Subaru Forester e-Boxer

[นำเข้าจากญี่ปุ่น สำหรับตลาดสิงคโปร์เท่านั้น กำหนดขาย กุมภาพันธ์ 2019]

หลังจากที่ Subaru เผยโฉม Forester เจนเนอเรชั่นที่ 5 ไปเมื่อเดือนมีนาคม 2018 และตามมาด้วยรุ่นไฮบริด e-Boxer ซึ่งเปิดรับจองที่ญี่ปุ่นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทาง Motor Image (กลุ่มตันจง สำนักงานใหญ่) ได้ใช้เวทีงาน Singapore Motor Show เพื่อเปิดตัวรถ Subaru Forester e-Boxer Hybrid เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา โดยถือเป็น Subaru ขุมพลังไฮบริดรุ่นแรกที่นำมาทำตลาดภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทางกลุ่มตันจงกำลังสำรวจความต้องการของตลาดซึ่งหากมีแนวโน้มที่ดี ก็จะหาทางผลิตรถรุ่นนี้ในประเทศไทยเพื่อการขายในภูมิภาคอาเซียน

Dimension มิติตัวถัง

  • ยาว x กว้าง x สูง : 4,ุ625 x 1,815 x 1,730 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ : 2,670 มิลลิเมตร
  • Ground Clearance 220 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ 1,640 กิโลกรัม (รุ่นปกติ 1,580 กิโลกรัม)
  • ขนาดถังน้ำมัน 48 ลิตร (รุ่นปกติ 63 ลิตร)
  • ความจุห้องเก็บสัมภาระท้ายรถแบบไม่พับเบาะ 500 ลิตร (ลดลงจากรุ่นปกติ 20 ลิตร)
  • ขนาดล้อและยาง 225/55R18

จุดแตกต่างระหว่างรุ่น e-Boxer และรุ่นปกติภายนอก แทบไม่พบเลย คงมีเพียงแค่โลโก้ “e-Boxer” ที่ประตูหน้าตำแหน่งใต้กระจกมองข้าง และที่ฝากระโปรงท้ายเท่านั้น

  • เบาะนั่งคู่หน้าของ Forester e-Boxer เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้าทั้งคู่ ฝั่งคนขับจะมีระบบความจำมาให้ 2 ตำแหน่ง สามารถปรับองศาเทหน้า/หลังได้ พนักพิงศีรษะสามารถปรับได้ทั้งความสูงและองศาการเอียง
  • เบาะนั่งคู่หลัง แตกต่างจากรุ่นปกติตรงที่ไม่สามารถปรับเอนได้ แต่สามารถแยกพับ 60:40 ได้เหมือนกัน เลื่อนหน้าถอยหลังไม่ได้
  • ฝากระโปรงท้ายเปิด/ปิดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และมีหลังคา Panoramic Glass roof

Engine เครื่องยนต์

เครื่องยนต์เบนซิน รหัส FB20 แบบ 4 สูบ Boxer พร้อมหัวฉีด Direct Injection ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 84.0 x 90.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 12.5 : 1 ให้กำลังสูงสุด 145 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 188 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 13.6 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 65 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT Lineartronic ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ full-time

เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นเบนซินธรรมดาที่ขายอยู่ในไทย จะใช้ขุมพลัง เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน Boxer ขนาด 2.0 ลิตร 1,995 ซีซี. Direct Injection กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Lineartronic CVT ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD Symmetrical All-Wheel Drive

เครื่องยนต์ของ Forester e-Boxer จะมีการปรับจูนการจ่ายน้ำมัน และ องศาจุดระเบิดใหม่เพื่อเน้นความประหยัดเชื้อเพลิง และ ลดมลภาวะ แต่จะชดเชยกำลังด้วยมอเตอร์ เพื่อให้มีแรงกลับขึ้นมาเท่ารุ่นเบนซิน

Forester e-Boxer เป็นรถไฮบริดแบบ Mild-hybrid ลักษณะเดียวกับ Toyota Camry, C-HR Hybrid และ Nissan X-Trail Hybrid

  • เครื่องยนต์มีบทบาทเอกในการขับเคลื่อนเมื่อต้องใช้พลัง
  • สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนได้เฉพาะความเร็วต่ำ หรือในช่วงถอนคันเร่ง หรือในช่วงรถจอดนิ่ง
  • วิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนแบบต่อเนื่องได้ในระยะทางที่ไม่ไกล
  • ไม่มีช่องเสียบปลั๊ก
  • แบตเตอรี่มีขนาดเล็ก จึงมีผลต่อน้ำหนักตัวรถไม่มาก

ใน Forester e-Boxer นั้น จะได้ปุ่มจัดการระบบขับเคลื่อนแบบใช้งานง่ายที่เรียกว่า Special X-MODE เช่นเดียวกับ Forester รุ่นเครื่องยนต์ปกติในุร่น 2.0i-S และ 2.0i-S Eyesight ของเมืองนอก โดยระบบนี้จะต่างจาก X-MODE แบบปกติตรงที่มีฟังก์ชั่น SNOW/DIRT และ DEEP SNOW/MUD เพิ่มเข้ามา

SNOW/DIRT จะยังเปิดให้ระบบ Traction Control ทำงานอยู่ สำหรับวิ่งบนถนนที่ลื่นมากเพื่อการทรงตัวที่ดี แต่ในการลุยแบบออฟโรดบางครั้งจำเป็นต้องมีจังหวะที่เรายอมปล่อยให้ล้อหมุนฟรีเพื่อให้รถสามารถเลื่อนไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ จึงมีโหมด DEEP SNOW/MUD เพิ่มขึ้นมา ซึ่งระบบนี้จะตัดการทำงานของ Traction Control ออกไปแบบ 100%

อันที่จริง ในรถที่เป็น X-MODE แบบปกติ ผู้ขับจะเปิดหรือปิด Traction Control เองก็สามารถทำได้ โดยจะต้องกดปุ่ม X-MODE และกดปิด/เปิด Traction Control เอง ดังนั้น Special X-MODE จึงแค่ทำให้การใช้งานนั้นง่ายขึ้น ไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถของตัวรถ

 

 

ชุดหน้าปัดและมาตรวัด มีการจัดตำแหน่งเหมือนรุ่นปกติ แต่เพิ่มโลโก้ e-Boxer และพื้นลวดลายพิมพ์สีน้ำเงินบนมาตรวัด เข็มวัดรอบเพิ่มเรดไลน์จาก 6,000 เป็น 6,200 รอบต่อนาที ความเร็วสูงสุดลดจาก 240 เหลือ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จอ MID ตรงกลางมีฟังก์ชั่นที่เกือบเหมือนเดิม

บนจอกลางชุดบนที่แดชบอร์ด แสดงค่าต่างๆเหมือนรุ่นปกติ โดยเพิ่มหน้าจอสำหรับสังเกตการถ่ายพลังไป/มาของระบบไฮบริด

DRIVETIME!-ทดลองขับสั้นๆ by Pan Paitoonpong

รถที่ทาง Subaru เตรียมไว้ให้ขับ ไม่ได้มีการ pre-charge แบตเตอรี่เอาไว้เลย ทำให้ไม่สามารถลองอัตราเร่งอย่างจริงจังได้ ผมทำได้ดีที่สุดก็แค่วิ่งรอบสนามทดสอบที่ทาง Subaru จัดไว้ให้และพยายามขับเลียเบรกเพื่อป้อนไฟเข้าหม้อ..แต่ทำได้มากสุดก็แค่ 20% ซึ่งเมื่อมีแบตเหลือแค่นี้ (ถือว่าน้อย) อัตราเร่งของ Forester e-Boxer ก็ไม่ต่างจากรุ่นธรรมดา ออกตัวเหนื่อยๆเหมือนพยายามปลุกเด็กม.ปลายให้ตื่นไปทำบุญเช้าวันอาทิตย์ แล้วค่อยมามีแรงดึงดีช่วง 4,000 รอบต่อนาที การหน่วงของคันเร่งตอนออกตัวในลักษณะที่พยายามถนอมเกียร์ก็เหมือนกับรุ่น XV  นั่นล่ะ

แม้ว่าจะผิดหวังกับอัตราเร่งทางตรง แต่ในโค้งของสนามทดสอบ เจ้า e-Boxer ทำให้สื่อมวลชนหลายท่านเซอร์ไพรส์ ช่วงล่างหลังของรถรุ่นนี้น่าจะถูกเซ็ตมาให้แข็งขึ้นกว่ารุ่นปกติ ดังจะเห็นได้จากขณะวิ่งผ่านลูกระนาดซึ่งรู้สึกสะเทือนกว่ารุ่นปกติ แต่เวลาทิ้งโค้ง ช่วงล่างกับน้ำหนักของแบตเตอรี่ด้านท้ายทำให้ e-Boxer เหวี่ยงก้นของมันตามหน้ารถได้ไวกว่ารุ่นปกติ แต่ไม่ถึงขนาดดริฟท์ ผมลองแกล้งเข้าโค้งให้มีแรงเหวี่ยงออกข้างหนักๆแล้วตั้งใจกดเบรกแรงๆ ท้ายรถกวาดกำลังสวย รถหันหน้าหาปลายโค้งแบบกำลังดี ในขณะที่รถรุ่นปกติจะเป็นกลางและเกาะหนึบทุกที่ ท้ายออกน้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม ในสนามทดสอบไม่มีที่ให้ใช้ความเร็วเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งผมยังไม่รับประกันว่ารถจะตอบสนองได้ดีหรือแย่หากใช้ความเร็วสูงขึ้น

พวงมาลัยไวกำลังเหมาะ และมีน้ำหนักกำลังดีแล้วสำหรับยุคสมัยนี้ คนที่ยึดติดกับรถพวงมาลัยไฮดรอลิกยุคเก่าอาจจะบอกว่าเบาไป แต่ Forester เป็นรถของคนรักเมียเชื่อฟังเมีย เป็นรถขับสบายแต่เน้นความปลอดภัย ดังนั้นเซ็ตมาแบบนี้ดีแล้ว คุณภรรยาจะได้ขับได้ด้วย (ผมนั้น have no Mia แต่ก็ชอบน้ำหนักและความไวประมาณนี้) แป้นเบรก มีระยะเหยียบที่สั้น น้ำหนักต้านเท้าเบากว่ารุ่นปกติ มีความรู้สึกแบบรถไฮบริดอยู่ ถ้าเหยียบแบบแรงๆ ไม่มีปัญหา แต่การเบรกแบบชะลอหยุด เท่าที่ลองไม่ปรากฏอาการหน้าไหลหรือทิ่มแบบน่าเกลียด

นอกนั้น ส่วนที่เหลือของ Forester e-Boxer ก็มีข้อดีข้อเสียคล้ายรุ่นปกติ หน้าตาอาจจะไม่ได้หล่อ แต่ห้องโดยสารโปร่งยังกะตู้ปลา BNK นั่งแล้วรู้สึกโปร่งตา สบายใจ ทัศนวิสัยดีเกือบรอบด้าน  เบาะและพวงมาลัยปรับรองรับคนได้หลายไซส์ นั่งแล้วสบาย เพียงแต่ว่าเบาะหลังจะออกแนวแข็งนิดๆและในรุ่น e-Boxer นั้น เบาะหลังจะไม่สามารถเอนได้แบบรุ่นปกติ ตรงนี้แหละที่ไม่ควรพลาด บางทีคนนั่งหลังวิ่งไกลๆเขาก็อยากเอนนอนบ้าง

โดยสรุป รถคันนี้อาจไม่ได้แรงกว่ารุ่นปกติ แต่บังคับควบคุมได้ดี หากทางกลุ่ม Motor Image (Tan Chong) คิดจะเอามาประกอบขายในไทย ผมมองว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากสรรพสามิตของรถไฮบริดที่ต่ำกว่า แล้วพยายามทำราคาให้ถูก อย่าใช้วิธีอัดออพชั่นเพิ่มเพื่อให้รถสามารถขายแพงกว่ารุ่นปกติได้ เพราะที่ผ่านมาคนที่รักและอยากซื้อ Subaru ป้ายแดง ไม่ได้เรื่องมากเรื่องอุปกรณ์ แต่ขอแค่รถที่ราคาเอื้อมถึง e-Boxer สามารถเข้ามาเติมความต้องการจุดนั้นได้และสอดคล้องกับสภาวะการณ์ที่ผู้คนเริ่มตระหนักถึงภัยจากมลพิษมากขึ้นอีกด้วย

 

—-/////—–