หลังจากเดินหน้าเปิดตัวรถยนต์ตระกูล Golf ในหลากหลายเวอร์ชันมาต่อเนื่องในระยะ 2 ปีที่ผ่านมา วันนี้ Volkswagen ขอ
เดินหน้าปรับโฉมให้กับ Volkswagen Polo รถยนต์ซับคอมแพคท์ยอดนิยมในยุโรปของตนกันบ้าง และเช่นเคยกับการปรับโฉม
ของรถยนต์ Volkswagen ที่ไม่เน้นการปรับรูปลักษณ์มากมาย แต่เน้นที่การปรับจูนงานวิศวกรรมให้สมบูรณ์มากขึ้นกว่าเดิม

alt
alt

ดังนั้น รูปลักษณ์ภายนอก จะไม่สามารถกวาดสายตามอง และจับได้ว่ามีรายละเอียดส่วนไหนที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง ซึ่งใน
ความจริงแล้ว มีชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่เพื่อให้เข้าธีมงานออกแบบยุคใหม่ของ Volkswagen ไม่ว่าจะเป็น
ชุดกันชนหน้า พร้อมกระจังหน้าที่เล่นเส้นสายแนวนอน เชื่อมต่อเข้ากับรายละเอียดในโคมไฟหน้า ที่เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED
สำหรับไฟสูง พร้อมกับช่องดักอากาศด้านล่างที่ถูกออกแบบขึ้นใหม่ เน้นความเรียบง่ายมากขึ้น ส่วนด้านท้าย ออกแบบ
ช่องป้ายทะเบียนใหม่พร้อมโคมไฟท้ายรายละเอียดแบบใหม่

ห้องโดยสารภายใน สามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนขึ้น เพราะมีการเปลี่ยนพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบ 3 ก้านใหม่
ทรงเดียวกันกับใน VW Golf รุ่นล่าสุด อีกทั้งยังปรับงานออกแบบของชุดคอนโซลหน้าใหม่ หันมาพึ่งระบบอินโฟเทนเมนต์
แบบเดียวกับ VW Golf และมีหน้าจอสี 2 ขนาด (5 และ 6.5 นิ้ว) ให้เลือก พร้อมระบบกล้องมองหลัง และแผงควบคุมระบบ
ปรับอากาศอัตโนมัติแบบใหม่ นอกจากนี้ Volkswagen ยังใส่ระบบ City Emergency Braking ให้กับ Polo เป็นครั้งแรกอีกด้วย

alt

ความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อยู่ที่ระบบเครื่องยนต์ คราวนี้ Volkswagen ขนกองทัพเครื่องยนต์ 3 สูบให้ Polo ได้ใช้
กันอย่างครบครัน ทั้งเครื่องยนต์ดีเซล พร้อมเทอร์โบ ขนาด 1.4 ลิตร ที่ปรับจูนขนาดกำลังได้ 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่
74, 89 และ 104 แรงม้า ซึ่งขุมพลังชุดนี้จะเข้ามาทำหน้าที่แทนเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.2 และ 1.4 ลิตรเดิม

ในรุ่น 74 แรงม้านั้น สามารถดึงแรงบิดสูงสุดได้ถึง 210 นิวตัน-เมตร ที่รอบต่ำเพียง 1,500 รอบ/นาที และสร้างความประหยัด
ได้มากถึง 31.2 กม./ลิตร ส่วนรุ่น 89 แรงม้า ก็ทำความประหยัดได้ดีไม่แพ้กัน ที่ 31.1 กม./ลิตร ดีกว่ารุ่น 1.6 ลิตรเดิม
ถึง 21 เปอร์เซต์

ฟากเครื่องยนต์เบนซิน เริ่มต้นกันด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TSI ให้กำลังสูงสุด 89 แรงม้า
ตามมาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ 59 แรงม้า ซึ่งถูกออกแบบมาให้ประหยัดน้ำมันเป็นพิเศษ
ด้วยการติดตั้งระบบชาร์จกระแสไฟจากพลังงานเบรก และระบบ Auto Start/Stop

ตามมาด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TSI ที่ปรับจูนได้ 2 ระดับความแรง ได้แก่ 89 และ
108 แรงม้า ส่วนรุ่น GT นั้น ยังคงยืนหยัด ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ ขนาด 1.4 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TSI เช่นเดิม
แต่ถูกเซ็ตใหม่จนมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 148 แรงม้า และแรงกันสุดๆในรุ่น GTI ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 1.4 ลิตร
พร้อมเทอร์โบ TSI เช่นกัน แต่ปรับให้มีกำลังมากกว่ารุ่นก่อนปรับโฉม เป็น 189 แรงม้า นั่นเท่ากับว่าในปัจจุบัน VW Polo
มีเพียงรุ่น GT และ GTI เท่านั้น ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบ

ทั้งสองรูปแบบเครื่องยนต์ จะถูกเชื่อมต่อกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 จังหวะ หรือสามารถเลือกติดตั้ง
เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ ได้ด้วยเช่นกัน

alt

2014 Volkswagen Polo จะพร้อมเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน Geneva Motor Show 2014 ที่จะเกิดขึ้นในอีก
ไม่กี่วันข้างหน้านี้ และจะพร้อมทำตลาดในยุโรปทันที