าไปอยู่ใกล้กับรถ 1,800 ซี.ซี. กับ 2,000 ซี.ซี.
ของคู่แข่งมากขึ้น ตัวเลขอัตราเร่งออกตัวและช่วงเร่งแซง 80-120 นั้น
ใกล้เคียง Mazda 3 2.0 SkyActiv และ Chevrolet Cruze 2.0 ดีเซลเทอร์โบ
มากชนิดที่ว่าในชีวิตจริงใครกดคันเร่งก่อนคนนั้นมีสิทธิ์ทิ้งได้ยาวพอดู

บางท่านอาจจะมองว่าใช้เครื่อง 1.8 เทอร์โบ มันควรจะแรงกว่านี้ เร็วกว่านี้
หรือบางท่านบอกว่านั่นเทอร์โบปลอมหรือเปล่าทำไมตัวเลขมันห่วยจัง
ผมขอเสนอมุมมองของผมครับว่าตัวเครื่องไม่ได้แย่เลย ผมคิดว่าในเมื่อ
MG6 คันนี้มีน้ำหนักตัวมากกว่า 1.5 ตัน พอๆกับ Teana/Accord แล้วยัง
ทำตัวเลขอัตราเร่งออกมาได้ใกล้เคียงกับ Accord G9 2.4 ลิตร (ไม่เชื่อ
ไปเปิดดูในกระทู้รวมอัตราเร่งได้) นั่นก็แปลว่า MG เองก็เค้นประสิทธิภาพ
เครื่อง 1.8 ลิตรเทอร์โบที่ปรับปรุงมาจาก K-Series ของ Rover จนสามารถ
สร้างพลังได้ใกล้เคียงกับเครื่องหายใจธรรมดาขนาด 2.4 ลิตรแล้ว

ที่สำคัญ สิ่งที่ตัวเลขในตารางไม่ได้บอกก็คืออัตราเร่งเวลาเข้าโหมดบ้าพลัง
ซึ่งผมจะมีจุดที่ใช้ลองวัดอัตราเร่งในลักษณะกดกระแทกคันเร่งออกตัวไป
จนถึงระยะประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้อัตราเร่งช่วงปลาย
MG6 รุ่นเดิมบรรทุกน้ำหนักเท่ากันจะมีความเร็วตอนผ่านหลัก 1.5 กิโลเมตร
อยู่ที่แค่ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งพอๆกับ Honda City เกียร์ CVT

แต่ใน MG6 ไมเนอร์เชนจ์ น้ำหนักบรรทุกแทบไม่ต่างกัน ผมสามารถทำความเร็ว
ได้ถึง 192 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยอยากเชื่อว่าแรงม้าจะเท่าเดิม
ตัวเลขระดับนี้เร็วกว่า Mazda 3 2.0 ที่ผมเคยจับไว้ เร็วใกล้เคียงกับ Focus
ถ้าเครื่องยนต์ไม่ได้มีพลังจริงๆ มันคงไม่สามารถสร้างความเร็วปลายไหลๆ
แบบนี้ได้หรอกครับ ที่มันอืดเพราะน้ำหนักตัวรถมันหนักกว่าเพื่อนๆอยู่กว่า
200 กิโลกรัมนั่นแหละ

ส่วนการขับในเมืองนั้น รู้สึกได้ว่าแรงดึงในช่วงออกตัวกับช่วงเร่งแซง
ที่ความเร็วต่ำ ตัวเครื่องสามารถสร้างแรงดึงได้ดีกว่ารถรุ่นเดิม บูสท์เทอร์โบ
มาไวกว่าเดิมเล็กน้อยแต่พอมาแล้วดึงหนักกว่าเดิม ผมรู้สึกว่าถ้าเป็นเกียร์ 1
ช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง MG6 ให้ความรู้สึกสนุกกว่ารถเทอร์โบ CVT
ของคู่แข่งด้วยซ้ำไปแม้ว่าเมื่อจับเวลาจริงมันจะไม่ได้เร็วกว่ากันก็ตาม

ทีนี้มาเรื่องเกียร์..

จากที่บอกกันไว้ว่าเกียร์ของรถรุ่นไมเนอร์เชนจ์นั้นได้รับการปรับปรุงใหม่
ผลจากการลองขับโดยยืมรถมา 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ตอนรถวิ่งมา 5,600 กิโลเมตร
และครั้งที่ 2 หลังจากเข้ารับการ Maintenance โดย MG และกลับมาหาเรา
ตอนที่เลขกิโลขึ้นประมาณ 9,500 ระยะทางที่ผมขับเองในรถคันนี้รวมกันแล้ว
น่าจะทะลุพันกิโลไปไกลเพราะใช้น้ำมันไปไม่ต่ำกว่า 3 ถัง แน่นอนว่าพยายาม
ขับและจับอาการทุกอย่าง ไม่ใช่ขับประเดี๋ยวประด๋าว

การเปลี่ยนเกียร์ขาขึ้น ทำได้ดีขึ้นกว่าเดิม นุ่มนวลและต่อเนื่องสมกับที่เป็น
เกียร์คลัตช์คู่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเกียร์ 1-2-3-4 ไปเรื่อยๆเวลา
กดคันเร่งแบบปกติ หรือเวลากดคันเร่งเต็ม 100%

การกดคันเร่ง (Kick-down) เพื่อแซง ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย เมื่อตอกคันเร่งลงไป
ยังมีจังหวะที่ต้องรอให้วัดรอบตวัดขึ้นแมตช์กับเกียร์ที่กำลังจะใช้ก่อน
ไม่ได้กดปุ๊บรอบฟาดแล้วพุ่งทันทีแบบ Mazda 3 แต่อย่างน้อยช่วงเวลาที่
เกียร์เริ่มส่งพลังและสร้างแรงดึงให้รู้สึกได้นั้นสั้นลงกว่าเดิมประมาณเสี้ยววินาที
อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อัตราเร่ง 80-120 ได้เลขออกมาสวยกว่าเดิม

ความเสถียรในการตอบสนอง ดีกว่าเดิม เพราะในคันสีเงินที่ผมเคยขับ
สมัยก่อนนั้น มีบุคลิกเกียร์ที่กวนประสาทเหมือน MG ยังเซ็ตเกียร์ไม่จบ
บางทีกดคันเร่งปุ๊บรถก็พุ่งเลย บางทีกดเท่าเดิมกลับไม่ตอบสนองทันที
จนเราถอนเท้ากลับมาแล้วเกียร์ถึงเปลี่ยนลงต่ำให้ บางครั้งเวลาทดลอง
กดคันเร่งเท่าเดิมที่ความเร็วเท่าเดิม การตอบสนองและการตัดสินใจ
เลือกเกียร์ของระบบอิเล็กทรอนิกส์ก็ไม่เหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ในรถไมเนอร์เชนจ์
คันนี้ ถ้าคุณทำสิ่งใดในสภาวะใดแล้วรถตอบสนองอย่างไร เมื่อทำซ้ำอีกครั้ง
ผลที่ได้จะเหมือนเดิม ทำให้มีนิสัยคาดเดาง่ายขึ้น กะจังหวะทดเวลาตอนแซง
ได้ง่ายขึ้น

เอ้าในเมื่อที่เขียนๆมานั่นมันก็ดูเหมือนดี แล้วอะไรล่ะที่ไม่ดี?

ข้อแรกเลยคืออาการกะยักกะเย่อของเกียร์ในช่วงความเร็วต่ำ
แม้ MG จะใช้เกียร์คลัตช์คู่แบบ Wet แล้ว แต่อาการดึงหน้าดึงหลัง
เบาๆก็ยังมาปรากฏให้เห็นในช่วงความเร็ว 10-40 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ไม่ว่าคุณจะนุ่มนวลกับแป้นคันเร่งมากแค่ไหนก็ตาม อาการคล้ายกับเกียร์
คลัตช์คู่แบบแห้งนั่นล่ะครับ มันโอเคถ้าอาการนี้จะเกิดขึ้นกับรถเล็กหรือรถวัยรุ่น
แต่สำหรับรถที่จะขายในราคาระดับล้านบาท ถ้าปรับปรุงให้ทำงานเรียบกว่านี้ได้
ก็คงจะดี

ข้อที่สอง..การทำงานของเกียร์ในขณะขึ้นทางชัน ถ้าคุณขับบนเส้นทางภูเขา
ที่มีลาดขึ้นลาดลงและใช้ความเร็ว 90-100 ต่อเนื่องจะไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
แต่ถ้าวิ่งทางยาวมาสักพักแล้วเจอเนินชันที่ความเร็วต่ำกว่า 60 ลงมา เกียร์จะ
ไม่ค่อยยอมเปลี่ยนลงต่ำให้ ครั้นพอกดคันเร่งหนักเข้าก็กลายเป็นคิกดาวน์
และรถพุ่งในทันที ทำใจลำบากเป็นบ้า..คุณไม่ต้องไปวิ่งถึงสังขละบุรีหรอกครับ
แค่ลองถนนเฉลิมบูรพาชลทิตย์เลียบชายฝั่งแถวคุ้งวิมานจันทบุรีก็รู้เรื่องแล้ว
ผมวิ่งมาเจอเนินชันที่ความเร็ว 60 ซึ่งควรจะใช้เกียร์ 3 แต่ MG6 คาเกียร์ 5
ไว้เลยครับ รถก็หมดแรง ผมก็ค่อยๆป้อนคันเร่งไปจน 50% รถก็ยังไม่เปลี่ยน
เกียร์ลงให้ ต้องกดไปจนใกล้จะมิดคันเร่งและความเร็วมันร่วงลงมาแล้วนั่นล่ะ
เกียร์ถึงเปลี่ยนรวดเดียวลงเกียร์ 2 เลย

บางคนอาจจะบอกว่า โถ่ ไอ้แพน โอ้โง่ รถมันก็มีโหมด Manual โว้ย ไม่ใช้ล่ะ!

นั่นก็นำพามาสู่ข้อที่สาม..ก็โหมด Manual เนี่ยล่ะ ที่ไม่ชอบ นึกภาพว่าคุณ
ขึ้นเนินมา แล้วอยากจะเปลี่ยนเป็นเล่นเกียร์เอง คุณผลักเกียร์ไปโหมด S
และกดแพดเดิ้ลชิฟท์หรือผลักคันเกียร์ 2 ครั้งติดๆกันเพื่อลงไปเกียร์ 3
ผลก็คือ..มันจะลงแค่เกียร์ 4

ผมลองในหลายสภาพถนน โหมด Manual ของเกียร์ลูกนี้ทำงานเหมือน
เวลาที่คุณสั่งอาหารไป 4 อย่างแล้วมาถึงโต๊ะแค่ 2 ต้องให้สั่งบริกรซ้ำอีกรอบ
อยู่เกียร์ 6 ตบเกียร์ 2 ทีติดกัน มันก็ลงแค่ 5..เอาวะ ผมอาจจะตบซ้อนกันเร็วไป
ลองทำช้าลงหน่อย..ไม่เวิร์ค ผมต้องตบช้าลงจนในที่สุดจับจังหวะได้ว่า
คุณต้องตบลงเกียร์ 5 แล้วต้องเห็นรอบเครื่องตวัดขึ้นตามอัตราทดเกียร์ 5 ก่อน
จากนั้นคุณถึงจะตบอีกครั้งเพื่อลง 4 ถ้าคุณทำเร็วกว่านี้ เกียร์ไม่ทำให้คุณครับ
คุณสั่ง 2 มันจะทำให้ 1 ต้องสั่งอาหารแยกเป็น 2 ชุดถึงจะจำสิ่งที่สั่งได้

เราไม่ได้เกลียดหรืออคติกับนายนะเดฟ..แต่หลังจากที่นายลงทุนเซ็ตช่วงล่าง
เบาะและอุปกรณ์ต่างๆมาจนเหมาะกับการเป็น Cruising/Touring Saloon
แล้ว มันไม่น่าจะมาตายด้วยจุดนี้

ถ้าคุณคิดว่าเกียร์ Manual Mode ที่ดีมันควรเป็นแบบนี้ ผมนั่นแหละอคติไปเอง
..งั้นลองไปตบเกียร์ 2 ทีซ้อนแบบนี้ใน MG3, MG5 หรือรถยี่ห้ออื่นที่
ใช้เกียร์คลัตช์คู่แล้วมีฟังก์ชั่น Manual ดูก่อนแล้วกันค่อยพูด

 

MG6_2016_medriving

ระบบบังคับเลี้ยวยังใช้พวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมระบบผ่อนแรง
แบบใช้ไฮดรอลิกอยู่ แต่ได้รับการปรับปรุงเรื่องน้ำหนักที่ความเร็วต่ำ
จากเดิมที่หนักคล้าย Volkswagen Golf Mk3 ตอนนี้เบาจนเรียกได้ว่า
คุณผู้หญิงที่เคยขับรถญี่ปุ่นพวงมาลัยเพาเวอร์ยางหน้า 185 จากยุค
1995-2005 จะขับรถคันนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน ควงมือเดียวยังได้
ในการขับช่วงความเร็ว 60-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง พวงมาลัยจะมีความไว
ในช่วง 2 นิ้วแรกของการขยับซ้าย/ขวาจากจุดถือตรงค่อนข้างมาก
คล้ายกับรถญี่ปุ่น แต่ถ้าหักพวงมาลัยไปทางใดทางหนึ่งครบ 1 รอบแล้ว
วัดวงเลี้ยวของรถ ก็จะพบว่ามันมีความใกล้เคียงกว่า Nissan Sylphy
แต่ไม่ทดไวมากแบบ Mazda 3 และไม่ต้องสาวพวงมาลัยเยอะรอบแบบ
Corolla Altis

ส่วนที่ความเร็วสูงนั้น การตอบสนองของพวงมาลัยยังคล้ายรุ่นเดิม
กล่าวคือน้ำหนักหน่วงมือตอนตั้งพวงมาลัยตรงๆจะน้อยไปนิด และ
การเปลี่ยนเลนแค่เพียงหักพวงมาลัยนิดเดียวจะเปลี่ยนเลนได้เลย
แต่อย่างน้อยการหักเปลี่ยนทิศทางก็มีความเป็นธรรมชาติแบบไฮดรอลิก
ถ้าถนนไม่เรียบ พวงมาลัยก็จะส่งอาการมาให้รู้ หรือถ้าเข้าโค้งแรงๆ
แล้วยางหน้าเสียการยึดเกาะ น้ำหนักพวงมาลัยก็จะโหวงไปในทันที
มันคือคุณสมบัติที่พวงมาลัยไฟฟ้าบางรุ่นให้ไม่ได้ ถ้าจะให้นึกว่า
คาแร็คเตอร์ของพวงมาลัยใกล้เคียงกับรถรุ่นไหนมากที่สุด ก็น่าจะเป็นพวก
Mercedes-Benz E-Class รุ่นหลังๆซึ่งจะไม่หน่วงมือและแน่นแบบพวก BMW

ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วน
ด้านหลัง เป็นแบบ อิสระ Z-Type Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลงเหมือนรุ่นเดิม
เมื่อจับคู่กับยางขนาด 215/50 ล้อขอบ 17 แล้วจะยังมีอาการแข็งสะเทือนอยู่บ้าง
แต่ต้องแยกความรู้สึกให้ดีว่าเรารู้สึกสะเทือนเพราะเสียงช่วงล่างมันบอก หรือ
มันมีแรงสะเทือนที่ส่งมาถึงตัวเราจริงๆ ช่วงล่างของ MG6 มีลักษณะคล้าย
รถยนต์น้ำหนักเยอะที่ใส่โช้คอัพแข็งโดยที่ใช้สปริงความแข็งปานกลาง มันจะ
มีความสะเทือนเล็กๆเข้ามาให้รู้สึกตลอดถ้าถนนไม่เรียบ แต่มันจะไม่ดีดเด้ง
จนตัวคุณลอยจากเบาะแบบ Honda Civic ปี 2001 แน่นอน เพราะช่วงล่าง MG
จะคล้ายรถขนาดประมาณ E-Class W124, BMW E34 ที่ใส่โช้คสปอร์ตมากกว่า

ถ้าถามเรื่องความเกาะถนน หายห่วงครับ ขนาดว่ายางรถทดสอบเราสภาพ
เริ่มไม่ค่อยดีแล้ว ลักษณะการเกาะโค้งของตัวรถยังค่อนข้างเป็นธรรมชาติ
จะมีอาการท้ายโยก (โยกขึ้น..ไม่ใช่ดริฟท์) มาให้เห็นเวลาทิ้งโค้งหนักๆ
เพราะเซ็ตรถมาให้ท้ายค่อนข้างสูง ถ้าพวงมาลัยมันไวกว่านี้สักหน่อยอาจจะ
เป็นรถที่ขับเล่นเส้นทางแม่มาลัย-ปายได้อย่างสุขีเหมือน Mazda เลยก็ได้
ระบบควบคุมการทรงตัวจะไม่ไฮเปอร์ตอกบัตรทำงานเร็วแบบ Nissan
แต่จะรอจนถึงจังหวะที่คุณเริ่มต้องการความช่วยเหลือ นั่นล่ะมันถึงจะเข้ามา
พยายามปกป้องชีวิตคุณ ยิ่งถ้าเป็นถนนยางมะตอยที่มีทรายหนาๆปกคลุม
อย่างเฉลิมบูรพาชลทิตย์ช่วงที่ลึกเข้ามาในแผ่นดินบางช่วง ระบบ SCS
และ CBC (Curve Brake Control) ช่วยกันพารถผ่านโค้งไปได้ดี แต่ถ้า
เล่นกับโค้งจนเกินลิมิตรถ น้ำหนักตัวของมันจะพารถหน้าดื้อออกแบบไปทั้งคัน
แต่สไลด์ไปอย่างช้าๆ ไม่สะบัดออกแบบน่ากลัวเกินไป..ต้องระลึกไว้เสมอว่า
มันคือรถหนักตันห้าและใช้ยางหน้ากว้าง 215 ครับ

การทรงตัวที่ความเร็วสูง ไม่ต้องห่วง ถ้า MG6 ตอบโจทย์คุณไม่ได้
ก็คงเหลือรถที่ทำได้ดีกว่านี้น้อยเต็มที Ford Focus กับ Mazda 3 อาจ
ทำคะแนนได้ดีกว่ากันเล็กน้อยเพราะการที่ MG เซ็ตรถรุ่นนี้มาในลักษณะ
หน้าทิ่มและท้ายโด่ง ทำให้เวลามีลมปะทะข้างตัวรถจะออกอาการไกวไปมา
ได้มากกว่า ในภาพรวม ผมคิดว่า MG คงไม่ต้องไปแก้ไขอะไรเรื่องช่วงล่าง
ถ้าต้องการขายภาพลักษณ์ BRIT DYNAMIC และไม่ใช่ BRICK DYNAMIC
คุณเซ็ตช่วงล่างไว้กึ่งแข็งแต่เกาะและขับใช้งานไม่ทรมานตัว..แบบนี้คือจบ

 

12801479_1238712962809014_2191346988705063339_n

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

สำหรับการจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนั้น ผมให้ J!MMY ขับจับตัวเลขและน้องเติ้ง
เป็นคนนั่งเช่นเคยเพื่อลบปัญหาเรื่อง “ตีนต่าง” ซึ่งเดี๋ยวจะมีคนครหาเอาได้
J!MMY ทำการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย กันด้วยวิธีการดั้งเดิม คือพา
รถไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน
ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ในช่วงกลางคืน

เมื่อเติมน้ำมันลงไปจนเต็มถังเรียบร้อยแล้วก็เริ่มต้นการทดลองขับ คาดเข็มขัด
นิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ แค่สวิตช์พัดลมเบอร์ 1 อุณหภูมิ ปรับแบบปกติ  คือ
ไม่เย็นไปกว่า 25 องศาเซลเซียส ตามหน้าจอเครื่องปรับอากาศ

เราออกจากปั้ม Caltex เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน หน้าปากซอยอารีย์สัมพันธ์
ไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ ทะลุไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี ถึงถนนพระราม 6
จากนั้น เลี้ยวขวาขึ้นไปบนทางด่วนสายอุดรรัถยา ขับมุ่งหน้าตรงไปยัง ปลายสุด
ทางด่วน ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน อีกรอบ

รักษาความเร็ว ตามมาตรฐานเดิม คือแล่นไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดเครื่อง
ปรับอากาศ เปิดไฟหน้ารถ และนั่ง 2 คน

ในการทดสอบรอบแรก เป็นช่วงที่กรุงเทพอากาศหนาวเย็นที่สุดในรอบหลายปี
อุณหภูมิขณะทดสอบลดลงไปจนถึง 17 องศาเซลเซียส ทำให้เราเป็นห่วง
เหมือนกันว่าค่าตัวเลขที่ได้จะเพี้ยนไป

ระยะทางบน Trip Meter 92.7  กิโลเมตร
เติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 แบบไม่เขย่ารถ
(MG6 ตัวที่แล้วเราไม่ได้เขย่า)
6.88 ลิตร
คิดเป็น 13.47 กิโลเมตร/ลิตร

จากนั้น เมื่อเห็นว่าตัวเลขแตกต่างจากรุ่นเดิมมากจนน่าตกใจ J!MMY จึงทดสอบ
ซ้ำเป็นรอบที่สอง ก็ได้ค่าใกล้เคียงกันแถมแย่ลงนิดนึงเสียด้วยซ้ำไป

zFueling1Turn

เราปรึกษากันว่าจะเอาอย่างไรดี จึงลองฟังคำแนะนำจากคุณผู้อ่านและ
ผมเองก็สอบถามไปยังเพื่อนที่เป็นจูนเนอร์และอาจารย์วิศวกรรมศาสตร์
และสรุปได้ว่าบางครั้งอากาศที่เย็นมากๆอาจส่งผลให้รถกินน้ำมันขึ้นถ้าหาก
อุณหภูมิของตัวเครื่องต่ำเกินกว่าที่น้ำมันจะถูกฉีดและระเหยเป็นไอได้อย่าง
มีประสิทธิภาพ (เรื่องนี้ก็แปลกดี เพราะผมคิดมาตลอดว่าอากาศเย็น ไอดีเย็น
น่าจะทำให้รถสร้างพลังได้ดี แต่เงื่อนไขการขับเวลาเรียกพลัง กับเวลาขับนิ่งๆ
ใช้รอบคงที่ต่ำไปเป็นระยะทางนานๆ อาจจะไม่เหมือนกัน)

เราตัดสินใจขอรถจาก MG มาทดลองจับตัวเลขอีกครั้งในเดือนมีนาคม
ซึ่งอากาศเริ่มเข้าสู่สภาวะ “ร้อนปกติแบบไทยๆ” ผลที่ได้มีดังนี้

ระยะทางบน Trip Meter 92.8  กิโลเมตร
เติมน้ำมันเบนซิน Techron 95 แบบไม่เขย่ารถ
(MG6 ตัวที่แล้วเราไม่ได้เขย่า)
6.37 ลิตร
คิดเป็น 14.56 กิโลเมตร/ลิตร

ลองทำซ้ำอีกรอบ ก็ได้ตัวเลขไม่ดีไปกว่านี้ เราจึงเลือกค่าที่ได้เป็นค่า
สำหรับการทดสอบ

CsegmentMGconsumedata

สังเกตได้ว่าตัวเลขไม่ดีเท่าเดิม ทั้งที่โดยปกติแล้ว หากเอารถบอดี้
ซาลูนมาทดสอบเทียบกับแฮทช์แบ็ค รถซาลูนมักได้ตัวเลขที่ดีกว่า
แต่ในกรณีนี้ ผมคาดเดาว่าอาจจะเป็นเพราะการปรับจูนกล่อง ECU
และโปรแกรมการจ่ายน้ำมัน จากเดิมรองรับแค่น้ำมัน E20 แต่ตอนนี้
ต้องรองรับถึง E85 ด้วย ทำให้ต้องเผื่อการจ่ายน้ำมันให้หนาขึ้นอีกนิด
แม้ว่าระบบของรถจะสามารถปรับค่าน้ำมันชดเชยได้โดยอาศัย Input
จาก O2 Sensor แต่ก็ต้องมีการจูนเผื่อเรื่องความทนทานในการใช้งาน
ระยะยาวด้วย ไม่ใช่ประหยัด แต่ร้อนและเสื่อมสภาพไว

ในการใช้งานในชีวิตจริง หากเป็นการใช้งานในเมืองแบบเท้าหนักๆ
สลับกับการวิ่งบนทางด่วน และผ่านเขตรถติดด้วยแล้ว น้ำมันในถัง 62 ลิตร
จะเพียงพอให้วิ่งได้เป็นระยะทางประมาณ 430-500 กิโลเมตร ซึ่งไม่ต่าง
จากรุ่นเก่ามากเท่าที่คิด

นอกเหนือจากการให้ J!MMY จับอัตราการสิ้นเปลืองแล้ว ผมเองก็ได้
นำรถไปลองวิ่งและขับตามธรรมชาติของผม ไม่ว่าจะไปถ่ายรูปรถที่
อ่างเก็บน้ำกังหันลมลำตะคอง หรือขับไปจันทบุรี ชลบุรีเพื่อเก็บภาพ
และทำความรู้จักกับตัวรถไปขณะที่ขับ หากคุณขับแบบใจเย็นๆเร่งแซง
เท่าที่จำเป็น ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงเลยนั้น โอกาสที่จะ
ได้ตัวเลข 12-13 กิโลเมตร/ลิตรจะสูง อย่างไรก็ตาม หากผมขับตามนิสัย
ปกติที่รีบบ้าง เร่งเอามันส์บ้าง มีขับ 110 บ้าง และบางช่วงก็ 130 บ้าง
ตัวเลขจะหล่นลงตามน้ำหนักเท้า ทริปไปกลับกรุงเทพ-จันทบุรีผมทำได้
10.96 กิโลเมตร/ลิตร ในขณะที่การวิ่งไปกลับอำเภอบางทรายจังหวัดชลบุรี
ซึ่งใช้ความเร็วสูงขึ้น ตัวเลขจะลงมาเหลือ 10.21 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่า
มากกว่ารถเครื่อง 1.8 ลิตรหรือ 2.0 ลิตรไร้เทอร์โบของคู่แข่งอยู่ราว 15-25%
เมื่อขับโดยผมเหมือนกัน

 

++ข้อสังเกตที่พบในรถทดสอบ++

zHeadlightIssue2

ผมแยกหัวข้อนี้ออกมาต่างหากเพื่อที่บทสรุปส่งท้ายจะได้ไม่ต้องยาว
สิ่งที่เขียนไปนี้ไม่ได้ทำเพื่อดิสเครดิตรถหรือใครก็ตามแต่ หากใครไม่ได้พบ
ปัญหาแบบเดียวกับที่ผมเจอ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ผมอยากตั้งข้อสังเกต บันทึก
และยินดีรับฟังหากใครมีข้อมูลสนับสนุน/หักล้างที่น่าเชื่อถือและไม่กวนตีน

ไฟหน้าแบบปรับองศาอัตโนมัติ..ผมอยากให้เจ้าของ MG6 รุ่นที่มีระบบ
ปรับองศาจานฉายอัตโนมัติช่วยสังเกตหน่อยว่าเวลาวิ่งเร็วๆ ไฟมันส่อง
ไกลขึ้นอย่างเหมาะสมหรือไม่ เพราะเท่าที่ผมสังเกตดูในรถทดสอบคันนี้
แม้ว่าเวลาสตาร์ทรถจานฉายจะมีการกระดิกเทสต์ตัวเองเป็นปกติ แต่เจ้ากรรม
เวลาขับทางไกลตอนผมกลับจากเมืองจันทบุรีนี่เครียดมากครับ ไฟหน้ามัน
ส่องไปไม่ไกลเท่าที่ควรและแทบไม่มีการกระจายแสงขึ้นด้านบนเลย
ผมเกือบเบรกหลบมอเตอร์ไซค์ที่ขับไม่เปิดไฟท้ายไม่ทันเพราะไฟหน้ามัน
ส่องหาแมงกะชอนแต่ไม่สะท้อนสิ่งที่อยู่สูงกว่านั้นจนกว่าคุณจะเข้ามาใกล้
ในระยะที่เบรกหรือหลบเกือบไม่ทันแล้ว

คุณดูในรูปที่ผมโพสท์ไว้ด้านบน จะดูเหมือนไฟส่องได้ไกล แต่จริงๆระยะ
ส่องของไฟมันยาวแค่ประมาณ 3 เส้นประถนนหรือสั้นกว่านั้น..ยาวประมาณ
1 ความกว้างหน้าบ้านคนฐานะปานกลางตามชานเมือง กว่าที่รัศมีไฟจะส่องสูง
จนแตะทะเบียนรถคันหน้าได้ ผมต้องขับเข้าไปจนเหลือระยะห่างแค่ 2 ช่วงคัน

ผมแจ้งทาง MG ไปให้ตรวจสอบ และรับรถกลับมาอีกครั้งตอนเดือนมีนาคม
ซึ่งทุกอย่างก็เหมือนเดิมและทาง MG ก็บอกว่าไฟหน้ามันทำงานปกติ
ผมว่าการที่มันไม่แยงตาคนขับสวนมามันก็เป็นเรื่องดีครับ แต่เวลาขับทางไกล
หากคุณต้องเปิดไฟสูงสลับไฟต่ำเองต่อเนื่องเป็นร้อยกิโลเมตร ไม่สนุกครับ
และอันที่จริงรถรุ่นอื่นๆที่ MG ขายและผมรับมาทดสอบก็ไม่ได้มีไฟหน้าที่ส่อง
ต่ำมากขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเกรงใจและกลัวความเสี่ยง ผมเอาประแจขันตั้งไฟหน้า
เองไปแล้วครับ แต่ไม่ทำเพราะถ้าเกิดผมพลาดทำพัง คนที่ยืมรถคนต่อไปเดือดร้อน

zTPMSreset

อย่างที่สอง อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ทำความเข้าใจไว้สักนิดก็ดี
รถ MG6 จะมีระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง และในระหว่างขับรถกลับบ้าน
เมื่อไปรับรถมาทดสอบรอบสองนั้น จู่ๆไฟเตือนสีส้มก็วาบขึ้นพร้อมกับบอกว่า
แรงดันลมยางไม่ปกติ ผมต้องจอดและลงมาสำรวจด้วยสายตา..ก็ดูปกตินี่
จากนั้นก็ขับรถไปทำธุระ ไปพบกับคุณหมอภูผา คนอ่านของเราที่มาจากอุดร
และขับไปส่งคุณหมอที่สนามบินดอนเมือง ระหว่างนั้นก็ช่วยกันดูลักษณะยาง
ซึ่งก็ปกติดี ขับไปเช็คลมยาง 4 ล้อก็ปกติเช่นกัน

คือระบบเช็คแรงดันลมยางของ MG นี่ มันไม่ได้เอาเซ็นเซอร์แรงดันไปแปะไว้
ที่ยางนะครับ แต่ใช้วิธีเอาเซ็นเซอร์ของระบบ ABS นี่ล่ะ วัดลักษณะการหมุน
ของล้อ แล้วเทียบการหมุนของแต่ละล้อว่ามีล้อไหนหมุนมากหรือน้อยผิดปกติ
MG เองก็รู้ และเขียนเตือนเอาไว้ในคู่มือ (ซึ่งผมเผยแพร่ต่อไม่ได้เพราะ
มีการเขียนห้ามทำซ้ำ ทำสำเนาเผยแพร่ไว้บนคู่มือ) ว่ามันเป็นระบบที่ช่วยเช็ค
เฉยๆและอาจทำงานผิดพลาดได้ในบางกรณี ผมสำรวจแล้วพบว่ายางหน้าซ้าย
และหน้าขวาเป็นยางคนละยี่ห้อกัน ซึ่งคงถูกเปลี่ยนด้วยความจำเป็นจริงๆ
ก็เลยเช็คลมยางใหม่ จากนั้นสตาร์ทรถ เข้าเกียร์ P ดึงเบรกมือขึ้นและเข้าเมนู
บนหน้าจอ TPMS Reset (ซึ่งถ้าไม่ดึงเบรกมือขึ้นเมนูนี้จะไม่ปรากฏ) และทำการ
รีเซ็ตระบบใหม่ จากนั้นอีกหลายร้อยกิโลเมตรก็ไม่ปรากฏไฟเตือนขึ้นอีกเลย

เจ้าของ MG6 ถ้าเจอแบบนี้ ไม่ต้องตกใจนะครับ เช็คลมยางให้ดี เช็คว่าไม่มี
ตะปูหรือไขควงตำคายางอยู่ Reset TPMS แล้วก็จบครับไม่มีปัญหา

นอกจากนี้ปัญหาที่เจอก็เป็นเรื่องศูนย์ล้อ ซึ่งไม่ใช่ Defect ..มันเป็นเรื่องที่
เกิดขึ้นได้จากการใช้งานโดยเฉพาะกับรถทดสอบ ตั้งได้ แก้ได้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ฝาท้ายระบบไฟฟ้า บางทีกดให้เปิดจะไม่ยอมเปิด และเวลาเปิดจะไม่เด้งขึ้น
บางคนกดไป เห็นฝาท้ายไม่เด้งเลยนึกว่ากดไม่ติด แต่ถ้ามาลองงัดๆมันขึ้น
ฝากระโปรงจะเปิดได้ครับ ถ้ารถใครไม่มีอาการนี้ ก็ถือว่าโชคดีแล้วครับ

 

MG6_2016_byTheSea

********** สรุป **********
รถขับทางไกลชั้นดี แรงดีขึ้น ดูคุ้มขึ้น มีจุดเด่นแต่ยังขาดจุดขาย

หลังจากที่ MG6 โฉมแรกหักอกผมในเรื่องประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับราคา
การกลับมาของรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งใดก็ตามที่ MG
สามารถปรับปรุงได้ พวกเขายินดีที่จะลองทำเสมอ แม้ว่า MG6 จะไม่ใช่
พระเอกในการสร้างยอดขายให้ทางค่าย (หน้าที่นั้นเป็นของ MG3)

อย่างแรกเลยคือในเรื่องอัตราเร่ง เมื่อใดก็ตามที่คุณเรียกม้าทั้งคอกมาใช้
MG6 ไมเนอร์เชนจ์ก็พาคุณไปถึงขอบฟ้าได้เร็วกว่ารุ่นเดิม แต่ก่อนนั้น
เร่งไปทีนึงยังกลัวว่าพวกรถ 1.6 ลิตรจะตามดูดเอาได้ ตอนนี้ MG6 ใหม่
สามารถเล่นกับพวกรถ 2.0 (ที่ไม่ใช่ Ford Focus) ได้อย่างไม่เคอะเขิน

การทำงานของเกียร์คลัตช์คู่ จากเดิมที่ขาดความเสถียร ทำตัวเป็นวัยรุ่น
อารมณ์แปรปรวนบวก Bi-Polar ก็ได้รับการปรับปรุงให้มีนิสัยที่คาดเดาง่าย
เคยสั่งเท่าไหร่อย่างไร ทำกี่ครั้งก็ตอบสนองไม่เปลี่ยนสไตล์ หากเป็นการขับ
ในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปที่ไม่ใช่พวกบ้าพลัง คุณอาจมองว่ามันดีพอ
ซึ่ง MG6 ในวันนี้ก็มีการตอบสนองของเกียร์ดีใกล้เคียงกับ Fiesta EcoBoost
คลัตช์คู่เวอร์ชั่นอัพเดทแล้ว

ภายในรถ แม้ว่าจะยังใช้แดชบอร์ดทรงเดิม แต่ก็เปลี่ยนแผงกรอบแอร์ใหม่
เปลี่ยนแผงประตูใหม่ เปลี่ยนแม้กระทั่งแผงบังแดดซึ่งเดิมดูเหมือนกระดาน
แผ่นเล็กๆกลายเป็นแผงบังแดดที่ใหญ่เหมือนรถทั่วไป วัสดุหนังหุ้มจุดต่างๆ
ดีเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังให้อุปกรณ์มากขึ้นกว่าเดิม จอกลางแดงๆที่ใช้ยาก
ก็เปลี่ยนเป็นระบบ Infotainment หน้าจอ Touch Screen ซึ่งคุณสามารถ
เรียนรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนได้ด้วยวิถีไทย (เดาโดยไม่เปิดคู่มือ) เพิ่มเบาะไฟฟ้า
ด้านคนนั่งที่ปรับสูงต่ำได้ เพิ่มระบบ Brake Hold ที่ช่วยลดอาการเมื่อยเท้าซ้าย
เวลารถติดได้ดีโดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์ N-D, D-N บ่อยๆ

หน้าตาของรถภายนอกก็ดูหล่อเหลาขึ้น ไฟหน้า ไฟท้าย กันชน และลายของล้อ
อัลลอยที่เลือกมาในรุ่น 1.8Turbo X ทำให้รถดูมีมาดผู้ใหญ่หรู สมราคาขึ้น

MG6_2016_DiagonalRight

แล้วจุดไหนล่ะที่บอกว่ายังไม่จบ?

เกียร์นั่นล่ะครับ ที่ยังไม่จบ เพราะแม้จังหวะคิกดาวน์จะจับส่งพลังได้เร็ว
และดีขึ้น แต่ก็ยังขับได้ไม่เรียบเวลาใช้งานที่ความเร็วต่ำกว่า 40 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ซึ่งจะมีอาการเย่อหน้าเย่อหลังเบาๆให้รู้สึกได้ต่อให้คุณจะเทพกับ
การคุมคันเร่งละเมียดเม็ดทรายแค่ไหนก็ตาม นี่คือจุดที่คนขับประเภทผู้ใหญ่
อายุมากๆอาจไม่ชอบนัก นอกจากนี้เวลาขึ้นทางชัน ก็ไม่ค่อยยอมเลือกเกียร์
ที่เหมาะสมให้ ต้องกดคันเร่งเกือบมิดถึงลงเกียร์ให้ แล้วก็ลงดุมากจนแรงเลยป้าย
โหมด +/- ทำงานไวระดับหนึ่ง แต่ถ้ากด + หรือ – ติดๆกันสองที ระบบจะเปลี่ยน
ให้แค่เกียร์เดียว ถ้าจะลงจาก 6 มา 4 คุณต้องกด – แล้วรอให้รถเข้าเกียร์ 5 เสร็จ
แล้วค่อยกดลง 4 อีกที

นอกจากนี้ยังมีเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงซึ่งไม่ได้จัดว่าประหยัดนัก
เมื่อเทียบกับรถคันอื่นที่เร่งได้ไวพอกัน มันคือผลพวงจากน้ำหนักรถและ
เกียร์ซึ่งบางครั้งพยายามจะปล่อยให้ใช้เกียร์สูงมากจนต้องกดคันเร่งเรียกสติ
มันกลับมาบ่อยๆ ดังนั้นถ้ามันจะกินพอๆกับรถ D-Segment ก็ต้องรับสภาพกันไป

อันที่จริง การตอบสนองของพวงมาลัยก็ยังไม่ถึงขั้นถูกใจนักเมื่อเทียบกับ
คู่แข่ง แต่เรากำลังพูดถึงการทำรถในโลกของความเป็นจริง ซึ่ง MG6
ยังต้องใช้ตัวถังหลักแบบนี้ในการทำตลาดต่อไป การเปลี่ยนแปลงที่
เยอะและรวมไปถึงส่วนกลไกหรือระบบไฟฟ้า หรือการเปลี่ยนที่ต้องพัฒนาใหม่
เช่นแผงคอนโซลทั้งชุดนั้น อาจจะดูไม่คุ้มค่า สู้เก็บข้อมูลไว้พัฒนาเจนเนอเรชั่น
ใหม่แล้วค่อยกลับมา “เอาคืน” ดีกว่า

XIMG_1011

เมื่อมองจากองค์ประกอบโดยรวมของรถทั้งคัน ผมคิดว่าลูกค้า
ประเภทที่เหมาะกับ MG6 น่าจะเป็นคนที่ไม่ต้องการจับรถกระแสหลัก
มีความรู้เรื่องรถยนต์พอประมาณในระดับที่มีสังคมมีคลับรับข่าวสาร
และแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ มีความมั่นใจ ไม่สนเรื่องจำนวนศูนย์บริการ
ราคาอะไหล่ หรือราคาขายต่อ..ชอบรถที่ขับทางไกลเร็วๆแล้วมั่นใจ
มีพละกำลังสำรองในการแซงดีและมีพื้นที่เบาะหลังนั่งสบายสำหรับ
เพื่อนตัวโตๆหรือบิดามารดา

ถ้าคุณขาดข้อใดข้อหนึ่งหรือสองข้อจากที่ผมบอกไป คุณจะพบว่ารถ
ของคู่แข่งอีกหลายรุ่นก็สามารถเข้ามาทำให้คุณปันใจไปคบค่ายอื่นได้เลย
นี่คือสิ่งที่ผมหมายถึง ตอนที่บอกคุณว่ารถมันมีจุดดี แต่ยังขาดจุดขาย

ถ้าคุณสนแค่เรื่องพละกำลังบนทางตรง Sylphy Turbo ก็ให้คุณได้
อย่างเร็วและอย่างแรง ออพชั่นติดรถมีมาให้ครบทั้งเรื่องบู๊และบุ๋น
ราคาเดิม 999,000 ต้องรอดูราคาใหม่ก่อนว่าจะแพงแค่ไหน แต่ช่วงล่าง
และความสบายบนเบาะหลังในภาพรวมสู้ MG ไม่ได้

ถ้าคุณเป็นคนประเภท Senna กลับชาติมาเกิด รักการลากรอบ ชอบรถที่
ควบคุมได้เหมือนแขนขาและสมองของตัวเอง วิ่งผ่านถนนโค้งธรรมดาที่คนอื่น
เห็นแต่หมากับยางมะตอยแต่คุณเห็นเป็นไลน์ เป็น Chicane และความท้าทาย
คุณคงมี Mazda 3 SkyActiv อยู่ในใจแล้วถึงแม้อัตราเร่งทางตรงเวลากดเต็ม
มันจะไม่ได้แรงกว่า MG6 และการออกแบบเรื่องพื้นที่ยังไม่ค่อยแคร์คนนั่งหลัง

ถ้าคุณขับรถเร็วพอประมาณ เน้นพื้นที่ภายในรถเป็นหลัก เน้นเรื่องการใช้
ระยะยาว ศูนย์บริการ และราคาขายต่อ Altis ESport ก็ไม่ได้แย่อะไร มันดีกว่า
Corolla รุ่นก่อนๆเพียงแต่อุปกรณ์ในรถไม่มากเท่า MG6 และช่วงล่างยังสู้ไม่ได้
ยิ่งถ้าคุณเน้นความนุ่มและไม่สนการขับในบทบู๊ Altis รุ่นที่ใช้ล้อ 16 นิ้วมันก็
ตอบโจทย์คุณได้ และอันที่จริงถ้าคุณเป็นคนที่ชอบ Corolla คุณไม่ควรอ่าน
บทความนี้มาจนถึงบรรทัดนี้แล้วด้วยซ้ำ

นี่เรายังไม่ได้พูดถึง Focus 1.5 EcoBoost ที่จะมาในช่วงกลางปี และ Civic
Turbo ซึ่งยังไม่ได้นำมาทดสอบกันอย่างจริงจัง..คุณจะเห็นได้แล้วว่าในเมื่อ
คู่แข่งทั้งหมดพกอาวุธมาครบมือ MG6 ซึ่งไม่มีจุดขายเฉพาะตัวหลายข้อ
มากพอที่จะถีบตัวเองเหนือคู่แข่งแบบชัดๆได้ แต่ราคาอยู่ในระดับค่อนข้าง
สูงของกลุ่ม (แต่ยังไม่แพงเท่าราคา Civic Turbo RS) ยอดขายของมันจึง
สะท้อนการยอมรับของผู้บริโภคชนิดไปตามหลักเหตุและผล

DSCF2575_resize

ตลาดประเทศไทยเองก็ไม่ใช่ตลาดที่ง่าย ความต้องการและความคาดหมาย
ของลูกค้าในประเทศเรานั้นอาจจะซับซ้อนกว่ายุโรปหรือญี่ปุ่นด้วยซ้ำไป
MG6 เป็นปฐมบทของ “New Age MG” ที่ต้องเป็นหน่วยกล้าตายบุกเข้า
สงครามก่อนเพื่อน..ด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีที่มีอายุครบ 6 ปี ณ วันที่มัน
เข้ามาสู่สมรภูมิที่ชื่อ “ไทยแลนด์” ณ วันนี้ การอัพเดทตัวรถที่ MG มอบให้
กับเจ้า 6 ก็ถือว่าพอต่ออายุได้ไปอีกระยะหนึ่ง แต่การเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือ
เป็นหลังมือนั้น อาจจะต้องรอรถเจนเนอเรชั่นใหม่กันไปเลย

ขอแค่ให้ MG อย่าเพิ่งยอมแพ้ เพราะในเมื่อยังมีหนทางสร้างยอดขายจาก
MG3 และ MG5 ก็ให้ยืนหยัดสู้ไว้ก่อน สร้างเครือข่ายศูนย์บริการเอาไว้
เรียนรู้จากสิ่งที่แบรนด์เจ้าตลาดทำพลาดและเสนอทางเลือกที่ดีกว่า
ให้กับผู้บริโภค หากสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้รับการพัฒนาควบคู่ไปกับตัวรถ
อินดี้น้อยลงนิด เข้าใจลูกค้ามากขึ้นหน่อย มันยังมีทางเป็นไปได้ที่ในอนาคต
ลูกค้าส่วนใหญ่จะยอมรับแบรนด์ MG เหมือนกับที่พวกเขาเปิดใจให้กับแบรนด์
ทางเลือกรายอื่นๆ

สู้ไว้เดฟ เราเป็นกำลังใจให้นาย

 

—————————-///—————————–

MG6_2016_eveningnight

 

ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท MG Sales (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ

 

 


เรื่อง: Pan Paitoonpong ภาพ: Pan Paitoonpong/Moo Cnoe
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
16 มีนาคม 2016

Copyright (c) 2016 Text and Pictures Except some historic pictures from MG
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
16 March 2016

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!