หลังจากร่วมมือกับสำนักแต่งคู่บุญ AMG ช่วยกันเจียระไนสุดยอดสปอร์ตคาร์ จนออกมาเป็นรุ่น SLS AMG มาได้ 3 ปี
แต่ Mercedes-Benz ค่ายรถยนต์ชั้นนำของโลก คงเกรงว่าจะแรงไม่สนใจขาซิ่งตัวจริง จึงซุ่มพัฒนาเวอร์ชันพิเศษ
ปรับความแรงและความมันในการขับขี่มากขึ้น ในชื่อ 2014 Mercedes-Benz SLS AMG Black Series พร้อมออก
จำหน่ายกลางปี 2013

alt
alt

ใน SLS AMG เวอร์ชัน Black Series นี้ Mercedes-Benz และ AMG ได้ปรับแต่งรถยนต์ให้มีกำลังสูงขึ้น น้ำหนักเบาลง และลู่ลม
มากขึ้น เช่นเดียวกับ Black Series รุ่นอื่นๆ โดยรูปลักษณ์ภายนอกมีการปรับสไตล์ลิ่งให้คล้ายคลึงกับเวอร์ชัน GT3
เพิ่มความกว้างฐานล้อหน้าขึ้น 20 มม. และ 24 มม.สำหรับฐานล้อคู่หลัง และล้อทั้ง 4 วงยังเป็นการใช้วงล้ออัลลอย
ขนาด 20 นิ้ว พร้อมระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

alt

ชายล่างกันชนหน้า สเกิร์ตด้านข้างตัวรถ และครีบรีดอากาศด้านท้าย ถูกผลิตขึ้นด้วยวัสดุ Carbon Fiber อีกทั้งยังมีการ
ใช้ระบบท่อไอเสียที่ผลิตขึ้นด้วยวัสดุ Titanium แบบ 4 ท่อ ทำให้สามารถลดน้ำหนักของระบบท่อไอเสียเหลือเพียง 17 กก.
ซึ่งถือว่าน้อยลงกว่าเวอร์ชันปกติถึง 13 กก. มากไปกว่านั้นแล้ว การลดน้ำหนักในจุดต่างๆของตัวรถยังช่วยให้ SLS AMG Black Series
มีน้ำหนักน้อยลงกว่ารุ่นปกติถึง 70 กก. ด้วยตัวเลข 1,550 กก.

หากการเซ็ตชุดบอดี้พาร์ทรอบคันยังไม่จุใจพอ Mercedes-Benz ได้เตรียมแพคเกจเสริมให้ติดตั้งเพิ่ม ด้วยชุดแต่งรอบคันที่ทำด้วยวัสดุ
คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วย ปีกหน้า-หลังปรับระดับได้ ช่วยเพิ่มแรงกดและเพิ่มความมั่นใจในความเร็วสูง
ระบบเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบใหม่ และเพลาขับวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ รวมไปถึงระบบช่วงล่างสปอร์ตแบบปรับแต่งได้เอง
และระบบ Launch Control ซึ่งช่วยในการออกตัวด้วยรอบเครื่องยนต์สูง

alt

นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบใหม่ให้ดุดันและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่มากขึ้น ภายในยังถูกปรับแต่งโดยเน้น
การลดน้ำหนักด้วยเช่นกัน โดยแผงคอนโซลหน้าจะใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และเบาะนั่งแบบสปอร์ตคู่หน้าก็ยังได้ถูกออกแบบ
ให้มีน้ำหนักน้อยลง 15 กก. การตัดระบบ COMAND ทิ้งและเปลี่ยนมาใช้แบตเตอรี่แบบ Li-ion เพื่อลดน้ำหนักได้รวมกัน
14 กก.

alt

ส่วนขุมพลัง เป็นส่วนสำคัญที่ถูกปรับแต่งให้แตกต่างจากเวอร์ชันปกติ ถึงแม้ว่าจะมีการใช้ขุมพลังเบนซิน V8 ความจุ
6.2 ลิตรเช่นเคย แต่ทีมวิศวกรได้ปรับปรุงให้มีช่องรับอากาศและแคมชาฟท์ใหม่ ปรับปรุงระบบหล่อเย็นใหม่ จน
สามารถสร้างรอบเครื่องยนต์ก่อน Red Line ได้สูงถึง 8,000 รอบ/นาที และเพิ่มกำลังสูงสุดเป็น 622 แรงม้า
(มากกว่าเวอร์ชันปกติ 39 แรงม้า) แต่ด้านแรงบิดกลับลดลงเหลือ 634 นิวตัน-เมตร ในขณะที่รุ่นปกติสร้างแรงบิดได้
648 นิวตัน-เมตร

ด้านค่าตัวของสุดยอดรถยนต์สปอร์ตเวอร์ชันพิเศษจาก Mercedes-Benz คันนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่คาดว่า
ด้วยสมรรถนะและประสิทธิภาพที่ถูกแต่งให้เผ็ดร้อนมากขึ้น คงจะทำให้เศรษฐีขาซิ่งหันมาสนใจรถยนต์รุ่นนี้มากขึ้นแน่นอน