28 – 29 ตุลาคม 2015
08.30 น. เวลา ณ ประเทศ ญี่ปุ่น
2 ปีแล้วสินะ ที่เราไม่ได้มายืนอยู่ ณ จุดนี้
Tokyo Big Sight สถานที่จัดงาน Tokyo Motor Show ต่อเนื่องกันเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่
ปี 2011 ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ริมอ่าว Tokyo Bay บนผืนแผ่นดินเกิดใหม่ จากการถมขยะ
จนกลายเป็นเขตเมืองใหม่ที่เรียกว่า Odaiba ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยคุ้นเคยกันดี
การย้ายสถานที่จัดงานมาอยู่ที่นี่ ทำให้การเดินทางจากใจกลางกรุง Tokyo ไปยังงานแสดง
รถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก สะดวกง่ายดายกว่าเดิมเยอะ แค่ต่อรถไฟอะไรก็ตาม
มาลงที่สถานี Shimbashi แล้วออกมาขึ้นรถราง Mono-Rail สาย Yurikamome ข้ามสะพาน
Rainbow Bridge มาลงที่สถานี Kokusai-Tenjijo-Seimon ออกจากสถานีปุ๊บ คุณก็มาถึงงาน
Tokyo Motor Show ได้ในเวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้ นอกจากบริษัท Honda Automobile (Thailand) จำกัด จะอนุเคราะห์
การเดินทางในทริปนี้ให้ผมแล้ว ทางบริษัท Toyota Motor (Thailand) จำกัด ยังเป็นอีก 1 ค่าย
ที่ติดต่อเชื้อเชิญผมมาร่วมชมงานในปีนี้ด้วย
ทำไงละทีนี้ จะให้แยกร่างไป ทั้ง 2 ค่าย ก็คงไม่ได้ ขณะเดียวกัน ผมก็อยากได้น้องๆ สมาชิก
The Coup Team ของ Headlightmag.com เรา ไปช่วยงานในรอบสื่อมวลชน ซึ่งจัดขึ้น 2 วัน
คือ 28 – 29 ตุลาคม 2015 (ส่วนรอบประชาชนทั่วไป ลากยาวเต็มๆ ตั้งแต่รอบ Preview ช่วง
บ่ายวันที่ 29 ตุลาคม จนถึง 8 พฤศจิกายน 2015 รวม 10 วัน)
สรุปว่า งานนี้ เราพา น้อง MoO ธีรพัฒน์ อาชวเมธีกุล สมาชิกใหม่ของทีม มาเปิดหูเปิดตา
เปิดประสบการณ์ ทำข่าวในต่างแดนกันเป็นครั้งแรกเสียเลยแล้วกัน!
ถึงแม้ผู้จัดงานจะแบ่งพื้นที่การจัดงานในปีนี้ ออกเป็น 2 Hall คือ East และ West Hall ตามเคย
แต่ปีนี้ ตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละบูธ ของทุกค่าย ถูกเปลี่ยนแปลงโยกย้าย ไม่เหมือนเดิมเลย โดย
East Hall ทั้ง 1 – 6 จะมีผู้ผลิตรถยนต์ รวมตัวกันอยู่หนาแน่นที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
มากที่สุด ได้แก่ Daihatsu , Honda, Mitsubishi Motors, Subaru,Suzuki,Toyota/Lexus และ
กลุ่มผู้ผลิตค่ายยุโรป ทั้ง Alpina, BMW/MINI, Jaguar/Land Rover , Mercedes-Benz/AMG
/Maybach/Smart และแบรนด์ประหลาด RADICAL
ไม่เพียงเท่านั้น บรรดารถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ยังอยู่ในอาคาร East Hall อีกด้วย มากันครบทั้ง
Hino, Isuzu, Mitsubishi-FUSO,UD-Truck (อดีต Nissan Diesel และ Volvo Truck (สังเกต
ไหมครับ ปีนี้ Hyundai ไม่เข้าร่วมงานเลย ทั้งรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถเพื่อการพาณิชย์)
ขณะเดียวกัน กลุ่มจักรยานยนต์ ก็ย้ายมาอยู่ที่ Hall นี้แทบทั้งหมด มากันประปราย ทั้ง Honda
Kawasaki, Suzuki,Yamaha, BMW , BRP และ Indian/Victory/Polaris
ส่วน West Hall นั้น ชั้นล่าง ปีนี้ แน่นขนัดไปด้วยผู้ผลิตรถยนต์ ญี่ปุ่น ที่มีเพียง 2 ราย คือ Mazda
กับ Nissan ที่เหลือ รายล้อมด้วยผู้ผลิตจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Audi , Citroen / DS,
กลุ่ม Fiat / Alfa Romeo / Abarth / Jeep , Peugeot , Porsche , Renault และ Volkswagen
(ผู้อื้อฉาวจากกรณีโกงค่าไอเสียขุมพลัง Diesel Turbo…แล้วเราจะไปตอกย้ำเค้าทำไมละเนี่ย???)
ขณะที่ชั้นบน จะมีนิทรรศการ Smart Mobility แสดงถึงเทคโนโลยียานยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อม
และการจัดการด้านการเดินทางด้วยระบบ ITS ต่อเนื่องจากปีก่อนๆ
บรรยากาศของงานในภาพรวม เป็นอย่างไร เราลองไปฟังความรู้สึกของน้อง Moo กันหน่อยดีกว่า!
MoO Cnoe : ลองนึกภาพตามนะครับ บรรยากาศทั้งงาน Motor Show และ Motor Expo ในบ้านเรา
แล้วขยายความยิ่งใหญ่ ทั้งพื้นที่และความอลังการของแต่ละบู้ธออกไปอีก 3-4 เท่า ปกติแล้วถ้าเดิน
ในงานบ้านเรา วันเดียวก็น่าจะได้สัมผัสกับรถที่มาจัดโชว์น่าจะครบทุกคัน แต่กับ Tokyo Motorshow
พูดได้เลยว่า ต้องใช้เวลา 2 วันถึงจะครบ แล้วครบแบบว่า แต่ละคันได้สัมผัสแบบผ่านๆด้วยนะครับ
ผมมีเวลาแค่ 5 ชั่วโมงกว่าในการเดินงานนี้ !!! คิดดูแล้วกันว่า ต้องรีบเดิน รีบสัมผัสกันขนาดไหน
แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ครบอยู่ดีครับ ฮ่าๆ แต่ทุกก้าว ทุกนาทีที่เดิน ก็เก็บเอาบรรยากาศ และ รถคันที่
สำคัญๆ ที่จะมาทำตลาดในเมืองไทย มีแนวโน้มว่าจะมา หรือ น่าสนใจ มานำเสนอให้คุณผู้อ่าน
ได้รับชม ได้อ่านกันครับ ส่วนรถต้นแบบ Concept Cars ต่างๆ คงต้องเป็นหน้าที่ของพี่ J!MMY
มาเล่าให้ฟังกัน ไล่เรียงไปตามลำดับตัวอักษร พร้อมแล้วก็ออกเดินไปด้วยกันครับ
Alfa Romeo
ประเดิมบูธแรก เป็นรถจากฝั่งอิตาลีกันก่อนเลย งานนี้เอามาโชว์กันสองรุ่นได้แก่ Giulietta
ซึ่งเป็นรถครอบครัวขนาดเล็ก ใช้แพลทฟอร์มที่ดัดแปลงมาจาก Lancia Delta กับ Fiat Stilo
โดยนำมาปรับให้มีฐานล้อยาวขึ้นและโอเวอร์แฮงหน้าสั้นลง เครื่องยนต์มีมากมายหลายแบบ
แต่เครื่องเบนซินตัวหลักก็คือ 1.4 ลิตรเทอร์โบชาร์จ MultiAir TCT 170 แรงม้า และเครื่องยนต์
1750TBi เทอร์โบชาร์จ 240 แรงม้า ซึ่งมาจากความจุแค่ 1,742 ซี.ซี.แต่วิ่งตับแล่บไม่แพ้
Hot hatch 2.0 ลิตรของค่ายอื่น
แต่รถที่โดดเด่นจริงๆในบูธนี้ เห็นจะเป็น Alfa Romeo 4C Spider ซึ่งเป็นรถที่เอาเวอร์ชั่น
หลังคาแข็งมาเปลี่ยนให้มีหลังคาตรงกลางถอดออกได้แบบทาร์ก้า และยังมีการเปลี่ยน
ฝากระโปรงหลังกับท่อไอเสียด้วย จุดเด่นของ 4C อยู่ที่การเป็นรถขนาดเล็กที่ใช้โครงสร้างตัวถัง
ส่วนกลางทำมาจากคาร์บอนไฟเบอร์แบบพวกซูเปอร์คาร์ ทำให้เวอร์ชั่นหลังคาแข็งมีน้ำหนัก
ไม่รวมของเหลวแค่ 895 กิโลกรัม แต่ในรุ่นSpider นั้นวิศวกร Alfa ต้องปรับโครงสร้างตัวถังใหม่
เพื่อให้มีความปลอดภัยและแข็งแรงเนื่องจากไม่มีหลังคากลางคอยช่วยรับแรงบิด ทำให้หนักขึ้น
เป็น 940 กิโลกรัม เครื่องยนต์เป็นแบบ 1750 TBi 240 แรงม้ารุ่นเดียวกับของ Giulietta นั่นเอง
Alpina
เป็นสำนักแต่ง BMW ที่มีชื่อเสียงมานาน ก่อตั้งโดยนาย Burkard Bovensiepen แต่เดิมนั้นบริษัท Alpina ตั้งแต่
รุ่นพ่อของเขาประกอบและขายเครื่องพิมพ์ดีดครับ จนกระทั่งปี 1965 ก็ยุบกิจการพิมพ์ดีดแล้วไปทำพวกเครื่องทอแทน
ส่วน Burkard เองก็พยายามตั้งสำนักรับจูน BMW จนประสบความสำเร็จ และสร้างชื่อได้จากการแข่งขันจนในปี 1983
กระทรวงคมนาคมของเยอรมัน อนุญาตให้ชื่อ Alpina เปรียบเสมือนยี่ห้อรถยี่ห้อหนึ่งในการจดทะเบียน เป็นชื่อทางการค้า
ที่แยกจาก BMW (เช่น เวลาจดในเล่ม ฯ ก็จะเขียนว่า ยี่ห้อ Alpina ไม่ใช่ BMW) แต่ทั้งนี้ เวลาจะซื้อ ก็ซื้อได้ที่ดีลเลอร์
BMW และเวลาจะเคลมอะไหล่ ก็ไปติดต่อที่ดีลเลอร์ BMW ได้เหมือนกัน แม้จะดูเหมือน Alpina มีการแข่งขันทับซ้อนกัน
กับ M-Division ของ BMW เอง แต่ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่ารถของ Alpina จะเน้นเรื่องความหรูหราภายใน และชอบทำรถ
เกียร์อัตโนมัติมากกว่าจับตลาดลูกค้าที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า M-Division
ในงาน Tokyo Motorshow ปีนี้ ก็ครบรอบวาระ 50 ปีของ Alpina พอดี จึงมีการเอา ซีรีส์ 6 เปิดประทุนมาทำเป็นรุ่นพิเศษ
Alpina B6 Biturbo Cabrio Edition 50 ออกมา ตัวถังยาว 4,894 มิลลิเมตร กว้าง 1,894 มิลลิเมตร สูง 1,377 มิลลิเมตร
ใช้เครื่อง V8 4.4 ลิตรตัวเดียวกับ M6 แต่ปรับจูนให้มี 600 แรงม้า (PS) และแรงบิด 800Nm ส่วนคันสีน้ำเงินคือ B3 Biturbo
เครื่อง 3.0 ลิตรเบนซินทวินเทอร์โบ 410 แรงม้า (PS) แรงบิด 610Nm สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เล่น Alpina วิธีดูชื่อรุ่น
มันค่อนข้างง่ายครับ รถที่เป็นเครื่องดีเซล จะมีตัวอักษร D นำหน้า ถ้าเครื่องเบนซิน ก็จะเป็นตัว B-Benzene นำหน้า
เช่นถ้าเห็น D3 ก็คือเอาบอดี้ซีรีส์ 3 เครื่องดีเซลมาทำ XD3 ก็คือ X3 เครื่องดีเซล ส่วน D5 ก็คือซีรีส์ 5 เครื่องดีเซล
แบบนี้เป็นต้น นี่จำง่ายมากแล้วครับ ถ้าเป็นยุคก่อน ชื่อจะมั่วมาก เพราะอย่างบอดี้ E30 ก็มีทั้ง B3 และ B6 และซีรีส์ 5 รุ่นเก่าๆ
ก็มีทั้ง B7, B9 B10 ต้องรอหลังพ้นปี 2000 นั่นล่ะถึงค่อยๆ จัดชื่อโมเดลใหม่ให้จำง่ายขึ้น
Audi
คันแรกที่จอดข้างๆกับ A4 สีน้ำเงิน คือ Q7 e-tron Quattro ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นไฮบริดแบบ
Plug-in ของ SUV ขนาดใหญ่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นปีอย่าง Q7 รถรุ่นนี้นอกจากจะ
ล้ำสมัยด้วยระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสารระหว่างกล่องควบคุมภายในรถที่เปลี่ยนจาก
ระบบ CAN มาใช้เคเบิลใยแก้ว (Fibre Optic) แล้ว ในกรณีของ Q7 e-tron ยังรวมเอา
ความไม่รักโลกของ SUV ตัวโตมารวมกับความรักโลกของขุมพลังไฟฟ้า Q7 e-tron
เวอร์ชั่นยุโรปจะใช้เครื่องดีเซล 3.0 ลิตร V6 TDI บวกกับมอเตอร์ท้ายเกียร์ 1 ตัวและ
มอเตอร์เฟืองท้าย 1 ตัว ทำกำลังได้ 373 แรงม้า ส่วน Q7 e-tron TFSI ที่สร้างมาเป็นพิเศษ
เพื่อตลาดเอเชีย จะเปลี่ยนไปใช้เครื่องเบนซิน 2.0 ลิตรแทน สร้างแรงม้ารวมทั้งระบบได้
367 แรงม้า
ต่อมาเป็นรถแข่ง Le Mans R18 e-tron Quattro เวอร์ชั่น 2015 ซึ่งยังใช้เครื่อง 4.0ลิตร
V6 TDI บวกกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้าที่ล้อหน้าข้างละตัว มอเตอร์แต่ละตัวจะปั่นแรงม้าได้
101 แรงม้า (PS) แต่เวลาวิ่งจริงในสนาม กฎของการแข่งทำให้ Audi ต้องเขียนโปรแกรม
กล่อง เปิดให้ระบบ Quattro ทำงานได้เมื่อความเร็วเกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป
ต่อมา รถต้นแบบ Audi Prologue Allroad เป็นรถสไตล์ Shootingbrake เอนกประสงค์บวก
ตัวถังที่มีหลังคาเตี้ย กระจกลาดเอียง เป็นรถขับสี่ใต้ท้องไม่เตี้ย ใช้เครื่องยนต์ขุมพลัง
ไฮบริดโดยเอาเครื่องเบนซิน V8 4.0 ลิตรทวินเทอร์โบของ RS6 ที่ให้กำลัง 598 แรงม้า
มาบวกกับชุดมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้พละกำลังรวมออกมาทั้งสิ้น 724 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด
สูงถึง 900 Nm
อีกสองคันที่เหลือ คือซูเปอร์คาร์ R8 V10 Plus หลังจากที่ปล่อยเจนเนอเรชั่นแรก
ทำตลาดอยู่นาน 9 ปี Audi เผยโฉม R8 ตัวถังใหม่ที่งานเจนีวาโชว์ปีนี้เอง โครงสร้าง
ของตัวรถก็ใช้ร่วมกับ Lamborghini Huracan เหมือนที่รุ่นเก่าใช้ร่วมกับ Gallardo
R8 V10 Plus นี้จะใช้เครื่องยนต์ V10 5.2 ลิตร 610 แรงม้า ซึ่งมากกว่าตัว R8 V10
ธรรมดาอยู่ 30 แรงม้า
คันสีเหลืองคือ Audi TTS เปิดประทุน สร้างบนแพลทฟอร์ม MQB เช่นเดียวกับ
VW Golf Mk7 และใช้เครื่องยนต์คล้ายกันกับ Golf R โดยเป็นแบบ 2.0 ลิตรเบนซิน
TFSI 310 แรงม้า
BMW / MINI
BMW X1 (F48) จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์ม UKL ร่วมกับ MINI F56 และ
BMW 2-Series Gran Tourer นั่นหมายความว่า BMW X1 คือ BMW รุ่นที่ 2 ในประวัติศาสตร์ BMW
ที่จะใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า!
งานวิศวกรรมของตัวรถถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด นอกจากการเปลี่ยนมาใช้แพลตฟอร์ม UKL แล้ว ขุมพลังก็เปลี่ยนไป
จากรุ่นเดิมเช่นกัน ด้วยการวางขวางเป็นครั้งแรกของ BMW X1 และใช้เครื่องยนต์เริ่มต้นของไลน์เป็นบล็อก 3 สูบ
ขนาด 1.5 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TwinPower Turbo ให้กำลัง 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 220 นิวตัน-เมตร
ขยับขึ้นมาคือขุมพลัง 4 สูบ เบนซิน ขนาด 2.0 พร้อมเทอร์โบ ให้กำลัง 192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร
ในขณะที่เวอร์ชันดีเซล ใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ บล็อกเดิม แต่ปรับจูนให้มีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 190 แรงม้า
แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร และยังมีเวอร์ชันจูนกำลังลงมาเหลือ 150 แรงม้า และ 330 นิวตัน-เมตร ให้เลือก
ติดตั้งกันด้วย
เครื่องยนต์ที่แรงที่สุดของ X1 ใหม่ ต้องยกให้รหัส 25i และ 25d ในรุ่นเบนซิน (25i) นั้น จะใช้เครื่องยนต์ เบนซิน
2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ 231 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ส่วนเวอร์ชั่นดีเซล จะให้กำลัง 231 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร แทน
ขุมพลังทั้งหมด จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบส่งกำลังใหม่ แบบธรรมดา 6 จังหวะ และแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะ
โดยมีระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นมาตรฐาน และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ติดตั้งเป็นออพชั่นเสริม
หากคุณสนใจ BMW X1 F48 นี้อยู่ล่ะก็ อยากลองนั่งดูว่าเป็นอย่างไร ขอแนะนำให้ไปลองนั่งใน
218i Active Tourer หรือ 218i Gran Tourer ได้เลย ชุดเบาะนั่ง และดีไซน์แดชบอร์ดหน้านั้น
แทบจะเหมือนกันทุกจุด อาจจะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันเล็กน้อย
เดินข้ามมาบูธ BMW ก็มีการโชว์ M4 GTS แบบ World Premiere ซึ่งรถรุ่นนี้
เป็น BMW เวอร์ชั่นวิ่งบนถนนแบบถูกกฎหมายที่ทำเวลารอบสนาม Nurburgring
ได้เร็วที่สุดในปัจจุบัน (7 นาที 28 วินาที เร็วกว่ารุ่นธรรมดา 24 วินาที) ถ้าใคร
สนใจให้รีบสั่งรีบจองเพราะ BMW จะผลิตในจำนวนจำกัดแค่ 700 คันเท่านั้น
ในรถพิเศษรุ่นนี้ เบาะหลังถูกถอดออก เปลี่ยนล้ออัลลอยลายแอบแว๊นใส่ จากนั้น
ก็ปรับปรุงช่วงล่างใหม่ทั้งโช้คอัพและสปริง ส่วนเครื่องยนต์ที่ใช้นั้น ก็เป็นแบบ 3.0 ลิตร
6 สูบเรียงเทอร์โบคู่ ใช้ระบบฉีดละอองน้ำเข้าเครื่องเพื่อช่วยลดความร้อนและช่วยให้
สามารถเพิ่มบูสท์ได้ แรงม้าจึงขยับจาก 431 เป็น 500 แรงม้า แรงบิดเพิ่มจาก 550นิวตันเมตร
เป็น 600 นิวตันเมตรถ้วนๆ กำหนดส่งมอบรถคันจริง จะเริ่มในเดือนมีนาคม 2016
New MINI Clubman เป็นรถแฮทช์แบ็คที่ออกแบบมาเน้นจุดประสงค์การใช้งาน
ที่ดีกว่า MINI ตัว Hatchback ธรรมดา (ซึ่งหลายคนบอกว่าแคบเหมือนมี 5 ประตูไปก็เท่านั้น)
เน้นความสะดวกในการใช้งาน เปลี่ยนประตูเป็นแบบเปิดสองข้างตามปกติวิสัยรถ 5 ประตู
จากเดิมที่ประตูหลังจะมีแค่ข้างเดียว บอดี้ยาว 4.23 เมตร ซึ่งทำให้มันกลายเป็น MINI
ที่ยาวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยสร้างมา ประตูท้ายเปิดออกแบบตู้กับข้าว แยกซ้ายขวา เวลาเปิด
ไฟท้ายจะเปิดตามไปด้วย
MINI Clubman มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซินตั้งแต่ 3 สูบ 1.5 ลิตร 136 แรงม้า
ไปจนถึงเครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตร 192 แรงม้า ซึ่งทั้งหมดก็เป็นเครื่อง TwinPower Turbo
ที่แชร์กันใช้กับบรรดา BMW ขับหน้ารุ่นใหม่ๆ ส่วนรุ่นดีเซลจะใช้เครื่อง 4 สูบ 2.0 ลิตร
150 แรงม้า มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและอัตโนมัติ 8 จังหวะ
ล่าสุด MINI Clubman ใหม่ก็ได้มาโชว์ตัวที่งาน Motor Expo 2015 ในไทยเป็นที่เรียบร้อย
Citroen / DS
Citroen คิดจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ Branding ของตนเองใหม่ทั้งหมด จากแบรนด์รถตลาดที่มีดีไซน์ล้ำสมัย,
มีเทคโนโลยีหรือความไฮเทค, มีราคาให้เลือกหลากหลายมาก ก็กลายเป็นแบรนด์รถยนต์ที่คุ้มค่าเงินทุกสตางค์,
มีความเรียบง่ายสูงมาก, มีออพชั่นหรือทางเลือกเครื่องยนต์เท่าที่”จำเป็น” แต่อย่าเพิ่งตกใจ Citroen ไม่คิดจะ
ประหยัดหัวคิดด้านงานออกแบบเลยแม้แต่น้อย เพราะ Citroen อาศัยแนวคิด Simple is The best เป็นหลัก
ส่วน DS นั้นจะกลายเป็นแบรนด์ส่วนขยายที่มุ่งเน้นการสร้างรถหรูกว่า Citroen ให้พูดง่ายๆก็คือ แบรนด์ Citroen
มีไว้ชนกับพวก Opel, Vauxhall, Toyota หรือ Renault Nissan ในขณะที่ DS จะปรับ Position ให้
สามารถแข่งขันกับ Audi, BMW และ Mercedes-Benz ได้ ซึ่งนี่เป็นแผนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว
และในบางประเทศอย่างจีน DS จะแยกโชว์รูมกับ Citroen เลยด้วยซ้ำ
Citroen C4 Cactus คือความท้าทายใหม่ล่าสุดที่จะช่วยทำให้แบรนด์ Citroen มีที่ยืนในตลาดยุโรปและสากลโลกอย่าง
ยั่งยืน ด้วยการยึดหลักการแห่งความเรียบง่ายเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญ Citroen ได้เลิกตามตูดคู่แข่งทุกเบอร์แล้วหันมาเป็น
ตัวของตัวเองมากยิ่งขึ้น
Citroen C4 Cactus ถือเป็นคำตอบของรถยนต์ C-Segment ทางเลือกของผู้บริโภคภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงมากใน
กลุ่มคอมแพคท์แฮทช์แบคซึ่ง C4 Cactus มาพร้อมกับการออกแบบภายนอกและภายในอันเป็นเอกลักษณ์และยังถือเป็น
รถที่มีฟังก์ชันและความดึงดูดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเช่นกัน
นวัตกรรมใหม่ที่ Citroen นำมาติดตั้งคือแผงกันชนนิ่ม Airbump ที่ออกแบบให้สามารถใช้งานได้, น่าดึงดูด ช่วยปกป้อง
มิให้ตัวรถโดนกระแทกเบา ๆ จนสีหลุดร่อน, อินเตอร์เฟซดิจิตอลที่ใช้งานง่ายและดูปลอดโปร่ง สามารถเชื่อมต่อกับผู้ขับขี่
ด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วอันเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายถึงที่สุด Citroen ก็ได้ติดตั้งเบาะหน้าแบบโซฟานุ่มสบาย มาพร้อมนวัตกรรมการติดตั้งถุงลม
นิรภัยบนหลังคาสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าซึ่งช่วยทำให้ห้องโดยสารตอนหน้าปลอดโปร่งโล่งสบาย, หลังคาพาโนรามิคถูก
ออกแบบให้มีระบบกันความร้อนจากแสงสว่างได้
นอกจากนี้ก็ยังมี C4 Picasso , C4 รุ่นปกติ และ เหล่าบรรดา DS ทั้งหลายมาให้ชมกันในบู้ธอีกด้วย
Daihatsu
เมื่อมาถึงบูธของไดฮัทสุ เจ้าพ่อรถขนาดเล็ก ก็รู้สึกได้ทันทีถึงความน่ารัก ฟรุ้งฟริ้งของเหล่าบรรดารถยนต์ต้นแบบ
4 รุ่น 4 style ของค่ายนี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็น K-Car ที่มีมิติตัวถังกว้าง x ยาว x สูง : 3,400 x 1,480 x 1,670 มิลลิเมตร
พร้อมเครื่องยนต์ ขนาด 660 ซีซี.
” Hinata Study ” สีเหลืองอมเขียว เป็นรถยนต์ต้นแบบคันเดียวในคณะ ที่ดูจะมีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะเข้าสู่
สายการผลิตจริง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นทายาทของ Move Conte’ ภายนอกมากับสไตล์ประตูตู้กับข้าว ส่วนภายใน
มีจุดเด่นที่คอลโซลกลาง ลายไม้ที่ดูรับกันกับสีตกแต่งโทนอ่อนได้เป็นอย่างดี และยังมีเบาะหน้าและเบาะหลัง
ที่สามารถปรับได้หลายรูปแบบดังใจนึก
คันสุดท้าย D-Base Concept รถยนต์ต้นแบบคันนี้คือว่าที่ Mira หรือ Cuore คันต่อไปแน่นอน มองเผินๆ ทำไม
ดีไซน์ด้านท้ายนั้นละม้ายคล้ายคลึงกับ Honda Brio เจ้า 3 เหลี่ยมเบอร์มิวด้าติดล้อ ซะอย่างนั้น ! ก็ต้องถามว่าไดฮัทสุ
แน่ใจแล้วหรือ เพราะจากการที่บริโอ้ออกมานั้น ก็เรียกได้ว่า เป็นรถรุ่นหนึ่งของฮอนด้า ที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
สีสันตัวรถนั้นดูพริ้วไหวราวกับสายน้ำไหล พร้อมภายในล้ำยุคไปไกลสไตล์รถต้นแบบ แต่พอจะมองเห็นเค้าลางของ
เส้นสายการออกแบบแผงแดชบอร์ดได้อยู่ แต่จุดเด่นของมันคืออัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยนั้น ต่ำเตี้ยเรี่ยดินในระดับ
33 กิโลเมตร/ลิตร อันเป็นผลมาจาก Daihatsu’s Energy Saving Technology อันประกอบไปด้วยโครงสร้างน้ำหนักเบา
และการนำพลังงานที่เสียไปในการเบรกกลับมาใช้ใหม่
มาที่คันแรกกันก่อน สีเขียวน่ารักสดใส ” Noriori Study ” ชื่อเหมือนสาหร่ายสมกับสีของตัวรถเสียจริง สร้างขึ้น
ภายใต้แนวคิด Multi Use Commuter เน้นความสะดวกในการเดินทาง สำหรับทุกคน ซึ่งได้รับการอธิบายให้เป็น
Mini Minibus เลยทีเดียวจุดเด่นคือช่วงล่างของรถยนต์ที่สามารถลดความสูงลงจนแนบกับพื้นถนนเพื่อความสะดวก
สำหรับเด็กและผู้ทุพพลภาพ และภายในนั้นยังมากับพื้นที่กว้างขวาง ที่รองรับรถ wheelchair ได้ถึงสองคันและ
ยังมีส่วนสูงที่มากกว่าชาวบ้านที่ 1,990 มิลลิเมตร
คันต่อมา เจ้าส้มจี๊ด ” Tempo Study ” ออกแบบภายใต้แนวคิด Simple Space
เพื่อแปลงร่างรถยนต์ K-Car คันน้อย ให้กลายเป็นรถอเนกประสงค์ เพื่อการพาณิชย์
ที่นำไปใช้ทำมาหากินได้หลายรูปแบบ โดดเด่นด้วยแผงด้านข้างที่สามารถ ยกกาง
ขึ้นได้แบบปีกนก Gullwing มาพร้อมแผงไฟ LED ที่เหมาะกับการนำไปทำเป็นครัว
เคลื่อนที่ จำพวก Mini Food Truck ไปจอดขายของตามตลาดนัดก็ดูเข้าท่าดี
ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ๆในบูธ ที่น่าจับตามองมากสุด นั่นคือ Daihatsu Cast
Cast นั้นมี 3 สไตล์การตกแต่งให้เลือกอันประกอบไปด้วย Activa ยกสูงเล็กน้อย
เหมือน Crossover, Style hatchback ธรรมดาทรงบ้านๆ, และ Sport hatchback
ที่มาพร้อมกับชุดแต่งรอบคันและใช้โทนสีที่ตัดกันตกแต่งภายนอก เมื่อเลือกได้แล้ว
สิ่งต่อไปที่ต้องเลือกคือรุ่นย่อยที่แตกต่างกันตามปริมาณอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ในรถ
ซึ่งประกอบไปด้วย G SA II, G Turbo SA II, และ X SA II ซึ่งงานออกแบบ
หลายอย่างนั้นดูเหมือนว่าได้รับแรงบัลดาลใจมาจาก MINI และ Smart ForFour
อุปกรณ์ที่ได้รับการติดตั้งเป็นมาตรฐานสำหรับภายนอกคือ ไฟหน้า LED, ไฟตัดหมอกหน้า,
และล้อขนาด 15 นิ้ว ส่วนภายในจะมีเบาะ 4 ที่นั่งพร้อมหน้าจอระบบสัมผัสที่มีระบบ
infotainment มาให้ นอกจากนี้ยังมีระบบเบรกอัตโนมัติสำหรับการขับขี่ในเมือง
(Autonomous City Braking) มาให้ด้วย ซึ่งอุปกรณ์ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ล้วนติดตั้ง
ให้เป็นมาตรฐานใน Daihatsu Cast ทุกรุ่น
ส่วนเครื่องยนต์นั้นมีขนาด 3 สูบ 658 c.c. โดยที่รุ่นไม่มีเทอร์โบให้กำลังสูงสุด 52 แรงม้า (PS)
ที่ 6,800 รอบ/ นาทีและแรงบิดสูงสุด 6.11 กก-ม. (60 นิวตันเมตร) ที่ 5,200 รอบ/ นาที
ส่วนรุ่นที่มีเทอร์โบให้กำลังสูงสุด 64 แรงม้า (PS) ที่ 6,800 รอบ/ นาทีและแรงบิดสูงสุด
9.38 กก-ม. (92 นิวตันเมตร) ที่ 3,200 รอบ/ นาที ตัวเลขนั้นดูน้อยแต่อย่าลืมว่ามัน
แบกน้ำหนักแค่ 840 กิโลกรัมเท่านั้น โดยที่เครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นจะจับคู่กับเกียร์ CVT
และถ่ายกำลังลงล้อคู่หน้า ซึ่งมีอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยตามมาตรฐาน JC08 เพียง
30 กิโลเมตร/ ลิตร นอกจากนี้ยังมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือกอีกด้วย โดยที่ราคาขับ 4
จะเพิ่มจากรุ่นขับสองอีก 120,000 เยน
FIAT / Abarth
งานนี้เน้นโชว์ของแรงอย่าง Abarth โดยในรอบสื่อมวลชน มีการนำมาโชว์สองรุ่น
ได้แก่คันสีแดง คือ Abarth 595 Turismo ซึ่งเป็นรุ่นที่ทำออกมาเน้นแรงและหรู
ด้วยการคาดโทน 2 สี ตกแต่งภายในด้วย Aluminium Glass “Alutex” ใช้เบาะพิเศษ
ของ Abarth ที่ทำโดย Sabelt ล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว ใช้เครื่องยนต์แบบ 1.4 ลิตร
T-Jet 4 สูบเทอร์โบชาร์จซึ่งได้รับการปรับเพิ่มกำลังจาก 135 เป็น 160 แรงม้า
ส่วนคันสีเทาคือ Abarth 695 Biposto รุ่นที่เน้นความแรงจนให้สโลแกนว่าเป็น
“Smallest Supercar in the world” ใช้เครื่องยนต์ T-Jet ที่ปรับให้แรงขึ้นอีกเป็น
190 แรงม้า ด้วยน้ำหนักตัวถังที่เบา 997 กิโลกรัม ทำให้เร่งจาก 0-100 กม./ชม.
ได้ภายใน 5.9 วินาทีเท่านั้น Biposto เป็นเสมือนรถแข่งที่เอามาทำให้วิ่งบนถนน
จดทะเบียนได้อย่างถูกกฎหมาย มันมีแค่ 2 ที่นั่ง คุณสามารถสั่งออพชั่นเพิ่มเติมให้กับ
ตัวรถไม่ว่าจะเป็นคันเกียร์แบบ Dog Ring ที่ดูเหมือนรถแข่งแรงๆ หน้าปัดดิจิตอลแบบ
มอเตอร์สปอร์ต แผงประตูน้ำหนักเบาแบบเรียบ ใช้สายดึงเปิดประตูแทนมือเปิด
ประตูแบบปกติ แต่ถ้าคุณสั่งออพชั่นเพลินไป ราคาของ Biposto ก็จะเขยิบเข้าไป
ใกล้กับ Porsche Cayman เลยล่ะครับ
ส่วนรถบ้านที่มาโชว์ก็มี 500X ซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์ขนาดเล็กที่ใช้แพลตฟอร์ม Fiat/Chrysler
ขนาดตัวถังยาว 4.24 เมตร ใช้เครื่องยนต์ผสมกันระหว่างของ Fiat และของ Chrysler
(ไหนๆแต่งงานอยู่ด้วยกันแล้วใครมีอะไรก็เอามาแชร์ใช้ให้คุ้ม) ถ้ารุ่นเครื่องยนต์ Fiat ก็จะได้
Multiair เบนซิน 1.4 เทอร์โบ 140-162 แรงม้า กับเครื่อง Multijet เทอร์โบดีเซล 1.6 ลิตร 120 แรงม้า,
2.0 ลิตร 140 แรงม้า และตบท้ายด้วยเครื่องเบนซิน 2.4 ลิตร Tigershark 182 แรงม้า อย่างหลังนี่ล่ะ
คือเครื่องที่เอาของ Chrysler มาใช้
ทั้ง Fiat 500X และ Jeep Renegade แชร์แพลทฟอร์มและเครื่องยนต์กลไกกัน
และทั้งคู่ก็ถูกประกอบขึ้นที่โรงงานเมือง Melfi ประเทศอิตาลีของ Fiat นี่ล่ะครับ
HONDA
Honda NSX เวอร์ชั่นผลิตขายจริง มาพร้อมกับขุมพลังไฮบริดที่ฮอนด้าพัฒนาเพื่อสมรรถนะสปอร์ตโดยเฉพาะ
ในชื่อระบบ Sport Hybrid SH-AWD (Super Handling All-Wheel Drive) ที่จะวางเครื่องยนต์เบนซิน V6 ไว้กลาง
ลำตัวรถ เสริมด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ลูกบริเวณล้อคู่หน้า เชื่อมต่อกำลังทั้งหมดผ่านเกียร์คลัชท์คู่ลูกใหม่ ส่งผลให้มีโหมด
การขับขี่ที่หลากหลาย และช่วยให้รถยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น และประหยัดพลังงานมากกว่ารถยนต์ซูเปอร์คาร์ทั่วไป
ขุมพลังเป็นเครื่องยนต์แบบ 3.5 ลิตร V6 ทำมุม 75 องศา(ซึ่งแปลกดีเคยเจอแต่ 60 กับ 90) พกเทอร์โบสองลูก
พลังจากเครื่องยนต์อย่างเดียวมี 507PS แต่ NSX ยังมีมอเตอร์ท้ายเกียร์ กับที่ล้อหน้าแต่ละข้าง ทำให้กลายเป็น
รถขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฮบริดที่มีพละกำลังรวมถึง 581 แรงม้า (PS)
แม้จะมีสัญชาติเป็นญี่ปุ่น แต่ความจริง NSX ใหม่เปรียบได้กับคนญี่ปุ่นที่เกิด โต และเรียน ในอเมริกา เพราะหัวหน้า
โครงการพัฒนา NSX คือคุณ Ted Klaus มาจาก Honda USA และเป็นคนที่ทำงานกับ Honda ด้วยอารมณ์พาไป
กล่าวคือ Ted ไปเห็นตัวจริงของ NSX สีแดงที่งานโชว์รถยนต์ใน Detroit ปี 1990 แล้วหลงรัก จึงเข้าทำงานกับ Honda
และ 20 ปี ต่อมาเขาก็มาคุมโครงการ NSX ตัวใหม่และยังเป็นหัวหน้าทีมวิศวกร (Chief Engineer) อีกด้วย นอกจากนี้
NSX ยังเป็นรถที่พิสูจน์ศักยภาพในการออกแบบของสุภาพสตรีอีกด้วย เพราะว่า หัวหน้าทีมออกแบบภายนอก
เป็นสุภาพสตรีสาวสวยชื่อ Michelle Christensen
NSX ทุกคันจะประกอบที่เมือง Marysville รัฐ Ohio สหรัฐอเมริกา ส่วนเครื่องยนต์นั้นจะ ไปประกอบกันที่โรงงาน
เมือง Anna รัฐ Ohio เช่นกัน
Civic Type-R Production Version พวงมาลัยขวา จำหน่ายในญี่ปุ่นด้วยราคา 4,280,000 เยน มีสีตัวรถให้เลือก
เพียง 2 สี คือขาวกับดำ รหัสตัวถังของ Type-R บอดี้นี้คือ “FK2″
เครื่องยนต์ของ Civic Type-R เป็นเครื่องรหัส K20C1 ซึ่งท่อนล่างจะเป็นคนละแบบ กับ K20A ที่ใช้ในรุ่นก่อนๆ
เพราะช่วงชักถูกลดจาก 86.0 มม. ลงมาเหลือ 85.9 ม.ม. ความจุลดจาก 1,998 ลงมาเหลือ 1,995 ซี.ซี. แต่เพิ่มกำลัง
ด้วยเทอร์โบ (FK2 เป็น Honda Type-R ที่มีแรงม้ากับแรงบิดเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ Type-R ทุกรุ่น และเป็น R
รุ่นแรกที่ใช้เครื่องเทอร์โบ) พลังแรงม้า 310PS ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 400Nm ที่ 2,500-4,500 รอบ/นาที
ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสู่ล้อหน้า ช่วงล่างหน้าแบบอิสระ ด้านหลังแบบคานบิด โช้คแยกเบ้ากับสปริง และยัง
สามารถทำเวลา วิ่งรอบสนาม Nurburgring Nordschleife ได้ 7.50.63 นาที ซึ่งเร็วกว่า NSX Type-R (NA2) ที่ทำไว้
7.56.73 นาที เร็วกว่า Ferrari F430 และ Lamborghini Gallardo LP560-4 อย่างเหลือเชื่อ
จอดอยู่ห่างๆอย่างเงียบๆ คือ Honda Jade รถสเตชั่นแวก้อนยุคใหม่ที่มีทั้งขุมพลัง ไฮบริดและ 1.5 เบนซินเทอร์โบ
ไม่มีคิวครับคันนี้อยากนั่งก็นั่งได้เลย
Project 2&4 คันนี้ เป็นรถต้นแบบลูกครึ่งระหว่างมอเตอร์ไซค์กับรถ มันเป็นผลงานโชว์ ความคิดสร้างสรรค์ที่ชนะเลิศ
จากทีมอื่นภายในองค์กรของ Honda คนที่ออกแบบคือ Martin Petersson ปกติทำงานเป็นนักออกแบบมอเตอร์ไซค์
โดยวิธีการร่างแบบ เริ่มต้นด้วยการใช้เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ RCV V4 สูบ 212 แรงม้า หมุน 14,000 รอบ จากนั้น
ค่อยออกแบบส่วนอื่นๆล้อมรอบเครื่องยนต์ น้ำหนักรถทั้งคันเบาหวิวแค่ 405 กก. ใช้โช้ค Ohlins กับเบรกจากซูเปอร์ไบค์
แต่ใช้เกียร์คลัตช์คู่และเพลาขับของรถยนต์
ISUZU
ถึงแม้คนไทยจะเห็น D-max กันจนเบื่อ เพราะเห็นได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลาบนท้องถนนของประเทศเรา
แต่กับคนญี่ปุ่น ดูเหมือนจะเป็นของแปลก เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นการขนส่งของต่างๆ จะเน้นใช้รถตู้ หรือ
รถบรรทุกขนาดเล็กหน้าสั้นเสียมากกว่า เพราะพื้นที่จอดรถต่างๆมีจำกัด เพราะฉะนั้นแล้วรถกระบะ จะเป็นอะไร
ที่ค่อนข้างแปลกใหม่เลยทีเดียว
ไฮไลท์เด็ดของ Isuzu จึงอยู่ที่ D-max X-series สีขาวคันที่เห็นอยู่นี่เอง แน่นอนว่านำเข้ามาจากประเทศไทย
อันเป็นตลาดกระบะ 1 ตันที่ใหญ่ที่สุดในโลก เครื่องยนต์ก็ยังเป็นเครื่องบล๊อกเดิม 2.5VGS รหัส 4JK1-TCX
2,499 ซีซี. DOHC ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 สูบ 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ Commonrail
Direct Injection พร้อม Turbocharger VGS แบบครีบแปรผันและ Intercooler กระบอกสูบ x ช่วงชัก 95.4 x 87.4 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 18.1 : 1 กำลังสูงสุด 136 แรงม้า (PS) ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร
(38.72 กก.-ม.) ที่ 1,800-2,800 รอบ/นาที จับคู่กับทั้งเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และอัตโนมัติ 5 จังหวะ
Jeep
เอามาโชว์ 2 คัน คันสีเหลืองคือ Jeep Renegade ซึ่งสร้างภายใต้คอนเซ็ปท์
“Urban size, adventure class” มันคือรถ SUV ขนาดเล็กรุ่นแรกของทางค่าย
ที่ใช้แพลตฟอร์ม Fiat/Chrysler ขนาดตัวถังยาว 4.23 เมตร (เท่า MINI Clubman)
และใช้เครื่อง Multiair เบนซิน 1.4 เทอร์โบ 140-162 แรงม้า กับเครื่อง Multijet
เทอร์โบดีเซล 1.6 ลิตร 120 แรงม้า, 2.0 ลิตร 140 แรงม้า และตบท้ายด้วยเครื่องเบนซิน
2.4 ลิตร Tigershark ของ Chrysler 182 แรงม้านั่นเอง Renegade วางจำหน่ายในญี่ปุ่นด้วย
ราคาเริ่มต้นเพียงแค่ราว 2 ล้านเยนเท่านั้น ทำให้กลายเป็นรถ 4×4 ลุยได้จริงที่ราคาถูกมากเมื่อ
เทียบกับรถของคู่แข่ง
ส่วนรถสีเทามาดดุอีกคันก็ไม่ใช่อื่นไกลที่ไหน มันคือ Jeep Wrangler Rubicon ซึ่งสร้างโดย
เอาอิทธิพลทางดีไซน์มากจาก Jeep รุ่นแรกๆในยุค 40s คำว่า Rubicon นั้นคือชื่อเส้นทาง
สายหนึ่งในหุบเขา Sierra Nevada ของอเมริกา ซึ่งมีความยาว 22 ไมล์
Jaguar
นำทัพด้วย F-Pace ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่พร้อมขายจริง ประยุกต์มาจากรถต้นแบบ C-X17
มันคือรถ SUV คันแรกจาก Jaguar ซึ่งมีตำแหน่งทางการตลาดออกไปในแนว Sport SUV
ซึ่งเป็นนโยบายของ JLR เพื่อไม่ให้ไปแย่งตลาดกับ Range Rover Sport ดังนั้นวิศวกร
ของ Jaguar จึงสร้างรถโดยเน้นการใช้งานบนถนนเรียบเป็นหลัก โครงสร้างตัวรถเป็นอะลูมิเนียม
และได้ชื่อว่าเป็นรถที่ใช้อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบมากที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์คลาสเดียวกัน
มีเครื่องยนต์ให้เลือกตั้งแต่ขนาด 2.0 ลิตรดีเซล 4 สูบตระกูล Ingenium 200 แรงม้า ไปจนถึง
F-Pace S เครื่องยนต์ 3.0 ลิตรเบนซิน V6 ซูเปอร์ชาร์จ 375 แรงม้า ซึ่งหยิบยืมมาจาก F-type S
นั่นเอง บอดี้อะลูมิเนียมของ F-Pace มาความเบาจนทำให้รุ่น 2.0 ลิตรขับเคลื่อนล้อหลัง
มีน้ำหนักแค่ 1,665 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนล้ออัลลอยนั้นมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 18 นิ้ว ประหยัดน้ำมัน
ประหยัดค่ายาง ไปจนถึงขนาดแก๊งสเตอร์ไซส์ 22 นิ้ว
รถสปอร์ตอีกคันที่นำมาโชว์ในงานคือ F-type Coupe R AWD ใช้พลังจากเครื่อง V8 ของ
F-type เปิดประทุน แต่ปรับจูนเครื่องและเติมกำลังซูเปอร์ชาร์จจนได้แรงม้าเพิ่มเป็น 550 แรงม้า
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อถูกนำมาใช้เพื่อให้สามารถจับกำลังลงพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชม. ภายใน 4.1 วินาที ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ 300 กม./ชม.
ระบบส่งกำลังควบคุมด้วยโปรแกรม IDD- Intelligent Driveline Dynamic ซึ่งบริหารจัดการ
ลักษณะการส่งแรงบิดระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง เพื่อให้สามารถดีดออกตัวได้เร็ว เร่งออกจากโค้ง
ได้เร็วแบบรถขับสี่ แต่กวาดท้ายได้สนุกเมามันส์แบบรถขับหลัง
ส่วนคันสีแดง ก็คือ Jaguar XE S รถนั่งขนาดเท่า BMW ซีรีส์ 3 ซึ่งเผยโฉมมาได้สักพักแล้ว
โครงสร้างตัวถังมีการใช้อะลูมิเนียมเยอะเช่นเดียวกับ C-Class W205 รุ่นใหม่ มีเครื่องยนต์
ให้เลือกหลายแบบตั้งแต่เครื่องเบนซิน/ดีเซล 4 สูบ Ingenium 2.0 ลิตร 200-240 แรงม้า
ไปจนถึงรุ่น S ซึ่งใช้เครื่องยนต์ V6 3.0 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ 340 แรงม้า ซึ่งยกมาจาก Jaguar
F-type รุ่นธรรมดานั่นเอง
โดยปกติในค่ายอื่นๆ เราจะเจอแต่รถบ้าน รถเก๋งธรรมดาที่มีเครื่องสหกรณ์เพาะพันธุ์ม้า
แล้วถูกยกเอาไปใส่ในรถสปอร์ต คงจะมีแต่ Jaguar เนี่ยล่ะที่ให้รถสปอร์ตเป็นตัวนำร่อง
เครื่องยนต์บล็อคสหกรณ์แล้วเอาไปให้รถเก๋งกับ SUV ยืม
Land Rover
เจ้าคันสีน้ำเงินที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ มันคือไฮไลท์เด็ดประจำบู้ธ Land Rover ในงานครั้งนี้ นั่นก็คือ
Ranger Rover Sport SVR เป็นรถที่แรงที่สุด เร็วที่สุด ทรงพลังมากที่สุดเท่าที่ Land Rover เคยทำมา
ออกแบบโดย Jaguar-Land Rover แผนกพิเศษที่ดูแลแยกออกมาโดยเฉพาะกับส่วนพัฒนาอื่นๆ
Range Rover Sport SVR นับว่าเป็นคันแรกที่สวมวิญญาณ รหัสตัวแรงรุ่นแรกของ Land Rover
” SVR ” มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร Supercharger ให้กำลังสูงสุดถึง 550 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุดที่ 680 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ใน 4.7 วินาที โดยที่ Top Speed
จะถูกล็อคเอาไว้ที่ 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ภายนอกและภายในจะถูกตกแต่งพิเศษโดยเฉพาะสำหรับ รหัส SVR ใส่ล้ออัลลอยขนาด 21 นิ้ว
เบาะนั่งแบบสปอร์ต ฝาท้ายแบบสัมผัส เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และที่สำคัญมากับระบบขับเคลื่อน
4 ล้ออัจฉริยะ All Terrain Progress Control (ATPC)
Mazda
กลายเป็นบูธสำคัญที่สุดประจำงาน Tokyo Motor Show 2015 ไปตามความคาดหมาย เพราะนอกจาก Mazda
จะเปลี่ยนงานออกแบบบูธทั้งหมด ให้คล้ายคลึงกับรูปแบบ ของ CI (Corporate Identity) ที่จะถูกนำไปใช้กับโชว์รูม
Mazda ทั่วญี่ปุ่น โดยเน้นใช้โทนสีดำ ตัดสลับกับขอบสีขาว เรืองแสงด้วยสีน้ำเงินเอกลักษณ์ของ Mazda แล้ว
ชาว Hiroshima ยังนำ Mazda Cosmo Sport รถสปอร์ตขุมพลัง Rotary รุ่น Classic ระดับตำนานของญี่ปุ่น
มาจัดแสดงอีกด้วย
การปรากฎโฉมอีกครั้ง ของ Cosmo Sport นั่น ไม่เพียงแต่รำลึกถึงการเปิดตัวรถยนต์ รุ่นนี้ครั้งแรกใน งาน Tokyo Motor
Show เมื่อปี 1963 แต่ก็เพื่อที่จะบอกกับทุกคนว่า Mazda เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะพวกเขาไม่เคยลืมอดีตอันแร้นแค้น
แสนลำบากตรากตรำ ต้องฟันฟ่าอุปสรรคนานับประการ ที่ตามมาภายหลังจากเหตุการณ์ ระเบิดปรมาณูถล่มเมือง Hiroshima
ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 Mazda มีวันนี้ขึ้นมาได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะวิสัยทัศน์ ในการซื้อลิขสิทธิ์ขุมพลัง Rotary จาก NSU
และ Wankel มาพัฒนาต่อ เพื่อบุกตลาดทั่วโลก ช่วงทศวรรษ 1960 – 1970
ถึงแม้ตอนนี้ ขุมพลัง Rotary จะถูกยกเลิกการผลิตไปพร้อมกับ Mazda RX-8 แล้ว แต่ Mazda ยังคงซุ่มพัฒนาเครื่องยนต์
Rotary สำหรับอนาคตมาโดยตลอด และในวันนี้พวกเขา พร้อมแล้วที่จะเปิดเผยโครงการพัฒนารถสปอร์ต 2 ที่นั่งขนาดใหญ่
พร้อมเครื่องยนต์ Rotary เจเนอเรชันต่อไป เป็นครั้งแรกในโลก ภายใต้เส้นสายของรถยนต์ต้นแบบ 2 ที่นั่ง
ชื่อ Mazda RX-VISION
Mazda ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดตัวรถมากไปกว่าระบุขนาดตัวถังไว้ว่า RX-Vision จะยาว 4,389 มิลลิเมตร กว้าง 1,925
มิลลิเมตร สูงแค่ 1,160 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร วางขุมพลัง Rotary รุ่นต่อไป ซึ่งใช้ชื่อว่า SKYACTIV-R
เชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง สวมล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางขนาด 245/40R20 ที่ล้อคู่หน้า และ 285/35R20
ที่ล้อคู่หลัง
คาดว่า กว่าเาจะได้เห็นเวอร์ชันจำหน่ายจริงของ RX-Vision อาจต้องรอต่อไปอีก อย่างน้อยๆ 2 ปี หรืออย่างเร็วที่สุด
ก็คงต้องยลโฉมใน Tokyo Motor Show 2017
ส่วนรถยนต์ต้นแบบอีก 1 คัน ในบูธของ Mazda ปีนี้ คือ Mazda KOERU อันเป็น
ภาพสะท้อนของ Crossover SUV รุ่นต่อไป ที่ใกล้จะคลอดในอนาคตข้างหน้า ซึ่ง
เพิ่งจะเผยโฉมครั้งแรกในโลกที่งาน Frankfurt Motor Show เดือนกันยายน 2015
มาหมาดๆ สดๆร้อนๆ
ชื่อ Koeru เป็นคำในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายว่า go beyond” หรือ “surpass“ ใน
ภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยได้ว่า “ทะยานไปข้างหน้า” สื่อถึงบุคลิกของรถยนต์นั่ง
แบบ Crossover ยุคต่อไป ที่เปี่ยมด้วยความประณีตอีกระดับ ที่มาพร้อมพละกำลัง
อันน่าเกรงขาม ผสานความงามแบบญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ที่การผสานเสาหลังคาคู่หน้า
แบบ สีดำ เข้ากับงานออกแบบ KODO Design ของ Mazda ได้อย่างลงตัว ทำให้
KOERU มีบุคลิกที่แตกต่างไปจาก Crossover ของ Mazda รุ่นอื่นๆที่เปิดตัวออก
สู่ตลาดก่อนหน้านี้ทั้งหมด ภายใต้ตัวถังที่มีขนาดใกล้เคียงกับ Mazda 3 อย่างมาก
ด้วยความยาว 4,600 มิลลิเมตร กว้าง 1,900 มิลลิเมตร สูง 1,500 มิลลิเมตร ระยะ
ฐานล้อยาว 2,700 มิลลิเมตร
KOERU ถูกจัดแสดงถึงแค่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2015 ก่อนจะต้องไปอวดโฉมต่อ
ในประเทศอื่นๆ ส่วนเวอร์ชันจำหน่ายจริงของรถคันนี้ อดใจรออีกไม่นานนัก
นอกเหนือจากรถต้นแบบแล้ว มาดูรถที่ขายอยู่ปัจจุบันบ้าง ที่โดดเด่นเป็นสง่า และเชื่อว่าคนไทยหลายๆคน
ต่างติดตามเฝ้ารอการมาของ CX-5 Minorchange กันอยู่ มาดูกันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างครับ
เริ่มจากไฟหน้าดีไซน์ใหม่ พร้อมไฟ DRL Daytime Running Lights รวมอยู่ในโคมเดียวกัน มองผ่านๆ
ก็คล้ายกับไฟเหยี่ยวใน Mazda 2 นั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าตัวโคมจะโฉบเฉี่ยวกว่าเล็กน้อย
กระจังหน้าถูกปรับใหม่ ให้เป็นดีไซน์แบบซี่แนวนอน เสริมโครเมียมให้ภาพลักษณ์ดูหรูยิ่งกว่าเดิม จากที่เป็น
รังผึ้งสีดำธรรมดา รวมถึงไฟตัดหมอกจากแบบหลอดธรรมดา ถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบ LED ตามสมัยนิยม
ล้ออัลลอยลายใหม่ ขนาด 19 นิ้วปัดเงา ทำสี hilight และไฟท้ายดีไซน์ใหม่ก็ทำให้ตัวรถดูลงตัวมากยิ่งขึ้น
ภายในห้องโดยสารถือว่ามีการปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคันเกียร์ที่เปลี่ยนใหม่ แบบมีถุงหุ้มเกียร์
รวมถึงหน้าจอระบบเครื่องเสียง ที่พกพาเอาปุ่ม Center Commander พร้อมระบบ MZD Connect พ่วงเข้ามา
และที่สวยงามขึ้นอย่างเป็นได้ชัดคือ ชุดแผงควบคุมเครื่องปรับอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อมหน้าจอแสดงผล
แบบดิจิตอล จากเดิมที่เป็นแบบลูกบิด 3 ลูก บวกกับชุดมาตรวัดต่างๆก็ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
นอกเหนือจากรุ่นพี่อย่าง CX-5 minorchange แล้ว ก็ยังมีน้องเล็กที่เตรียมจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทย
วันที่ 10 พฤศจิกายนคือ CX-3 มากับ เครื่องยนต์ SKYACTIV ENGINE มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ SKYACTIV-D
ดีเซล เจนเนอเรชั่นใหม่ของมาสด้า ขนาด 1500 ซีซี. พร้อมเทอร์โบแปรผันที่มีน้ำหนักเบา แรงม้าสูงสุด 105 แรงม้า
และแรงบิดสูงสุด 270 นิวตัน-เมตร ให้อัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 23 กิโลเมตรต่อลิตร และ เครื่องยนต์เบนซิน
SKYACTIV-G ขนาด 2000 ซีซี. แรงม้าสูงสุด 156 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 204 นิวตัน-เมตร จับคู่กับ SKYACTIV-DRIVE
เกียร์อัตโนมัติสกายแอคทีฟ 6 จังหวะ
Mercedes-Benz / Maybach / AMG / Smart
ใครว่างานแสดงรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นจะมีแต่รถญี่ปุ่นที่น่าสนใจ เพราะค่ายดาวสามแฉกนั้นไปร่วมแสดงเช่นกัน
แถมมี highlight เปิดตัว concept car เป็นครั้งแรกของโลกด้วย แถมมาแปลกกว่าชาวบ้านชาวช่องเพราะรถคันที่
เราพูดถึงนั้นเป็นรถตู้ minivan ที่จะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
Mercedes-Benz ยังไม่เปิดเผยว่าเจ้ารถตู้คันนี้มีชื่อว่าอะไรมีเพียงแต่การให้คำจำกัดความว่าเป็น ยานยนต์ขับเคลื่อน
อัตโนมัติที่มีทั้งความหรูหราและโฉบเฉี่ยวซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่จะนำมาใช้ใน Mercedes-Benz รุ่นต่อๆไป ส่วนรูปทรงของรถ
minivan คันนี้มีเส้นสายคล้ายคลึงกับ F 015 Luxury in Motion รถยนต์ต้นแบบที่เผยโฉมไปก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร
มีการคาดการณ์ว่ารถต้นแบบคันนี้จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Plug In Hybrid ที่มาพร้อมกับ battery lithium ion,
hydrogen fuel cell, และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งต้องตามดูกันต่อว่ารถต้นแบบคันนี้จะมาเป็นทายาทของ Vito หรือ Sprinter
ในเร็ววันนี้หรือไม่
Mercedes-AMG GT3 รถแข่งคลาส GT3 ซึ่งจะถูกใช้แทน AMG SLS GT3 ในการแข่ง นอกจากภายในจะถูกถอด
สิ่งที่ไม่จำเป็นออกหมดแล้ว เครื่องยนต์ก็หันกลับมาใช้บล็อค M159 V8 6,208 ซี.ซี. NA แบบเดียวกับ SLS
แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 600 แรงม้า
Tobias Moer CEO ของ AMG บอกว่าจะมีการทำเวอร์ชั่นขายจริงออกมาอีกแต่ จะไม่ได้ใช้ชื่อว่า GT3 และไม่ได้
เรียกว่ารุ่น Black เขาบอกเพียงแค่ว่ามันจะเป็น คู่แข่งสายตรงกับ 911 GT3 และมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เครื่อง V8
เทอร์โบที่มี พื้นฐานมาจาก AMG GT-S แทน แต่แรงม้าอาจจะพุ่งไปอยู่ที่ราว 600 ตัวเช่นเดียวกับเวอร์ชั่นรถแข่ง
AMG C63S เครื่องยนต์ที่ใช้ก็เป็นบล๊อกเดียวกับ AMG GT-S คือ 4.0 ลิตร V8 เทอร์โบ Hot-in-vee แรงม้าสูงสุด
เท่ากับ AMG GT-S คือ 510PS (503BHP) ส่วนที่แตกต่างกันคือตัวเครื่อง C63S จะไม่ได้ใช้อ่างน้ำมันเครื่องแบบแห้ง
และระบบส่งกำลังจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ ไม่ได้ใช้คลัตช์คู่แบบ AMG GT-S
MITSUBISHI MOTORS
สถานการณ์ของ Mitsubishi ตอนนี้ แม้ไม่เรียกว่าเข้าขั้นย่ำแย่ แต่ก็ต้องทำธุรกิจไปอย่างระมัดระวัง ดังจะเห็นได้จาก
ความเคลื่อนไหวทางฝั่งรถยนต์นั่งที่ต้องพักไปชั่วคราว และหันมาลงทุนกับกลุ่มรถกระบะและ SUV แทน นี่เองจึงเป็น
เหตุผลให้ Mitsubishi เร่งทำการบ้าน เรียกคืนความเชื่อมั่นในแบรนด์กลับมา
2016 Mitsubishi Outlander PHEV คือผลผลิตล่าสุดที่ Mitsubishi เร่งปรับโฉม ส่งออกมาเปิดตัวเพื่อช่วยกู้สถานการณ์
แบรนด์ชี้ให้เห็นถึงอนาคตว่า Mitsubishi เอาจริง และเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ซึ่งนำมาใช้งานกับ
รถยนต์ SUV ก่อนใครเพื่อน
งานนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่รูปลักษณ์ด้านหน้าแบบใหม่ ‘Dynamic Shield’ จะถูกนำมาใช้อีกครั้ง หลังจากเปิดตัว
กับรุ่นปรับโฉมของ Outlander ก่อนหน้านี้แล้ว จุดเด่นอยู่ที่เส้นสายสื่อถึงความโฉบเฉี่ยว แข็งแกร่งมากกว่าเดิม
เพิ่มความน่าสนใจให้กับตัวรถ ซึ่งเราจะได้เห็นดีไซน์แบบนี้ใน Pajero Sport ที่เปิดตัวในบ้านเราไปแล้วนั่นเอง
ปลักษณ์ภายในไร้ความเปลี่ยนแปลงบนแผงแดชบอร์ด มีเพียงการเปลี่ยนเบาะนั่งใหม่ให้โอบกระชับรับสรีระ
ได้ดีมากขึ้น รวมถึงเปลี่ยนหัวเกียร์ไฟฟ้าใหม่ ในทรงประหลาดกว่าเดิม และที่สำคัญ ขอแสดงความยินดีกับแฟนๆ
มิตซูบิชิ ที่ท่านกำลังจะได้พวงมาลัยสหกรณ์แบบ 4 ก้านดีไซน์ ‘Dynamic Shield’ ใหม่ ไปใช้กันแล้ว (หลังจากเกิด
ข้อครหาว่าพวงมาลัย 3 ก้านเดิม ดูคล้ายอีโคคาร์อย่าง Mirage/Attrage มากไป)
ขุมพลังระบบ Plug-in Hybrid คล้ายรุ่นปัจจุบันทั้งหมด มีเพียงความเปลี่ยนแปลงด้านระบบซับเสียงที่ลดเสียงรบกวน
ของระบบไฮบริดระหว่างทำงานได้ดีขึ้น รวมถึงปรับปรุงระบบเล็กน้อย จนสามารถทำให้ตัวรถมีความประหยัดน้ำมัน
ได้ถึง 20.2 กม./ลิตร (ตามมาตรฐานญี่ปุ่น) และแล่นด้วยพลังไฟฟ้าได้ไกลขึ้นเป็น 60.8 กิโลเมตร
แนวคิดที่แปลกก็คือ ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติใดๆที่ทำให้ไฟฟ้าเข้าไม่ถึงพื้นที่นั้นๆ ถ้าคุณมี Outlander PHEV
ที่มีน้ำมันเต็มถังอยู่ ตัวรถนั้นสามารถจ่ายไฟผ่านซ็อคเก็ต 1500W 100V AC เข้าสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าตามบ้านเรือนได้
และสามารถมอบพลังไฟให้กับบ้านแบบครอบครัวญี่ปุ่น ให้มีชีวิตสุขีไปได้ถึง 10 วัน เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอบริษัทรถ
ที่เอาเรื่องนี้มาประชาสัมพันธ์นี่ล่ะครับ (แต่ไฟฟ้าบ้านเรา 220V น่ะสิ)
Nissan
Nissan เผยไฮไลต์สำคัญในงาน Tokyo Motorshow 2015 นั่นคือการเผยโฉมรถต้นแบบ Nissan IDS Concept
อนาคตใหม่ของรถไฟฟ้าและรถขับขี่อัตโนมัติ ในเดือนสิงหาคม 2013 Nissan Motor เคยประกาศตนชัดเจนแล้วว่า
จะส่งรถขับขี่อัตโนมัติหลายรุ่นภายในปี 2020 และด้วยกระบวนการพัฒนาในขณะนี้ก็ทำให้ Nissan มั่นใจได้ว่า
ระบบขับขี่อัตโนมัติจะเกิดขึ้นจริงตามที่เคยพูดไว้แน่
Nissan Intelligent Driving คือแนวคิดรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติจาก Nissan และเป็นสิ่งที่เชื่อมั่นว่ารถยนต์ในอนาคต
ควรจะต้องมีระบบนี้ไว้ Carlos Ghosn กล่าวว่า “รถอัจฉริยะจาก Nissan จะช่วยให้ผู้ขับขี่เพิ่มขีดความสามารถในการ
มองเห็น, คิดและกระทำมากขึ้น เพื่อชดเชยความผิดพลาดของมนุษย์อันเป็นเหตุของอุบัติเหตุถึง 90% ผลลัพธ์คือ
มนุษย์จะใช้เวลาที่อยู่ในรถอย่างปลอดภัย, สะอาด, มีประสิทธิภาพขึ้นและมีความสนุกระหว่างเดินทาง” นับตั้งแต่
ปี 2020 เป็นต้นไป Nissan คาดว่าระบบขับขี่อัตโนมัติจะมีวิ่งทั่วทุกระแหงทั่วโลก
ไฮไลต์สำคัญของ Nissan IDS Concept คงมิใช่เป็นแค่เพียงรถขับขี่อัตโนมัติเท่านั้น แต่มันเป็นรถที่สามารถสื่อสาร
ระหว่างรถกับเพื่อนมนุษย์ได้ด้วยจากระบบปัญญาประดิษฐ์ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่ Mitsunori Morita ผู้อำนวยการออกแบบ
รถต้นแบบคันนี้เปิดเผยว่า พวกเขาออกแบบ Nissan IDS Concept ให้มีความยาวฐานล้อมาก เพื่อความกว้างขวางของ
ห้องโดยสารที่รองรับผู้ใหญ่ 4 คน และออกแบบภายในห้องโดยสารให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบไปมาสองโหมดการขับขี่ได้
หากผู้ขับขี่เข้าสู่โหมดขับขี่อัตโนมัติ พวงมาลัยก็จะหุบเข้าไปอัตโนมัติเพื่อหมุนหน้าจอขนาดใหญ่เข้ามาแทนที่ พร้อมกัน
หมุนหน้าจอขนาดใหญ่ฝั่งผู้โดยสารเพื่อแสดงผลสำคัญ โดยระบบปัญญาประดิษฐ์จะรับข้อมูลเสียงและการวาดมือจากผู้
ขับขี่เท่านั้น เบาะนั่งทั้งสองตอนจะบิดเอียงเข้าหาซึ่งกันและกันคล้าย ๆ ห้องสนทนา
ถ้าอยู่ในโหมดขับขี่โดยมนุษย์ แผงแดชบอร์ดจะกลายร่างเป็นแผงปกติ ไม่มีหน้าจอขนาดยักษ์และขนาดใหญ่ให้เห็น
พวงมาลัยก็จะยืดขึ้นมาพร้อมกับหน้าจอมาตรวัดมาตรฐาน ใช้ไฟหรี่โทนสีฟ้า, แป้นเหยียบต่าง ๆ จะถูกยกขึ้นมาเพื่อให้
รองรับสรีระผู้ขับขี่
ตกลงว่า Nissan Gripz Concept มันจะกลายร่างเป็นอะไร? ระหว่าง Z หรือ Juke ตัวต่อไป? คำตอบคือไม่ใช่ต้นแบบ Z
และ Juke ตัวต่อไป หากอ้างอิงใน Press Release ก็ยืนยันว่าเจ้า Gripz กรุบกรอบคันนี้เป็น Design Study อาจนำ
ดีไซน์บางส่วนไปใส่ในรถครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ ๆ เท่านั้น ผิดกับ Nissan Sway Concept ที่ Nissan เคลมเลยว่ามันเป็นรถ
แสดงออกทิศทางรถขนาดเล็กรุ่นใหม่
Nissan Gripz Concept เป็นรถแนวคิดสปอร์ตครอสโอเวอร์สายพันธุ์ใหม่ ให้อารมณ์ขับรถสปอร์ตแบบจริง ๆ จัง ๆ มาก
ยิ่งขึ้น มีบุคลิกเป็นพวกไบโพลาร์คือมันสามารถขับในชีวิตประจำวันได้ และสามารถผจญภัยในช่วงสุดสัปดาห์ได้
แรงบันดาลใจของ Nissan Gripz Concept คือการเอาวิญญาณร่างเงารถสปอร์ตมาเข้าสิงรถแบบครอสโอเวอร์ ว่าง่าย ๆ
มันก็เหมือนเอารถสปอร์ตมาจับยกสูงเพื่อนำความโก้เก๋ไปพิชิตชัยชนะบนทางที่หลากหลายมากขึ้น (และแน่นอนว่าน่าจะ
พิชิตใจสาวที่ชอบรถเท่ห์แปลกตาด้วย)
Nissan ยืนยันว่า Gripz Concept คือรถต้นแบบที่แสดงออกด้านการออกแบบมากกว่าที่จะใบ้ว่ามันจะมาแทนรถที่ขาย
ปัจจุบันรุ่นไหน งานออกแบบเป็นการแสดงออกถึง Design Language ใหม่ที่มีชื่อว่า emotional geometry อัน
ประกอบไปด้วยทิศทางการออกแบบ 4 องค์ประกอบเหมือนกับ Nissan Sway Concept ดาวเด่นในงาน Geneva
Motorshow 2015 ได้แก่ ไฟหน้าและท้ายทรงบูมเมอแรง, กระจังหน้า V-Motion, Floating Roof และเสา C แบบตวัด
ภายในห้องโดยสารได้แรงบันดาลใจจากจักรยาน Tour de France เราจึงเห็นแต่โครงเหล็กขึ้นรูป, รายละเอียดเบาะนั่ง
และคอนโซลกลางก็ได้แรงบันดาลใจจากรถจักรยานเช่นกัน แม้กระทั่งมือจับประตูก็ได้แรงบันดาลใจจากอานรถจักรยาน
เช่นกัน
เทคโนโลยีใหม่ที่ Nissan น่าจะนำเสนอในอนาคตคือการนำขุมพลังไฟฟ้าจาก Nissan Leaf มาผนวกคู่กับ Series
Hybrid ที่มาในชื่อ ‘Pure Drive e-Power’ โดยให้เครื่องยนต์ปั่นกำลังไฟฟ้าส่งมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง
รถต้นแบบอีกคันหนึ่งก็น่าสนใจในระดับหนึ่งนั่นคือ Nissan Concept Vision Grand Turismo 2020 เวอร์ชันอัพเดท
จากเวอร์ชัน Goodwood Festival of Speed เพียงแค่สีตัวถังภายนอกและดัดแปลงกระจังหน้า V-Motion ให้
เข้าร่องเข้ารอยบ้าง
Nissan 2020 Concept Vision Gran Turismo เป็นผลงานการสร้างสรรค์จากทีมออกแบบวัยรุ่นในศูนย์การออกแบบ
Nissan Design Europe ที่อยากจะให้รถ Supercar เป็นไปตามที่พวกเขาใฝ่ฝันว่าอยากจะจอดเก็บไว้ในโรงรถ Gran
Turismo แต่จะมีการช่วยเหลือด้านข้อมูลงานวิศวกรรมจากศูนย์พัฒนาที่ญี่ปุ่น เพื่อให้รถคันนี้สามารถปั้นเป็นรูปร่าง
ออกมาเป็นคันจริงได้
Nissan ได้เปิดเผยใน Press Release “โดยตรง” ว่า NISSAN CONCEPT 2020 Vision Gran Turismo จะเป็นการ
บอกใบ้หรือแสดงวิสัยทัศน์ของรถ Supercar สมรรถนะสูงในอนาคตว่ามันจะมีรูปร่างหน้าตาลักษณะอย่างไร
นอกจากนี้ก็ยังมีบรรดา NISMO รุ่นต่างๆมาประชันกันอยู่ในบู้ธ ไม่ว่าจะเป็น GT-R , 370Z, Note ก็ขนกันมาหมด
Note Nismo แบ่งออกเป็น 2 รุ่น 2 ขุมพลัง เช่นเดียวกับ March มีทั้งรุ่นมาตรฐานในชื่อ Note Nismo เอาใจกลุ่มลูกค้า
ที่อยากได้รถขับสนุกขึ้น แต่ยังคำนึงถึงความประหยัดน้ำมัน อยู่ดี (ในเมืองไทย คนกลุ่มนี้ จะซื้อ Vios หรือ Yaris TRD
Sportivo) ส่วนรุ่น Nismo S จะมุ่งเน้นแต่ความสนุกในการขับขี่เป็นหลัก จึงมีเฉพาะเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่านั้น
Note Nismo รุ่นปกติ วางขุมพลัง รหัส HR12DDR บล็อค 3 สูบเรียง DOHC 12 วาล์ว 1,198 ซีซี จ่ายเชื้อเพลิงฉีดตรง
เข้าห้องเผาไหม้ Direct Injection พร้อมระบบ แปรผันวาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control)
กำลังสูงสุด 98 แรงม้า (PS) ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ
อัตราทดแปรผัน CVT ลูกเดียวกันกับ Marchแต่ ต่างกันที่อัตราทดเฟืองท้ายเพียงอย่างเดียว
ส่วน Note Nismo S จะยกระดับขยับความแรงขึ้นด้วยการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ HR16DE บล็อค 4 สูบเรียง DOHC
16 วาล์ว 1,597 ซีซี หัวฉีด Multi-Point ควบคุม ด้วยกล่องอีเล็กโทรนิคส์ ECCS 32 Bit ระบบขับวาล์ว ใช้โซ่ตอนเดียว
มีระบบแปรผัน วาล์ว CVTC (Continuously Valve-Timing Control) เหมือนกับ TIIDA แต่ ถูกจูนโดย Nismo เพื่อให้
เครื่องยนต์มีกำลังมากขึ้น ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 16.6 กก.-ม.ที่ 4,800 รอบ/นาที
ทั้ง 2 ขุมพลัง จะถูกปรับจูนโปรแกรมในกล่อง ECM จาก Nismo มาให้เป็นพิเศษ
ปิดท้ายด้วย X-Trail Hybrid ที่มาเปิดตัวที่บ้านเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายนอกนั้น แทบจะแยกความต่างไม่ออก
ระหว่างรุ่นธรรมดาและรุ่น Hybrid แต่ ความโดดเด่นอยู่ที่ ขุมพลัง PureDrive Hybrid การใช้เทคโนโลยี
คลัทช์คู่อัจริยะ (Intelligence Dual Clutch System) เอกสิทธิ์ของ Nissan ที่สามารถประยุกต์ใช้กับรถยนต์
วางเครื่องยนต์ด้านหน้า และขับเคลื่อนล้อหน้าและ ขับเคลื่อนสี่ล้อโดยไม่ต้องมีการดัดแปลงในส่วนอื่นๆเพิ่มเติม
ให้กับรถยนต์ Nissan X-Trail จากรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินมาสู่เครื่องยนต์แบบ Hybrid
สำหรับเทคโนโลยี คลัทช์คู่อัจริยะ (Intelligence Dual Clutch System) ประกอบด้วย คลัทช์จำนวน 2 ตัว
คลัทช์ตัวที่ 1 ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ และคลัทช์ตัวที่ 2 อยู่ระหว่างมอเตอร์และเชื่อมต่อกับ
เกียร์แบบ XTRONIC CVT โดยมีรูปแบบการทำงานดังนี้ เมื่อรถยนต์ต้องการกำลังจากทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์
เช่น ช่วงการเร่งแซง หรือ ทำความเร็ว คลัทช์ทั้ง 2 ตัวจะทำงานพร้อมกัน ทำให้เกียร์ CVT ได้รับกำลังจากทั้งเครื่องยนต์
และมอเตอร์ไฟฟ้า การขับขี่ในช่วงที่ใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว จะมีการชาร์จไฟกลับเข้าแบตเตอรี่จากเครื่องยนต์
คลัทช์ตัวที่ 1 จะทำงาน เพื่อถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์ส่งไปขับเคลื่อนเกียร์ ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้า จะทำหน้าที่เป็น
เจนเนอเรเตอร์เพื่อรีชาร์จประจุไฟฟ้ากลับเข้าไปยังแบตเตอรี่
เมื่อระบบไม่ต้องการกำลังจากเครื่องยนต์ คลัทช์ตัวที่ 1 ที่อยู่ระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ จะตัดการทำงานจากเครื่องยนต์
ผลที่ตามมาคือ เครื่องยนต์จะหยุดการทำงาน ทำให้ไม่มีแรงเสียดทานจากการหมุนของเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เหลือเพียงมอเตอร์ไฟฟ้ากับเกียร์เท่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว เครื่องยนต์จะทำงานเหมือนกับเป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงาน
ไฟฟ้า (EV) และอีกคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากระบบไฮบริดอื่นๆ คือ ระบบคลัทช์คู่อัจฉริยะ สามารถทำงานที่ความเร็ว
ได้สูงสุดถึง 120 กม./ชม.ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่าระบบไฮบริดทั่วไป อันจะนำมาซึ่งการประหยัดน้ำมันในย่านความเร็วสูง
อีกด้วย
ระบบ 4WD ผ่านระบบคลัทช์คู่อัจฉริยะที่ทั้ง 4 ล้อ ได้รับกำลังจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าโดยตรง Nissan X-Trail
Hybrid มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร MR20DD 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว Twin C-VCT ไดเร็ค อินเจคชั่น
ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตรที่ 4,400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า
ที่ให้กำลังสูงสุด 41 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 160 นิวตันเมตร และเมื่อทำงานร่วมกันทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด
รวมถึง 179 แรงม้า ซึ่ง Nissan เคลมว่าให้กำลังและอัตราเร่งดีกว่าเครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร
PEUGEOT
คันแรกดาวเด่นในบู้ธเปอโยต์จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก 308 GTi Compact Hatchback ตัวจี๊ดรุ่นล่าสุด
ที่นับตั้งแต่การเผยโฉม Peugeot 308 โฉมที่ 2 ในรหัสตัวถัง T9 ตั้งแต่ปี 2013 เปอโยต์ก็ไม่ได้แตะตลาดฮอตแฮตช์
ด้วยรหัส GTi เลย ปล่อยให้คู่แข่งอย่าง VW Golf GTI, Ford Focus RS และ Renault Megane RS ห้ำหั่น
โกยยอดขายนักขับเท้าหนักกันไป
หลังจากหายไปจากตลาดกลุ่มนี้ไปนาน ก็กลับมาโชว์ความเหนือ ด้วยการใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร พร้อมรีดกำลัง
ได้สูงสุด 270 แรงม้า! ในขณะที่คนอื่นใช้เครื่องยนต์2.0 ลิตรกัน
จุดเด่นของตัวรถ ตกไปอยู่ที่งานวิศวกรรมเครื่องยนต์เป็นหลัก ถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เลย เพราะ Peugeot หยิบ
เอาขุมพลัง 4 สูบขนาด 1.6 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จ มาต่อยอดความแรง จากเดิมที่สร้างกำลังได้ 205 แรงม้า
ให้เพิ่มเป็น 250 แรงม้า (ในรุ่นพื้นฐาน) และขยายความแรงขึ้นอีกเป็น 270 เป็นรุ่นพิเศษ สำหรับนักขับที่โหยหา
ความแรงที่มากกว่า
ทั้ง 2 เวอร์ชั่นจะมีแรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะสู่ล้อหน้าเพียงแบบเดียว
ตัวรถมีน้ำหนักเบาเพียง 1.2 ตัน ทำให้สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.2 วินาที พร้อมปรับ
ช่วงล่างให้ต่ำลงกว่ารุ่นปกติ 11 มิลลิเมตร โดยในรุ่น 270 แรงม้า จะได้ระบบเฟืองท้ายมาช่วยเพิ่มความหนึบด้วย
อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ขับปิดระบบช่วยเสถียรภาพ ESP ได้ทั้งหมดด้วย
นอกจากนี้ อีกรุ่นที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ Peugeot 508 GT มีเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ผ่านค่ามาตรฐานไอเสีย Euro6
ให้ลูกค้าได้เลือกใช้กัน ได้แก่ เบนซิน 1.6 ลิตร THP 165 แรงม้า มาแทนที่เครื่องรุ่น 156 แรงม้า เกียร์ธรรมดาและ
อัตโนมัติ 6 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่เพียง 131 กรัมต่อกิโลเมตรสำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร BlueHDI 150 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 แค่เพียง 105 กรัมต่อ
กิโลเมตร และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร BludHDI 180 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ติดตั้งในรุ่น SW ปล่อยค่าไอเสีย CO2
แค่เพียง 111 กรัมต่อกิโลเมตร
ส่วนขุมพลัง Hybrid4 จะติดตั้งอยู่ในตัวถังซีดานและแวกอนยกสูง RXH ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร HDI 163
แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 37 แรงม้าที่ส่งกำลังไปยังล้อคู่หลังโดยเฉพาะซึ่งมีโหมดการขับขี่ให้เลือกทั้งแบบ
ZEV, 4WD, Sport และอัตโนมัติ ปล่อยค่าไอเสีย CO2 ต่ำมากแค่เพียง 85 กรัมต่อกิโลเมตร และประหยัดน้ำมันมากถึง
85.6 MPG ก็ทำให้ Peugeot 508 เป็นรถที่ประหยัดน้ำมันและปล่อยมลพิษต่ำสุดในเซกเมนต์นี้
PORSCHE
โดดเด่นตั้งตระหง่านด้วยสีส้มจี๊ดโดนใจ ไฮไลท์เด็ดของบู้ธ Porsche กับ 911 GT3 RS “แรงที่สุดในสาย NA”
ของ Porsche โดยที่ GT3 RS นั้นเป็นรถที่เน้นการใช้ขับแข่งแบบมอเตอร์สปอร์ตเป็นหลัก เพียงแต่ใส่อุปกรณ์
ความปลอดภัยให้สามารถวิ่งบนถนนได้อย่างถูกกฏหมาย แน่นอนว่ามันเข้าใกล้คำว่ารถแข่งมากกว่า GT3 รุ่นธรรมดา
เสียอีก เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นแบบ 6 สูบนอน 4.0 ลิตร ปรับจูนจนได้พละกำลัง 500 แรงม้า ปั่นรอบ ได้ทะลุ 8,000 มีแรงบิด
460Nm และสามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาแค่ 3.3 วินาที และ 0-200 กม./ชม. ภายใน 10.9 วินาที
ระบบส่งกำลังมีเพียงแบบเดียวคือคลัตช์คู่ PDK ขับเคลื่อนล้อหลัง GT3 RS รุ่นใหม่วิ่งรอบ Nurburgring ได้ภายใน
7 นาที 20 วินาที ซึ่งเร็วกว่า Carrera GT อยู่ 9 วินาที
นอกจากนี้ยังมีรถยอดนิยมอย่าง Panamera S E-Hybrid ที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่งด้วย เพราะก็แอบเป็นที่นิยมในหมู่
เศรษฐีชาวไทยด้วยเหมือนกัน ที่ถึงแม้จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2013 แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ดี มากับเครื่องยนต์
เบนซิน V6 ขนาด 3.0 ลิตร 316 แรงม้า ผนวกเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ขนาด 94 แรงม้า และใช้แบตเตอรี่ชนิด Li-ion
ในการเก็บประจุไฟฟ้า ส่งผลให้มีกำลังรวมสูงสุดด้วยตัวเลข 410 แรงม้า และทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.
ด้วยเวลา 5.5 วินาทีเท่านั้น
นอกจากนี้ ขุมพลัง E-Hybrid ยังช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมัน มีอัตราสิ้นเปลือง เชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 32.2 กม./ลิตร
จะปล่อยก๊าซไอเสีย CO2 ออกมาเพียง 71 กรัม/กม. และสามารถแล่นด้วยกำลังไฟฟ้าได้ไกลสูงสุดถึง 35.4 กม. และ
ทำความเร็วได้สูงสุด 133 กม./ชม.
RENAULT
เป็นการเปิดตัวในญี่ปุ่นครั้งแรก ของรถขนาดจิ๋วอย่าง Twingo ซึ่งมีความเด็ดตรงที่เป็นรถเล็ก
แต่ใช้เครื่องวางหลังขับเคลื่อนล้อหลังโดยวางเครื่องเอียง 49 องศาเพื่อพยายามหลบให้มี
ที่เก็บสัมภาระด้านท้ายบ้าง แม้จะได้ไม่เยอะนักก็ตาม Twingo เป็นรถที่พัฒนาและใช้
โครงสร้างตัวถังร่วมกับ Smart โดยเอาแพลทฟอร์มของ Smart ForFour เจนเนอเรชั่นที่ 2
มาปรับใช้กับสไตล์ตัวถังของ Renault โดยที่ทั้ง Smart และ Twingo จะประกอบจากโรงงาน
ในประเทศสโลเวเนีย
เครื่องยนต์ของ Twingo มี 2 แบบ คือ 1.0 ลิตร 71 แรงม้า ไร้เทอร์โบ กับแบบ 0.9 ลิตร
เทอร์โบชาร์จ 90 แรงม้า ทั้ง 2 แบบนั้นเป็นเครื่อง 3 สูบ ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
ขนาดของตัวรถ สั้นลงกว่า Twingo เจนเนอเรชั่นก่อนเกือบ 10 เซ็นติเมตร
SUBARU
บูธ Subaru ประจำปีนี้ใช้แนวคิด New Subaru Story เพื่อวาดเรื่องราวใหม่ของ Subaru
ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขในการใช้ชีวิต อันเกิดจากรถยนต์ของพวกเขา
แต่หากคุณเป็นแฟนตัวยงของ Subaru จิตใจของคุณจะไม่อยู่นิ่งแน่ๆ เพราะในงานปีนี้
Subaru นำรถยนต์ต้นแบบ มาจัดแสดงรวม 2 คัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นับจากนี้ไป FHI
หรือ Fuji Heavy Industries บริษัทแม่ของ Subaru เลือกแล้วว่า จะมุ่งสร้างรถยนต์
เพื่อเน้นเอาใจลูกค้าส่วนใหญ่ ที่อยากได้ยานยนต์เพื่อสันทนาการ มากกว่าจะเน้นด้าน
สมรรถนะเหมือนในอดีต
รถยนต์ต้นแบบคันแรกคือ Subaru Impreza 5-Doors Concept แค่ชื่อก็บอกชัดเลย
ว่านี่คือต้นแบบ Impreza รุ่นถัดไป ซึ่งมีจุดเด่นด้านการออกแบบที่ดูสปอร์ต เข้มแข็ง
เฉียบคมขึ้น และมี Propotion เตี้ยลง พูดง่ายๆก็คือ Mazda 3 ในเวอร์ชันของ Subaru
ซึ่งก็น่าจะเป็นการกลับเข้ามาสู่แนวทางการออกแบบที่จับตลาดวงกว้างขึ้น
รถยนต์ต้นแบบอีกหนึ่งคัน นั่นคือ Subaru Viviz Future Concept ต้นแบบแห่งความใฝ่ฝันในอนาคต
ดูคล้ายรถผลิตจริงเข้าไปทุกวัน ดีไซน์ภายนอกและภายในดูมีความเป็นไปได้สำหรับ SUV คันต่อไปของ
Subaru ที่จะเข้ามาทำตลาด บรรจุเทคโนโลยีล้ำหน้า และหนึ่งในนั้นก็คือเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ
หนึ่งในฟีเจอร์หลักของ EyeSight และจุดเด่นที่สำคัญคือ ระบบ Hybrid ของ Subaru ที่นำเครื่องยนต์เบนซิน
พ่วงเทอร์โบ ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วยล้อทั้ง 4 ล้อ Symmetrical All Wheel Drive
ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตราดาวลูกไก่ ซูบารุเคลมว่านอกจากอัตราเร่งจะไวขึ้นแล้ว ยังช่วยทำให้ประหยัด
น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นอีกด้วย
รถคันต่อไปนี้ Subaru Forester ที่ถึงแม้รุ่นปัจจุบันจะมีขายในบ้านเราอยู่ก็ตาม แต่นี่คือรุ่นปรับโฉม
minorchange ให้จับตาดูไว้ให้ดีในปีหน้าจะเข้ามาบ้านเรา แต่ย้ายการนำเข้าจากญี่ปุ่นมาเป็นมาเลเซีย
ทำให้ราคาปรับลงแบบมีนัยยะสำคัญ ได้ยินมาว่าอาจทำราคาได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ ใครที่รออยู่มีเฮ แน่นอน
ตัวรถนั้นมีการปรับปรุงดีไซน์ด้านหน้าใหม่ ทั้งไฟหน้า, กระจังหน้าและกันชนหน้า ส่วนบั้นท้ายก็ปรับปรุง
รายละเอียดโคมไฟท้ายใหม่
สำหรับภายในห้องโดยสารก็ดูเหมือนจะสปอร์ตขึ้นด้วยการเปลี่ยนรายละเอียดฝาปิดช่องใส่เอกสาร
ปุ่มไฟฉุกเฉิน, ตกแต่งด้วยวัสดุเมทัลลิคเพิ่มเติม, อัพเกรดหน้าจอ MID แบบจอสี พร้อมกันนี้ยังเพิ่มออพชั่น
เบาะหลังอุ่นได้ทั้งตอนล่างและตอนบนของเบาะ
Subaru อัพเกรดระบบความปลอดภัย Eye Sight เวอร์ชันที่ 3 ด้วยการปรับปรุงระบบเตือนการเปลี่ยนเลน,
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและ Adaptive Cruise Control และยังมีฟังก์ชันความปลอดภัยอื่นอีกเพียบ
อาทิ ระบบตรวจจับจุดบอด, ระบบช่วยเปลี่ยนเลน, ระบบเตือนวัตถุกีดขวางขณะถอยหลัง, ระบบเตือนสัญญาณ
ไฟและระบบปิดไฟสูงอัตโนมัติ
ด้านงานวิศวกรรม มีการปรับปรุงแชสซีส์ให้ทนต่อการบิดตัว, ปรับปรุงบุชเทรลลิ่งด้านหลังเพื่อการสนองพวงมาลัยที่ดีขึ้น
เน้นการขับขี่ทางตรงยาว มั่นคง ช่วงล่างก็มีการปรับโช๊คอัพแดมเปอร์และคอยล์สปริงเพื่อเพิ่มความสบายและ
การบังคับควบคุม, ปรับปรุงโช๊คอัพเพื่อซับแรงสะเทือนได้ดีขึ้น
Subaru WRX S207 “The Return of STi King” นับเป็นการทิ้งช่วงนาน 4 ปีนับตั้งแต่ S206 ซาลูนในปี 2011
ในวันนี้ Subaru ก็เผยโฉม S207 รถรุ่นพิเศษในงาน Tokyo Motorshow พร้อมกับเปิดรับออร์เดอร์ และพร้อมส่งมอบ
ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมเป็นต้นไป
ผู้คนให้ความสนใจกันมาก บอกได้เลยว่าเข้าคิวขอลองนั่งกันยาวไม่แพ้ Civic Type-R แต่ราคา 6.2 ล้านเยนของ
ตัวท้อปสีเหลืองตามที่เห็นในภาพนี้โหดกว่า Civic มากครับ S207 ดำเนินรอยตาม S-Series ที่ผ่านๆมาทั้งหมด
(คลิกอ่านประวัติ Sรุ่นอื่นๆได้ที่นี่) ในเรื่องการปรับแต่งเครื่อง ช่วงล่าง และภายในให้เหนือกว่า WRX STi รุ่นปกติทั่วไป
เครื่องยนต์ EJ20 2.0 ลิตร ได้เทอร์โบแบบ Twin-Scroll, ท่อไอเสียเฉพาะรุ่น และ กรองอากาศแบบ High-flow filter
พร้อมปรับจูนกล่อง ECU ใหม่ เพิ่มแรงม้าจาก 308 ในรุ่น STi เป็น 328 แรงม้าที่ 7,200 รอบต่อนาที รอบตัด 8,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 44.0 กก.ม.ที่ 3,200-4,800 รอบต่อนาที เทียบกับ S206 แล้วจะพบว่า แรงบิดสูงสุดลากไปรอบสูงได้มากขึ้น
ส่งผลให้แรงม้าสูงสุดเพิ่มตามแม้จะแค่ 8 ตัวก็เถอะ เกียร์ 6 จังหวะ TY856 ดูแล้วก็น่าจะเหมือนกับ 6 สปีดสเป็คญี่ปุ่นที่ผ่านมา
ตลอด 13-14 ปี ซึ่งแม้จะเปลี่ยนเฟือง กลไกลต่างๆบ้างแต่อัตราทดไม่เคยเปลี่ยนเลย
ช่วงล่างด้านหน้าใช้โช้คอัพ Bilstein DAMPMATIC Inverted Strut ปรับความแข็งได้ ส่วนด้านหลังเป็น Bilstein
แบบซิ่งธรรมดา เบรกหน้าใช้แบบ STi/Brembo 6 Pot ด้านหลัง 4 Pot ล้อ BBS 19 นิ้วห่อด้วยยาง Dunlop Sport Maxx
RT 255/35/19 พวงมาลัยนั้นปรับอัตราทด ขนาด 13.0 ของ STi ที่ไวโคตรๆแล้ว พอเป็น S207 เปลี่ยนไปใช้อัตราทด
11.0:1 เท่าของ WRX tS Type RA NBR โฉมเก่า ไวขนาดนี้ ขับบนถนนคุณภาพยอดเยี่ยมแบบประเทศไทยคงเกร็งมือ
กันตายล่ะครับ
ภายใน ให้ระบบนำทางพร้อมเครื่องเสียงและลำโพง 8 ตัว แถบลายคาร์บอน ฝั่งคนนั่งเปลี่ยนเป็นแถบสีชมพูแดงแบบ STi
หน้าปัดก็เปลี่ยนจากไฟสีส้มแดง เข็มสีขาว กลายเป็นไฟตัวเลขสีขาวแล้วเข็มสีแดง (ผมว่ามันดูธรรมดาลงนะ)
และที่ขาดไม่ได้คือเบาะนั่งบัคเก็ทซีท (ที่โอบรัดแบบรถซิ่งของจริง ไม่ใช่บัคเก็ท ที่เป็นภาษาการตลาดแต่พอเทโค้ง
แล้วตัวไหลไปชิดประตู) ตัวเบาะทั้งแข็งและรัด ลักษณะคล้าย Civic Type-R คืออย่าหวังความสบายครับ เค้าเน้นซิ่งจริงๆ
รถ S207 นั้นจะผลิตเป็นจำนวนจำกัดมาก โดยทั้งหมดจะมีแค่ 400 คัน ประกอบด้วยรุ่น S207 ธรรมดา ไม่มีปีกหลัง และ
ใช้ล้อสีเงิน 200 คัน รุ่น NBR-Challenge มีปีกหลังคาร์บอน และล้อสีดำ อีก 100 คัน และรุ่น NBR-Challenge Yellow
Edition ที่เป็นสีเหลืองอย่างคันที่โชว์ในงานอีก 100 คัน ถ้าคุณอยากได้สีเหลือง กรุณารีบให้ Grey Market ที่รู้จักกัน
หรือใครก็ได้ใน Subaru รีบทำการจองให้ก่อนเพราะจะปิดรับจอง ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ ส่วนรุ่นอื่นๆจะมีสีน้ำเงิน
WR, สีขาว (ออพชั่นเพิ่มเงิน 32,400 เยน) และสีดำให้เลือก และปิดรับจองภายใน 26 มีนาคม 2016 ครับ
ใครอยากเป็นเจ้าของ King of STi..ก็รีบหน่อยแล้วกันครับ
SUZUKI
Suzuki จัดกองทัพรถต้นแบบดาหน้าอวดโฉมในงาน Tokyo Motorshow 2015 เคียงคู่กับ All New
Ignis และ Baleno ใหม่ แถมรถต้นแบบแต่ละคันก็ยังมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไป
Suzuki Mighty Deck Concept ทั้งหน้าตาและชื่อของมันชวนให้นึกถึง Mighty Mouse การ์ตูนหนูจอมพลัง
ของอเมริกันอยู่ไม่น้อย เห็นมันหน้าตาแสนซนขนาดนี้ก็เดาถูกได้เลยว่ามันเป็น Minicar ยกสูงเน้นความสนุกสนาน
ในการชีวิต, มีหลังคาด้านหลังที่สามารถเปิดโล่งได้ ด้านหน้าแปลกตาด้วย Daytime Running Lights LED
ล้อมกรอบไฟหน้าพร้อมกันชนหน้าสีดำที่ติดแถบกันกระแทกล่างด้วยวัสดุไม้ ตัวรถออกมาในแนวกระบะกึ่งเก๋ง
มีระบบเปิด-ปิดฝาท้ายอัตโนมัติสำหรับผู้ต้องการความสะดวกสบาย ขนาดตัวถังเข้ากฏ K-car ด้วยความยาว
3,395 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,475 มิลลิเมตร และความสูง 1,540 มิลลิเมตร
คันต่อมา Suzuki Air Triser Concept แค่เห็นหน้าตาก็รู้เลยว่าได้แรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ Volkswagen
Microbus Concept และ Bulli Concept เพียงแต่ Suzuki ออกแบบสัดส่วนและเส้นสายไม่เหมือนกับ Volkswagen
อริเก่าเท่าไรนัก รถต้นแบบมินิแวนที่นั่ง 3 ตอน มีความกว้างขวางและพื้นที่ประโยชน์ใช้สอยมาก เบาะนั่งสามารถ
ปรับหันหน้าชนกันได้ สามารถเล่นสมาร์ทโฟนได้เต็มสตรีม สรุปแล้วคือเน้นการ Enjoy ภายในรถกันนั่นเอง
ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่ ที่พร้อมผลิตขายจริงนั้น จัดแสดงกันหลายคัน แต่เรา
อยากให้คุณผู้อ่าน จับตาดูรถคันต่อไปนี้ให้ดีครับ “Suzuki Baleno“
B-Segment Hatchback ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Swift เล็กน้อย ซึ่งนั่นทำให้
ทีมวิศวกร สามารถจัดสรรเนื้อที่ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบายขึ้น
พร้อมกันนี้ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเครื่องยนต์ BoosterJet
การออกแบบยึดแนวคิด Liquid Flow ความลื่นไหลเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน นั่นเป็นเพราะเส้นตัวถังมีทั้งเส้นเฉียบคม
และ เส้นโค้งมนผสมเข้าด้วยกัน ดูแล้ว Swift จะตอบโจทย์ด้านการดีไซน์สำหรับลูกค้าคนไทยมากกว่า เพราะ Baleno
ในภาพรวมดูจะเรียบและนิ่งไปสักเล็กน้อย ตัวรถถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถังใหม่ล่าสุด น้ำหนักเบา เพิ่มความแข็งแกร่ง
มากขึ้น ทำให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น, การบังคับและการทรงตัวก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
มิติตัวถังเมื่อดูจากตัวเลขไม่ถือว่าใหญ่มาก เพราะมันยาวแค่ 3,990 มิลลิเมตร แต่กว้างใหญ่ถึง 1,745 มิลลิเมตร และ
สูง 1,470 มิลลิเมตร ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าไม่เอาใจตลาดญี่ปุ่นแน่ ๆ และเมื่อมันกว้างใหญ่กว่า Swift ขนาดนี้ก็ทำให้
Baleno ใหม่มีเนื้อที่หัวไหล่ผู้โดยสารตอนหน้ากว้างขวางขึ้นและมีเนื้อที่วางขามากกว่าเดิม
Suzuki Baleno มี 3 ขุมพลังให้เลือก ได้แก่ เครื่องใหม่ 1.0 ลิตร BoosterJet 110 แรงม้า แรงบิด 170 นิวตันเมตร
จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร DualJet หัวฉีดคู่ 89 แรงม้า
แรงบิด 120 นิวตันเมตร และขุมพลัง 1.2 ลิตร DualJet + SmartHybrid จะจับคู่กับเกียร์ ธรรมดา 5 จังหวะหรือ CVT
มีแนวโน้มว่าอาจจะมาเข้าโครงการ Eco Car Phase2 ในบ้านเรา ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปครับ
Suzuki Ignis ใหม่ซึ่งเป็นรถ Im-4 Concept เวอร์ชันขึ้นสายการผลิตจริง ที่ดูแล้วต้องขอบอกว่า สวยใช้ได้ มีความน่ารัก
ผสมกับความดุดันอยู่ในตัวไม่น้อย Ignis มันเคยเป็นชื่อของรถครอสโอเวอร์ซับคอมแพคท์ที่เคยเปิดตัวในปี 2000
ถ้า Suzuki นำชื่อ Ignis มาใช้กับ รถรุ่นนี้ก็คงไม่ผิดแผกนักเพราะอย่างน้อยขนาดตัวถังของรถรุ่นใหม่ก็ใกล้เคียงกับรถ
รุ่นเดิมมาก ๆ มาพร้อมความโดดเด่นในการออกแบบและการใช้สีสันภายนอก วางบุคลิกตัวรถให้เป็นรถที่ขยายขีดจำกัด
การใช้ชีวิตประจำวันและการพักผ่อน ตัวถังสูงสามารถมองเห็นถนนด้านหน้ากว้างไกล และสามารถฝ่าฟันทางหิมะและ
ทางหินได้อย่างสบาย
จุดขายนอกจากดีไซน์ภายนอกที่นำเอาเอกลักษณ์รถ Suzuki ยุค 70s บางรุ่นมาใช้ ถึงแม้ว่าด้านท้ายนั้น อาจจะดูแปลกตา
ไปบ้างจากการใช้แผงทับทิมมาเสริมในส่วนของฝาท้าย ทำให้นึกถึงรถจากเกาหลี แบรนด์ Ssangyong อยู่บ้าง แต่การ
ออกแบบภายในห้องโดยสารก็เป็นจุดขายสำคัญ เส้นสายที่ใช้ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่มีการเล่นระดับในส่วนของพื้นที่
อุปกรณ์บางส่วน บวกกับการใช้วัสดุมันเงา และจอแสดงผล จึงทำให้มีลูกเล่นเพิ่มเข้ามาเอาใจวัยรุ่นยุคใหม่ ไลฟ์สไตล์
ไฮเทคที่ต้องการชีวิตดิจิตอลมากยิ่งขึ้น
Toyota / Lexus
ขนกันมาเป็นกองทัพ สำหรับรถต้นแบบ Concept Car จาก Toyota ในปีนี้มากันถึง 5 รุ่น โดยที่ 3 รุ่นเปิดตัว
ครั้งแรกในโลกที่งานนี้ ส่วนอีก 2 รุ่นก็ไม่น้อยหน้าเปิดตัวเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ภาพรวมดูจะเป็นการแสดงนวัตกรรม
ใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิตขึ้นในอนาคตกับแบรนด์ของ Toyota ไม่ว่าจะเป็น เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ระบบไฮบริด
เรามาดู รถต้นแบบ 2 รุ่นที่มีแนวโน้มว่าจะผลิตขายจริง และน่าจะเกี่ยวข้องกับเมืองไทย กันก่อนดีกว่าครับ
หากคุณไม่ชอบหรือรับไม่ได้กับหน้าตาของ Nissan Juke , เบื่อกับเส้นสายที่แสนจะเรียบถึกของ Ford Ecosport,
Mazda CX-3 ก็ดูเหมือนจะเตี้ยไปนิด หรือไม่อยากจะซ้ำกับเพื่อนบนท้องถนนที่มีอยู่เต็มไปหมดเหมือน Honda HR-V
ก็ต้องมาชมคันนี้ครับ ” Toyota C-HR ” ทางเลือกใหม่ในกลุ่ม B-Segment Crossover
พื้นฐานตัวรถนั้นเป็น Toyota New Global Architecture Platform (TNGA) ชิ้นเดียวกับที่ใช้ใน Toyota Prius และ
Mirai ภายนอกนั้นมีการเพิ่มประตูคู่หลังมาให้ใน Concept Car ตัวล่าสุด ซึ่งเหมาะกับการใช้งานจริงมากกว่าและยังมีการ
ซ่อนที่เปิดประตูหลังด้วยคล้ายกับที่อยู่ใน Honda HR-V และ Nissan Juke สีตัวถังภายนอกเป็นสีเทาดำ ส่วนหลังคานั้น
จะพ่นสีดำเงามาให้ ล้อได้รับการออกแบบใหม่ซึ่งดูดีขึ้นและใกล้เคียง ความเป็นจริง แต่ยังคงใหญ่เกินตัวเนื่องจาก
มีขนาดถึง 21 นิ้ว
มิติตัวรถ ความยาว 4,350 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร และสูง 1,500 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,640 มิลลิเมตร
Toyota C-HR มีแนวคิดการออกแบบ 2 ประการด้วยกัน คือ Keen Look และ Under Priority ที่ทำให้ออกมาเป็น
รถที่มีรูปลักษณ์ด้านหน้าที่ดูดุดัน และหนักแน่น แต่ยังคงไว้ซึ่งความลู่ลม ตามหลักอากาศพลศาสตร์ สำหรับในไทยแล้ว
อาจจะต้องรอกันถึงปี 2018 ถึงจะสามารถขายและส่งมอบได้อย่างเป็นทางการ ก็ต้องรอกันรากงอกเลยทีเดียว
Toyota คงเป็นค่ายรถญี่ปุ่นค่ายเดียวที่ยังกล้าขยันออกรถสปอร์ตแทบจะครบทุกกลุ่มตลาด รุ่นเล็กขนาดจิ๋วก็เปิดโอกาส
ให้ Daihatsu ทำไป, ขนาดค่อนข้างกลางก็ยกหน้าที่ให้ Toyota 86 ไป ส่วนรุ่นใหญ่กว่านั้นก็ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา
กันอยู่ แต่เอ๊ะ ยังเหมือนขาดอะไรไปอยู่นะ…ใช่แล้ว รถสปอร์ตขนาดเล็กสำหรับวัยรุ่นที่ใฝ่ฝันอยากมีรถสปอร์ต
เป็นของตัวเองสักคันหนึ่ง แต่เมื่อดูตัวเลือกที่มีให้แล้วส่วนใหญ่ก็จะราคาสูงทั้งนั้น
Toyota S-FR Concept เป็นรถสปอร์ต Entry Level ต้นแบบที่จะช่วยตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ สะท้อนถึงความต่อเนื่อง
ของมรดกรถสปอร์ตในอดีตจนถึงปัจจุบันสำหรับจับกลุ่มคนเจเนเรชั่นใหม่ ถูกสร้างขึ้นด้วยความเรียบง่าย ขนาดกะทัดรัด
น้ำหนักเบา ทำให้มีบุคลิกการขับขี่ที่นุ่มนวล สร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับยานยนต์ให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และ
เมื่อตัวถังเบาแล้ว การตอบสนองและการบังคับควบคุมที่ให้ความรู้สึกจากพื้นถนนโดยตรงก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งเป็นข้อดีของการวางเลย์เอาท์เครื่องวางหน้า ขับเคลื่อนล้อหลัง
แนวคิดการออกแบบคือดีไซน์ให้มีด้านหน้าห้องเครื่องที่ยาว สัดส่วนตัวถังกว้าง เมื่อมองด้านข้างก็ชัดเจนเลยว่า
นี่แหล่ะรถสปอร์ตแน่ๆ แต่ทว่าการมีเส้นสายมน ๆ ก็ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นมิตรอยู่บ้าง ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบ
อย่างเรียบง่าย แต่ดูทันสมัย เน้นดีไซน์กลม ๆ แต่โดยรวมก็ถึงจิตวิญญาณความเป็นสปอร์ตดิบๆอยู่บ้าง
มิติตัวถังกะทัดรัด ด้วยความยาว 3,990 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,695 มิลลิเมตร ความสูง 1,320 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อยาว 2,480 มิลลิเมตร นั่งได้ 4 คน (แต่อาจจะต้องเรียกเป็น 2 + 2 เพราะพื้นที่ด้านหลังเล็กพอสมควร)
เมื่อดูจากรายละเอียดแล้วเหมือน Toyota ก็พร้อมที่จะผลิตเจ้ารถสปอร์ตคันนี้ในอนาคตได้ทันที เพียงแต่ตอนไหนกันล่ะ ?
เรายังคงต้องเฝ้ารอ และฟังคำตอบจากโตโยต้ากันต่อไป สำหรับ Entry Level Sport Car คันนี้
หลังจาก Toyota เปิดตัว Mirai ก็ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถึงกับผลิตไม่ทันความต้องการ
ของลูกค้าดังนั้น โตโยต้าจึงเล็งเห็นตลาดตรงนี้เป็นเจ้าแรกๆ มีข่าวว่าเตรียมออกรถยนต์ใช้พลังงานไฮโดรเจน
เพิ่มอีก 1 รุ่น แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ในงานนี้ก็มีรถต้นแบบ Fuel Cell มาจัดแสดงให้ชมกันก่อน
Toyota FCV Plus เปิดตัวครั้งแรกในโลก ภายนอกรถออกแบบให้โฉบเฉี่ยว หลุดไปโลกอนาคต สะท้อนเทคโนโลยี
ล้ำสมัย รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงจะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญใหม่ รถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงจะก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญใหม่
เพราะ พลังงานสะอาดไฮโดรเจนสามารถผลิตได้จากแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย มีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่า
กระแสไฟฟ้า สามารถผลิตได้จากวัตถุดิบหลากหลายชนิด เก็บรักษาได้ง่าย ทำให้ไฮโดรเจนอัดกลายเป็นอีกแหล่ง
พลังงานทางเลือก
แผงเซลล์เชื้อเพลิงตั้งอยู่บริเวณระหว่างล้อหน้าและ ถังไฮโดรเจนจะอยู่ถัดจากที่นั่งด้านหลัง พร้อมกันนี้ยังติดตั้ง
มอเตอร์อิสระทั้ง 4 ล้อ ทำให้มีพื้นที่ภายในห้องโดยสารเพิ่มขึ้น นอกเหนือจาก ถังเก็บไฮโดรเจนภายในรถแล้ว
FCV Plus ยังสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยตรงจากไฮโดรเจนที่อยู่นอกตัวรถ จึงสามารถเป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน
ไฟฟ้าความเสถียรสูงสำหรับใช้ในบ้านและนอกบ้านได้ และ แผงเซลล์เชื้อเพลิงสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก
รถต้นแบบคันนี้ อาจจะดูแปลกตาไป เฮ้ย ! ทำไมมันดูดิบได้ใจขนาดนี้ แต่จะว่าไปเห็นตัวรถว่าแปลกแล้ว
ได้ยินชื่อก็แปลกไม่แพ้กัน เจ้ารถ Concept Car มีชื่อว่า ” Kikai ” (คิไค) ออกเสียงสั้นๆตามแบบภาษาญี่ปุ่น
พอนะครับ อย่าลากเสียงยาวเป็นอันขาด ไม่ว่าจะแปลกทั้งชื่อหรือตัวรถ แต่เมื่อมาดูแนวคิดในการออกแบบ
ของรถคันนี้แล้วก็นับว่าน่าสนใจเลยทีเดียว เจ้ารถคันนี้ออกแบบขึ้นเพื่อให้ผู้ขับขี่ได้รับรู้ถึงความงามของ
ระบบวิศวกรรมและการขับขี่อย่างแท้จริง หลายคนอาจจะสงสัย ยังไงนะ ?
อย่างที่ทราบกันดีว่า ตำแหน่งการนั่งขับขี่ตรงกลางตัวรถ จะทำให้ผู้ขับขี่เชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ
ตัวรถมากที่สุด เหมือนกับในรถ Formula 1 คันนี้ก็จัดตำแหน่งที่นั่งมาให้อยู่ตรงกลาง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมอง
ผ่านกระจกหน้ารถจะเห็นการทำงานของเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เห็นแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของชุดปีกนก
ด้านบน อีกทั้งยังมีหน้าต่างขนาดเล็กบริเวณเท้าผู้ขับขี่ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของโครงสร้างรถคันนี้ ทำให้คุณ
เห็นการเคลื่อนไหวของล้อ ช่วงล่าง และความเคลื่อนไหวของตัวรถด้วยความเร็วบนพื้นถนน
นับเป็นรถต้นแบบที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้เห็นถึงความงามของระบบวิศวกรรม นับว่าเป็นศิลปะแห่งยนตรกรรม
ติดล้อเลยทีเดียว โดยที่รถต้นแบบคิไคคันนี้ มีมิติความยาว 3,400 มิลลิเมตร กว้าง 1,800 มิลลิเมตร
สูง 1,550 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อจะอยู่ที่ 2,450 มิลลิเมตร นั่งได้ 3 คน คือ ด้านหน้าคนขับจะอยู่
ตรงกลาง ส่วนด้านหลังจะเป็นที่นั่งสำหรับผู้โดยสารอีก 2 ที่
สุดท้ายคือหุ่นยนต์ต้นแบบที่ใช้หลักการเดียวกันกับหุ่นยนต์นักบินอวกาศ เจ้าหนูน้อยตัวนี้มีชื่อว่า คิโรโบ
(Kirobo Mini) แนวคิดการออกแบบเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ขับขี่ เสมือนเป็นหนึ่งเพื่อนร่วมทาง ผ่านการ
สื่อสารและปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคนและหุ่นยนต์ สามารถเดินทางไปกับเจ้าของได้ทุกที่ พูดง่ายๆก็คือ
เพื่อนคู่คิดของคุณ หากคุณเหงานั่นเอง
นอกเหนือจากรถต้นแบบและหุ่นยนต์ต้นแบบแล้ว ในบูธโตโยต้ายังมีรถรุ่นใหม่ อันเป็นรุ่นสำคัญในตลาดโลก
นั่นก็คือ ” Toyota Prius ” โฉมใหม่ล่าสุด เจเนอเรชั่นที่ 4 ถ้าให้เปรียบเทียบอายุของ Toyota Prius กับอายุ
ของมนุษย์ เท่ากับว่า Prius มีอายุเท่ากับมนุษย์วัยเจริญพันธุ์ที่พร้อมเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้และก็กล้า
เผชิญสิ่งใหม่ และ Toyota เชื่อว่าปรัชญาการเรียนรู้ของพวกเขาก็จะสามารถพัฒนา Prius ให้แกร่งกล้าสามารถ
ยิ่งกว่าเดิมได้ทุกครั้ง
พื้นฐานตัวรถนั้นใช้ เทคโนโลยี Modular Platform ในชื่อ Toyota New Global Architecture (TNGA)
พร้อมทั้งเปลี่ยนบุคลิกใหม่ให้กลายเป็นรถ Hybrid ขับสนุกต้อนรับความหรรษาในชีวิตมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน
กับงานดีไซน์ที่ต้องบอกว่ากล้ามากกว่าเดิม ดีไซน์ที่ดูเป็นเด็กปีนเกลียวมากขึ้น ดีไซน์ภายนอกสืบทอดความเป็น
Prius จากรุ่นที่แล้วแต่เพิ่มความดุกร้าวที่มีมิติใหม่ ๆ และวางตำแหน่งกระจังหน้าและ ช่องดักลมต่ำกว่าเดิม
เพื่อให้รู้สึกว่ารถคันนี้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ, เส้นสายตัวถังประกอบไปด้วยเส้นโค้งที่ตัดกับเส้นเฉียบคม มีสัดส่วน
ที่ขยับพุ่งไปด้านหน้า, มีพื้นที่ด้านหน้าห้องเครื่องที่เตี้ยลงสะท้อนถึงสไตล์อันโดดเด่น แต่ทั้งหมดก็จะไม่กระทบ
กับเนื้อที่ห้องโดยสาร
เพิ่มความทันสมัยด้วยชุดไฟหน้าที่แลดูเล็กเพรียว มีบุคลิกเฉพาะตัวมากขึ้น ส่วนด้านท้ายก็สร้างความแตกต่าง
ได้ดีด้วยการออกแบบไฟท้ายที่เชื่อมต่อกับสปอยเลอร์ท้ายในตัว สีที่ใช้โปรโมตก็ฉีกขนบความเป็นรถรักษา
สิ่งแวดล้อมไปอย่างมากเพราะ Toyota เลือกใช้สีแดงร้อนแรง “Emotional Red” ที่มีความลุ่มลึกในเนื้อสีและ
ความมันวาวสามารถสะท้อนมิติตัวรถ ไม่ใช้สีเงินหรือสีฟ้าอ่อนแบบ Hybrid ยุคก่อนๆ
มิติตัวรถของรุ่นใหม่นั้น มีความยาว 4,540 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร และสูง 1,470 มิลลิเมตร เทียบกับรุ่นเดิม
พบว่า ยาวกว่าเดิม 60 มิลลิเมตร, กว้างกว่าเดิม 15 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,700 มิลลิเมตร ก็รับประกันได้ว่า
ภายในห้องโดยสารจะต้องกว้างกว่าเดิม
ภายในห้องโดยสารติดตั้งเทคโนโลยีชั้นสูง แนวคิดการออกแบบแผงแดชบอร์ดจะแยกสัดส่วนแผงหน้าจอแสดงผล
แยกต่างหากกับแผงหน้าจอควบคุม และเพื่อลดความเลี่ยนก็มีการประดับวัสดุสีขาวที่ดูแล้วก็ไม่ได้สวยสักเท่าไหร่
แต่จุดเด่นจะอยู่ที่ ขุมพลัง Hybrid เจเนเรชั่นใหม่ ประกอบไปด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ปรับปรุงใหม่หมด
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด มีการลดขนาดและน้ำหนักระบบ แต่ยังคงประสิทธิภาพอันดีเยี่ยมไว้ ผลลัพธ์คือ
Toyota Prius โฉมใหม่เป็นรถประหยัดน้ำมันได้ถึง 40 กิโลเมตรต่อลิตร จนทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงดีกว่า
รุ่นเดิม 10%
เครื่องยนต์ใหม่มีการจัดประสิทธิภาพความร้อนดีขึ้น 40% มีบานเกล็ดช่องดักลมหน้าเปิด-ปิด อัตโนมัติ ช่วยเพิ่ม
ประสิทธิภาพการระบายความร้อน ออกแบบมอเตอร์ไฟฟ้าน้ำหนักเบาและชุดส่งกำลังใหม่ใช้โลหะทนต่อแรงดึง
สูงมากขึ้น ปรับปรุงประสิทธิภาพความร้อนของเครื่องยนต์จึง ทำให้พละกำลังเครื่องยนต์สามารถถ่ายทอดลงสู่ล้อ
เต็มกำลังมากยิ่งขึ้นโดยไม่สูญเสียพลังงานสูญเปล่า
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ก็ต้องแสดงความเสียใจด้วยว่า Toyota Prius โฉมใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 4 นี้
จะไม่ผลิตขายในไทยอีกต่อไป ! ถ้าลูกค้าชาวไทยอยากได้จริงๆ คาดว่าจะต้องพึ่งผู้นำเข้าอิสระกันนะครับ
#จบข่าว
รถยนต์ไฮไลท์เด็ดของบูธเล็กซัสในงานครั้งนี้ จะเป็นอะไรอื่นไม่ได้นอกจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ครั้งแรกในโลกของ Lexus LS ซีดานขนาดใหญ่เรือธงของค่าย หลังจากการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2006
และพึ่งมีการปรับโฉม minorchange ไปเมื่อตุลาคม 2014 ทำตลาดมาได้ร่วมเกือบ 10 ปี ในวันนี้ Lexus
ได้พลิกโฉม สลัดคราบแนวคิดในรุ่นเดิมอย่าง L-FINESSE สู่ คอนเซปใหม่ ” Progressively Luxury ”
ซึ่งหมายถึง ดีไซน์ที่ล้ำอนาคต และสะกดทุกสายตาให้มาจับจ้องที่รถคันนี้
รุ่นเดิม มิติตัวรถ ยาว x กว้าง x สูง : 5,030 x 1,875 x 1,475 มิลลิเมตร ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,970 มิลลิเมตร
ส่วนในรุ่น L หรือ Long Wheel Based จะเพิ่มความยาวตัวรถเป็น 5,150 มิลลิเมตร ความกว้าง และความสูงเท่าเดิม
และเพิ่มระยะฐานล้อเป็น 3,090 มิลลิเมตร
ส่วนรถต้นแบบ Lexus LF-FC ที่จะมาเป็นว่าที Lexus LS ในอนาคตนั้น มีมิติตัวรถ ความยาว 5,300 มิลลิเมตร
ความกว้าง 2,000 มิลลิเมตร และความสูงอยู่ที่ 1,410 มิลลิเมตร ถือว่าใหญ่ขึ้นกว่าเดิมในแทบจะทุกมิติ
เทคโนโลยีเด่นของ Lexus LF-FC อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนแบบเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) ส่งกำลังไปที่ล้อหลัง และยัง
ส่งกำลังไปยังมอเตอร์ที่อยู่ประจำล้อหน้า หรือพูดง่ายๆก็คือ ขับเคลื่อนทั้ง 4 ล้อนั่นเอง การขับขี่ดังกล่าวส่งผลให้รถ
สามารถควบคุมการกระจายแรงบิดได้ระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง นอกจากนี้ การวางตำแหน่งของแผงเซลล์เชื้อเพลิง
ที่บริเวณด้านหลังของรถ และการวางหน่วยควบคุมพลังงานที่ด้านหน้าของรถ รวมถึงการจัดวางถังเก็บเชื้อเพลิงไฮโดรเจน
ในรูปแบบตัว T (T-shape) ทำให้กระจายน้ำหนักอย่างเหมาะสม
และยังมีเทคโนโลยีระบบขับขี่แบบอัตโนมัติ (automated driving technology) พร้อมกับฟังก์ชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวก
ด้านสภาพแวดล้อมการจราจร ไม่ว่าจะเป็นด้านการรับรู้ การคาดการณ์ และการตัดสินใจให้กับผู้ขับขี่อีกด้วย
ยังมีรถซีดานขนาดกลางอีก 1 รุ่น ที่ชาวไทยจะได้สัมผัสกัน นั่นก็คือ Lexus GS รุ่นปรับโฉม Minorchange
เปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น ตามมาไม่นานนักหลังจากเปิดตัวไปแล้วที่สหรัฐอเมริกา เมื่อสิงหาคมที่ผ่านมา
รถรุ่นนี้ได้เข้ามาทำตลาดในไทย เมื่อ พฤษภาคม 2012 ในรุ่น GS 45oh ด้วยราคาค่าตัว 7,790,000 บาท
แพงด้วยกำแพงภาษีอันหฤโหด แต่ก็มีรุ่นเล็กตามมาอีก 3 รุ่น คือ GS250 Luxury, F-Sport และ Premium
ลดระดับราคาลงมา เริ่มต้นที่ 4,590,000 – 5,090,000 บาท
GS Minorchange นี้ มีการปรับปรุงดีไซน์ด้านนอกตาม Theme Design Language ใหม่ของ Lexus ตามรุ่นน้อง
อย่าง ES ที่พึ่งปรับไปไม่นานนี้ โดดเด่นด้วยกระจังหน้าใหม่แบบ Spindle Grille เสริมแถบโครเมียมเข้าไป
ให้มากกว่าเดิม แต่ได้ความโฉบเฉี่ยวชวนสะกดสายตาอยู่ไม่น้อย
โคมไฟหน้าแบบใหม่ สร้างมิติด้วยการแยกเป็น 2 ชั้น แต่ออกแบบให้ดูเหมือนเป็นโคมเดียวกัน โดยไฟหน้านี้
ถูกเปลี่ยนเป็นระบบไฟหน้าแบบ Bi-Beam LED (ในรุ่น GS200t) ส่วนในรุ่น GS45oh จะเป็นไฟหน้าแบบ LED
3 หลอด พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ( Adaptive High-beam System : AHS )
ด้านข้าง ไร้ความเปลี่ยนแปลงของงานดีไซน์ แต่ในด้านท้าย มาพร้อมกับการออกแบบโคมไฟท้ายใหม่
พร้อมกับออกแบบชุดกันชนหลังให้มีความปราดเปรียวมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนปรับโฉม ภายในห้องโดยสาร
เตะตาด้วยการเปลี่ยนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นดีไซน์ใหม่ ดีไซน์เดียวกันกับใน RX โฉมล่าสุด ที่เพิ่งเปิดตัวไป
พร้อมชุดหน้าปัดที่เปลี่ยนมาใช้หน้าจอสีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 4.2 นิ้ว และระบบอินโฟเทนเมนต์ Lexus ENFORM
พร้อมหน้าจอสีขนาด 12.3 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุมคล้ายเมาส์ข้างคันเกียร์ ถูกอัพเกรดระบบนำทาง พร้อมเพิ่มเติม
บริการ Connect ให้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารมีความสปอร์ต แฝงความอบอุ่นกว่าเดิม
ด้วยการเปลี่ยนโทนสีและวัสดุตกแต่งใหม่คล้ายใน ES minorchange
GS มาพร้อมทางเลือกเครื่องยนต์เทอร์โบเป็นครั้งแรกใน GS เอาจริงกับการ Downsizing เครื่องยนต์สหกรณ์
รหัส 8AR-FSE เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร ที่พ่วงเทอร์โบเข้าไป จนสร้างกำลังได้สูงสุด 241 แรงม้า พร้อม
แรงบิดสูงสุด 349 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ในบ้านเราน่าจะ
นำเข้ารุ่นนี้มาพร้อมกับภาษีสรรพสามิตใหม่ 2559 ที่ค่าตัวถูกลง จับต้องได้มากขึ้น
และขุมพลังเดิมอีก 2 รหัส คือ GS350 ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ V6 ขนาด 3.5 ลิตร NA มีกำลังเพิ่มจากรุ่นเดิม
5 แรงม้า อยู่ที่ 311 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 379 นิวตัน-เมตร ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อน 4 นิวตัน-เมตร เหมือนกัน
ขุมพลังไฮบริด ยังคงเป็น GS450h ด้วยการนำเอาเครื่องยนต์เบนซิน V6 ขนาด 3.5 ลิตร ระบบการจ่ายน้ำมันตรง
แบบ D-4S Atkinson Cycle จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้า จนสามารถสร้างกำลังสูงสุดรวม 338 แรงม้า
นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นตัวแรง F-Series เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน กับรหัส ” GS-F ” ซีดานบ้าพลัง
ที่จะมาลงสนามสู้กับ BMW M5 และ Mercedes-Benz E63 AMG ดีไซน์ภายนอกถ้าเทียบกับ GS ธรรมดานั้น
ต่างกันค่อนข้างมากเพราะไฟหน้า-ท้าย, กันชนหน้า-หลัง, บังโคลนหน้าและ กระจังหน้านั้นเปลี่ยนใหม่หมด
นอกจากนี้ยังมี skirt ข้างและ spoiler หลังอันเล็กมาให้ด้วยอีกหนึ่งชิ้น ส่วนล้อนั้น เพิ่มขนาดเป็น 19 นิ้วและ
ในด้านหลังยังมีท่อไอเสียออกคู่แนวทแยงทั้งสองข้างมาให้ด้วย
ภายในนั้นลืมเบาะหนาๆน่าลงไปนอนของ GS ได้เลยเพราะจะได้เบาะ bucket seat หุ้มหนังมาให้แทน หน้าปัด
ก็เปลี่ยนเช่นกันซึ่งดู sport กว่าของเดิมหลายช่วงอายุคนด้วยไฟสีฟ้าพร้อมกับการย้ายวัดรอบมาอยู่ตรงกลาง
นอกจากนี้ วัสดุที่ใช้ตกแต่งห้องโดยสารยังเน้นความ sport เต็มพิกัดไม่ว่าจะเป็นการใช้ Kevlar และ Alcantara
รอบห้องผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังมีโลโก้ ” F ” รอบคันเพื่อบ่งบอกความดุดันของ F-Series พร้อมสีสันการเลือก
ตกแต่ง 3 สี ได้แก่ สีขาว สีแดง และสีดำ
ในขณะที่หลายค่ายนั้นต่างพากันไปเข้าร่วมมหกรรม downsizing พ่วงหอยกัน Lexus ยังคงยืนหยัดวางเครื่อง NA 5.0 ลิตร
V8 มาให้ซึ่งเสนอกำลังสูงสุด 473 แรงม้า (PS) ที่ 7,100 รอบ/ นาทีและแรงบิดสูงสุด 53.73 กก-ม. (527 นิวตันเมตร)
ที่ 4,800-5,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ระบบ SPDS ( 8-speed Sport Direct Shift Transmission)
พร้อม Paddle Shift และเบรกคู่หน้าที่พ่นคาลิปเปอร์สีส้มเหลืองมาให้นั้น เป็นเบรก 6 pot จาก Brembo
และสุดท้ายที่จะต้องจับตาดูมากที่สุดกับ SUV ที่ในอดีตเคยขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในบ้านเรา กับการนำเข้า
ของบรรดาเกรย์มาร์เก็ตที่โกยยอดไปได้อย่างมหาศาล ในตลาดโลกเอง Lexus RX ถือเป็นรถยนต์ของค่าย
ที่มียอดขายสูง มากกว่า 2.1 ล้านคันทั่วโลก นับตั้งแต่แบรนด์ Lexus ทำตลาดมาตลอด26 ปี หรือคิดเป็นยอดขาย
สูงถึง 30% ของรถยนต์ Lexus ทั้งหมด
Lexus RX มาพร้อมกับ Lexus DNA ใหม่, นวัตกรรมความปลอดภัย Lexus Safety System พร้อมดีไซน์ภายนอก
กล้าหาญชาญชัญขึ้นมาก ๆ ดูเผิน ๆ ก็คล้าย Lexus RC ผสม NX SUV น้องเล็ก ด้านหน้ามาพร้อมเอกลักษณ์
Spindle Grille อันเป็น Design Language ใหม่ของ Lexus ไฟหน้า LED ทรง L-shape, แก้มข้างมีมัดกล้ามอันดุดัน
สำหรับเส้นสายด้านข้างก็ดูสลับซับซ้อนมาก โดยเฉพาะบริเวณเนื้อตัวถังบานประตูที่เชื่อมต่อเนื่องจากแก้มหน้าจรด
และเพื่อความเพรียวลม Lexus RX โฉมใหม่ก็จัดการทาสีดำบริเวณเสา C เพื่อพรางตาให้กลายเป็น Floating Roof
บั้นท้ายก็ถูกออกแบบมีให้ความเฉียบคมแต่ก็ดูทนทาน พร้อมรับทุกสถานการณ์ภายในห้องโดยสารก็ไม่เหลือคราบ
RX รุ่นเดิมเลย จากเดิมที่ออกแบบแผงแดชบอร์ดคล้ายโลโก้ขนม Twisty ก็กลายมาเป็น ทรงเหลี่ยมสันที่พยายาม
นำแบบภายในจาก NX ผสมกับทรง RX เจเนเรชั่นเดิม
รหัส RX200t ซึ่งมาแทนที่รหัส RX270 ในรุ่นเดิมนั้น จะใช้เครื่องยนต์บล็อกใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน 4สูบ
รหัส 8AR-FSE VVT-iw (Variable Valve Timing-intelligent Wide) ขนาด 2.0 ลิตรพ่วงเทอร์โบ
ฉีดตรง direct Injection ให้กำลังสูงสุด 235 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ
6 จังหวะ แน่นอนว่าชาวไทยจะได้พบกับรุ่นนี้เป็นที่แน่นอนในปีหน้า 2016
นอกจากนี้ยังมีอีก 2 รหัสเป็นทางเลือกเพิ่ม ได้แก่ RX350 ให้กำลังสูงสุด 300แรงม้า และ RX450h รุ่น Hybrid
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังรวมสูงสุด 300 แรงม้า ทั้งคู่จับคู่ กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
Volkswagen
ช่วงนี้ Volkswagen กำลังเกิดวิกฤตศรัทธาในอุตสาหกรรมยานยนต์และลูกค้าอย่างหนักมาก เมื่อ Volkswagen ใช้กล
โกงปรับปรุงซอฟท์แวร์อัจฉริยะเพื่อให้เครื่องยนต์ปล่อยก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์น้อยกว่าปกติ 40 เท่า หากซอฟท์แวร์
ตรวจจับได้ว่ามีการทดสอบค่ามลพิษโดย EPA
ผลกรรมที่ Volkswagen ก่อขึ้นก็ส่งผลร้ายต่อตัวแบรนด์ในระยะยาว โดยเฉพาะความเชื่อมั่นในการร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม
ของโลกที่ถูกสั่นคลอนโดยไม่แน่ใจว่าจะสามารถกู้กลับคืนมาได้ตอนไหน? หรือผลกรรมระยะสั้นที่กำลังได้รับคือ มูลค่าหุ้น
Volkswagen AG ร่วงต่ำติดพื้นมากกว่า 20%
พวกเรายังไม่ทันหายตื่นเต้นและฮือฮากับ All New Volkswagen Passat ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่เท่าไร วันนี้ Volkswagen
ก็เล่นจัดเต็มกันอีกแล้วด้วยการเผยโฉมและเผยสเปคของ Volkswagen Passat GTE เวอร์ชัน Plug-in Hybrid ที่
Volkswagen ได้พยายามทดลองทำในสิ่งใหม่ ๆ มาก่อนแล้วใน XL1 และ Golf GTE จนน่าจะทำให้ Passat GTE
กลายเป็นรถที่โดดเด่นในชั่วพริบตาแน่นอน
Volkswagen Passat GTE มีจุดแตกต่างจาก All New Passat รุ่นล่าสุดตรงที่การเพิ่มแถบสีฟ้าเรืองแสงบริเวณกระจัง
หน้า, มีการปรับปรุงรายละเอียดช่องดักลมซ้าย-ขวาด้านหน้าให้เป็นรูป C-Shape และล้ออัลลอยใหญ่ขึ้น ส่วนภายในห้อง
โดยสารก็เพิ่มไฟตกแต่งบรรยากาศ, ดีไซน์หัวเกียร์ใหม่และบุวัสดุหนังบริเวณด้านล่างของพวงมาลัย
ขุมพลังของ Volkswagen Passat GTE จะติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร TSI 156 แรงม้า (HP) ที่เชื่อมต่อกับ
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 115 แรงม้า (HP) แรงบิด 400 นิวตันเมตร จนให้กำลังรวม 218 แรงม้า (HP) ส่งกำลังผ่านเกียร์
อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ
บูธ Volkswagen มาครบทุกตัว แต่ตัวที่ผมสนใจมากที่สุดคือ Golf R ส่วนเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบ
แรงม้าในสเป็คญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 280แรงม้า (ในตลาดโลกจะเป็น 296 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 380Nm ส่งกำลังผ่านเกียร์
ธรรมดาหรือ DSG สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 Motion
Golf R Hatchback เกียร์ธรรมดาขายอยู่ 5.39-5.49 ล้านเยน ส่วน Golf GTi จะตั้งราคาไว้ 3.89-3.99ล้าน
(Civic Type-R 4.28 ล้านเยน..เอาราคาไว้อ้างอิงแล้วกันสมมติว่ารถทั้งหมดนี้มาขายในไทย)
Yamaha
เมื่อพูดถึง Yamaha หลายคนต้องนึกถึงรถจักยานยนต์หรือเปียโนแต่ถ้าคนที่พอจะมีความสนใจในเรื่องรถยนต์บ้าง
พอจะทราบว่า Yamaha ก็มีส่วนร่วมในการพัฒนาเครื่องยนต์ของรถยนต์มาตั้งแต่สมัยอดีตกาลอย่าง Toyota 2000 GT
กับเครื่องยนต์ MF10L หรือเครื่องยนต์ V8 4.4 ลิตรของ Volvo รวมไปถึงเครื่อง V6 หลายตัวของรถยนต์ Ford
มีแรงบัลดาลใจในการสร้างมาจาก รถจักรยานยนต์เช่นเดียวกับ KTM X-Bow และ Project 2&4 ของ Honda สำหรับ
ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนารถยนต์คันนี้คือ Gordon Murray ผู้ที่เคยพัฒนา McLaren F1
ท้าวความกันซักนิดว่ารถยนต์คันนี้พัฒนาโดย Gordon Murray Design Limited ที่มีส่วนในการพัฒนา McLaren ซึ่ง
โครงสร้างน้ำหนักเบาของเจ้ารถคันนี้ใช้เทคโนโลยีระดับเดียวกับที่ใช้ในรถแข่งสูตร 1 เลยทีเดียวซึ่ง Yamaha แจ้งว่า
มันมีน้ำหนักเพียง 750 กิโลกรัมเท่านั้นส่วนงานออกแบบนั้นดูดีด้วยรูปทรงเครื่องวางกลางขับหลังขนาดพอเหมาะ
ส่วนไฟหน้านั้น Yamaha แจ้งว่าต้องการให้มองแล้วนึกถึง YZF-R1 เพื่อแสงความเป็น sport
น่าเสียดายที่ Yamaha ไม่ได้แจ้งรายละเอียดเชิงลึกของรถยนต์คันนี้ว่าจะแรงเหมือนหน้าตาหรือไม่แต่สื่อเมืองนอกนั้นเดาว่า
ในเมื่อออกแบบไฟหน้าให้นึกถึง YZF-R1 แล้วจะยกเครื่องมาใช้ด้วยก็ดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะถึงจะเป็นเครื่อง
จักรยานยนต์ขนาด 1 ลิตร 4 สูบแต่มันให้กำลังแรงม้าได้สูงสุดถึง 200 แรงม้าที่รอบสูงปรี๊ดที่ 14,000 รอบ/นาที
ซึ่งจัดว่าเหลือแหล่สำหรับรถยนต์ที่ยาวแค่ 3.9 เมตรและน้ำหนักรถรวมคนขับไม่ถึงตันด้วยซ้ำ ส่วนเราจะเห็นรถคันนี้
ออกขายหรือไม่นั้นคงต้องติดตามกันต่อไปซึ่งดูแล้วน่าจะยากหน่อย อ้อ ลืมบอกชื่อเจ้ารถต้นแบบคันนี้ไปเสียสนิท
เจ้านี่มีชื่อว่า ” Yamaha Sports Ride Concept Four-Wheel Fun ”
————————————————————-
ขอขอบคุณ / Special Thanks to
Honda Motor Co.,Ltd.
Honda Automobile (Thailand) Co.,ltd.
Toyota Motor Corporation
Toyota Motor (Thailand) Co.,Ltd.
————————————————————-
J!MMY , MoO Cnoe
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน ทั้ง 2 คน
ภาพถ่ายทั้งหมด เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
15 พฤศจิกายน 2015
Copyright (c) 2015 Text & Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
November 15,2015