ในอดีตที่่ผ่านมา รถยนต์ Station Wagon อันมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในภาษาไทยว่า “รถยนต์ตรวจการ
5 ประตู” นั้น มักถูกมองว่าเป็นรถยนต์สำหรับครอบครัว ที่มีพ่อ แม่ และลูกอีก 2 หรือ 3 คน มักจะยกโขยง
กันไปพักค้างอ้างแรม ณ ต่างจังหวัด เสียเป็นส่วนใหญ่
มันเป็นรถยนต์ ที่ไม่ค่อยมีใครเอามาใช้ตรวจการ อย่างเช่นที่ภาษาไทยเรียกกันมาหรอกครับ เพราะดูจาก
รูปลักษณ์ภายนอกแล้ว รถยนต์เหล่านี้มักไม่ค่อยสง่างาม ไม่ค่อยสร้างความภูมิใจให้เจ้าของมากนัก
ลองนึกภาพดูว่า ถ้ามีผู้บริหารองค์กรขนาดใหญ่ ที่คุณทำงานอยู่ นั่งรถ Station Wagon แบบนี้ มาจอด
หน้าตึกออฟฟิศ หรือไปตรวจการ ณ สถานที่ก่อสร้างอาคารห้างร้าน หากเป็น เจ้านายผู้หญิง ก็ยังพอจะดู
สอดคล้องกันได้อยู่บ้าง ทว่า หากเป็นผู้ชายละ? ต่อให้คุณจะบอกว่า “เอ้า! เขาเป็นคนรักครอบครัวไง” แต่
ยังไง๊ยังไง ในสายตาคนไทยอีกไม่น้อย ยังมีความรู้สึกอยู่อีก นิดนึงน่า! ว่ารถยนต์ Station Wagon มันดู
ไม่หรู ไม่ภูมิฐานพอที่จะใช้เป็นรถยนต์นั่งไปทำงาน ยิ่งถ้าพูดถึงรถยนต์ในแนวสปอร์ตแล้วละก็ เป็นอัน
จบข่าวกรมประชาสัมพันธ์กันเลยทีเดียว ภาพลักษณ์อันเต็มไปด้วยเสียงยี้ ของผู้คนรอบข้าง จากความ
ไม่โฉบเฉี่ยว ดังก้องสะท้อนไปมา อยู่ในหูของลูกค้าซึ่งใจจริงแล้ว อยากได้รถยนต์ประเภทนี้มาก จน
ในที่สุด พวกเขา ก็เซ็นเช็คสั่งจอง รถยนต์ Sedan 4 ประตู สี ขาว ดำ เงิน หรือ เทา ไปตามระเบียบ(รัด)
อย่างไรก็ตาม ในช่วงตั้งแต่ต้นปี 2012 เป็นต้นมา ผมเริ่มพบเห็นรถยนต์ Wagon 5 ประตูรุ่นใหม่ๆ
จากการนำเข้าของทั้งผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ และผู้นำเข้าอิสระรายย่อย พากันวิ่งเล่นอยู่ใน
กรุงเทพฯ หนาตาขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Mercedes-Benz E-Class T-Model , BMW 520d Touring หรือ
แม้แต่ Skoda ก็ยังสั่ง Superb Wagon เข้ามาขายกันเลย
พอเมียงมองมาทางโชว์รูม Volvo ผมก้ได้แต่ถอดใจ เพราะ Wagon รุ่น V70 ซึ่งเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งคัน
มาราวๆ 3 ปีแล้ว ก็ยังไม่ถูกสั่งเข้ามาทำตลาดในบ้านเรากันสักที มีแต่ศึกษากันจนกระทั่ง ตัดสินใจว่า
ถ้าสั่งเข้ามาขาย ก็อาจไม่คุ้ม เลยเป็นอันต้องยกเลิกแผนไปอย่างน่าเสียดาย เพราะอดีตที่ผ่านมา Volvo
ทั่วโลก อยู่รอดมาได้ ด้วยยอดขายของรถยนต์ประเภท Station Wagon ตระกูล V และรถยนต์ตรวจการ
ขับเคลื่อน 4 ล้อ ตระกูล XC ทั้งหลาย จากกลุ่มลูกค้าสุภาพสตรีซะเป็นส่วนใหญ่
ใช่ว่าจะมีแต่พี่ตุ้ม ฉันทนา วัฒนารมณ์ ประธานใหญ่ของ Volvo Cars Thailand เท่านั้น ที่แอบลุ้น
ผมเอง ก็เป็นอีกคนที่ร่วมส่งใจลุ้นด้วย และได้แต่เฝ้ารอดูว่า เมื่อไหร่ ประเทศไทยเรา จะมีรถยนต์
Station Wagon น่าใช้ในราคาเหมาะสม ส่งเข้ามาขายกันบ้าง อีกครั้ง
จนกระทั่ง สำนักงานใหญ่ของ Volvo ที่ Gothenburg ประเทศสวิเดน ปล่อยภาพแรกของ V60 ใหม่
ออกมาให้ชาวโลกได้เห็นกัน กระแสเสียงตอบรับของลูกค้าชาวไทย ก็เริ่มลอยเข้ามาถามถึงผมกัน
แม้จะไม่มากนัก เมื่อเทียบกับรถยนต์คู่แข่ง ระดับเดียวกัน แต่ก็มีเสียงสอบถามมาเรื่อยๆ ในจำนวน
ที่ไม่น้อยเลยเหมือนกันนะ
แล้ววันนี้ มันก็มาถึง….เมืองไทย…ซะที
หลังงานเปิดตัว และการพาไปอวดโฉมกลางงาน Bangkok International Motor Show เมื่อเดือนเมษายน
ที่เพิ่งผ่านพ้นไป กระแสตอบรับใน V60 ถือว่า ใช้ได้เลยทีเดียว อย่างน้อย ตอนนี้ มีเพื่อนของตาแพน
Commander CHENG ของเรา ที่ชื่อว่า “หนุ่ม” ตัดสินใจชนิดหุนหันพลันแล่น โมโห จากการดูวัสดุใน
ห้องโดยสาร ของรถยนต์ระดับ ECO Car และ SUV ที่ตนหมายปองเอาไว้ แล้วทนไม่ไหว ด่ากราดอย่าง
สาดเสียเทเสีย จนฟังแล้วเพลียไปตามกัน
ใครจะไปนึกละครับว่า จู่ๆ พอเจ้าประคุณท่าน จะหันหัว เบนเข็ม ออกจากบูธรถยนต์ยี่ห้อหนึ่งซึ่งอยู่
ใกล้ๆกัน เดินเข้าไปดูบูธ Volvo แล้วก็เซ็นใบจอง ถอย V60 ออกมาได้อย่างไม่คาดคิดถึงชนิดพลิกโผ
กันเลยแหละ! ขนาด ตาแพน Commander CHENG! ยังเหวอไปเลย ว่า เพื่อนของเรา เขาอารมณ์ไหน?
เล็งรถ ECO Car กับ SUV อยู่ดีๆ ตั้งใจมาซื้อมาจองในงาน ดันผ่าพรวด ไปจอง V60 มาหน้าตาเฉย!
แสดงว่า รถคันนี้ มันน่าจะมีอะไรดึงดูดใจลูกค้าหลายคน มากพอจะดึงดูดใจให้ผม ยกหูหาพี่ต่าย
PR ของ Volvo Cars Thailand เพื่อจะไต่ถาม นัดแนะ และล็อกคิววันยืม รถคันสีขาวที่คุณเห็นอยู่นี้
มาช้ชีวิตด้วยกัน 4 วัน 4 คืน
คำถามที่หลายคนคงจะสงสัยกันก็คือ ในเมื่อ ทั้งรุ่น Sedan และ Wagon มีหน้าตาเหมือนกัน เครื่องยนต์
ก็เป็นแบบเดียวกัน แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหน มีข้าวของอะไรที่ช่วยเพิ่มราคาค่าตัวให้พุ่งไปอยู่ที่
2,249,000 บาท แพงกว่า S60 รุ่น S อยู่ 100,000 บาท และแพงกว่ารุ่นถูกสุดคือรุ่น B อยู่ 500,000 บาท ?
ที่สำคัญ เชื่อว่าบางคนซึ่งกำลังตัดสินใจซื้อ น่าจะอยากรู้ว่า ควรจะเพิ่มเงินขึ้นมาเล่นรุ่น V60 ดีหรือไม่?
ผมคงยังไม่ให้คำตอบกับคุณในตอนนี้หรอกครับ
แต่อยากเชื้อเชิญ ให้คุณลองเลื่อนลงไปอ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎอยู่ในบทความรีวิวนี้
เพราะหลังจากนั้นสักพัก คุณก็จะรู้ด้วยตัวเองแหละ ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรจึงจะไม่โดน ผบ.ทบ.
(ผู้บัญชาการ…ที่บ้าน) บิดหู!
การถือกำเนิด ของ Volvo V60 นั้น แม้เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ ว่าเป็นผลจากการปรับทัพ และวางตำแหน่ง
การตลาดของรถยนต์ Volvo ใหม่ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ โดยตั้งเป้าว่า รถยนต์ Sedan ทุกรุ่น จะต้องมีตัวถัง V
หรือ Station Wagon วางขายประกบควบคู่กันไปด้วย เพื่อช่วยเพิ่มทางเลือกของรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น
ได้โดยผู้บริโภค ไม่สับสน นัก
โดยในรถยนต์ขนาดกลาง Volvo ใช้วิธียกระดับ V70 จากรุ่นเดิม ที่เป็นเพียง รถยนต์ Station Wagon ซึ่ง
คั่นกลางระหว่าง Saloon รุ่นใหญ่อย่าง S80 และ Premium Compact อย่าง S60 รุ่นแรก ให้กลายเป็น ตัวถัง
Wagon สำหรับคนที่ต้องการความอเนกประสงค์ บนพื้นฐานขนาดตัวถังที่พอกันกับ S80 ทำให้ต้องมีการ
พัฒนาตัวถัง Station Wagon ให้กับ Sedan รุ่น S60 โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานวิศวกรรมร่วมกัน เพื่อก้าว
ขึ้นมา อุดช่องว่างทางการตลาดให้เต็ม
แต่ สำหรับ Volvo แล้ว ไหนๆจะทำรถยนต์รุ่นใหม่ขึ้นมาทั้งที ก็ทำออกมาให้เจ๋งๆ ดีๆ ไปเลยดีกว่า ดังนั้น
เป้าหมายในการพัฒนา V60 จึงไม่เพียงแค่จะต้องสร้าง S60 ตัวถัง Station Wagon เพื่อทำตลาดควบคู่กัน
กับรุ่น S60 Sedan หากแต่ยังต้องนำบุคลิกการขับขี่ทั้งหมด ที่หลายๆคนชื่นชอบใน S60 มารวมไว้ด้วยกัน
เพราะ S60 ใหม่นั้น ได้รับคำชื่นชมจากบรรดาสื่อมวลชน และผู้คนที่ทั้งได้ลองขับ หรือเป็นเจ้าของแล้ว
ในตอนนี้ว่า เป็น “The Most Dynamic Volvo Model Ever “
Stephen Odell ประธานใหญ่ และ CEO ของ Volvo Cars เล่าว่า “ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของ V60 คือ
กลุ่มที่อยากจะซื้อ S60 แต่ต้องการความอเนกประสงค์ ซึ่งต้องมาพร้อมกับ พื้นที่ห้องเก็บสัมภาระที่กว้าง
ใหญ่มากขึ้น แต่ยังต้องรักษาบุคลิกในการขับขี่อันเร้าใจเอาไว้ ต้องไม่แตกต่างจาก S60 ด้วยการแข่งขัน
ที่รุนแรง เชือดเฉือน และด้วยเหตุที่ ลูกค้าของเราในตลาดรถยนต์ Premium Compact Wagon ต่างรู้ดี
ว่าพวกเขาต้องการอะไรจากรถยนต์แบบนี้ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราต้องพิถิพิถัน กับการออกแบบและเลือก
ใช้วัสดุตกแต่งห้องโดยสาร ให้มีคุณภาพดี และอัดแน่นอุปกรณ์ความปลอดภัยทุกอย่าง ให้มาพร้อมกับ
นวัตกรรมความสะดวกสบายต่างๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือ รถยนต์ Sport Wagon ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ผสมผสานกันกับ บุคลิกสปอร์ต ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
Volvo เปิดตัว V60 ใหม่ครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2010 คล้อยหลังการเปิดตัว ของ S60 Sedan ยังไม่ทัน
จะครบ 1 ปีเท่าใดนัก ถือเป็นการบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่น่าสนใจ ครั้งหนึ่งเท่าที่ Volvo เคยทำมา
ในตลาดโลก V60 ใหม่ จะถูกขึ้นสายการผลิตที่โรงงาน Torslanda เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2010
แต่สำหรับตลาดในเมืองไทย และภูมิภาคอาเซียน โรงงานของ Volvo ในมาเลเซีย จะรับชุดประกอบ CKD
จากบริษัทแม่ และผู้ผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ ที่หาได้ มาประกอบเป็นรถยนต์สำเร็จรูป แล้วส่งมาขายในเมืองไทย
เช่นเดียวกับทั้ง S40 V50 XC60 XC90
Volvo ตั้งเป้าทำยอดผลิต และยอดขาย ของ V60 ให้ได้ราวๆ 50,000 คัน ในปีแรกที่เปิดตัว โดยคาดหวัง
ให้ร้อยละ 90 ในจำนวนยอดผลิตทั้งหมดนี้ อยู่ในบ้านเรือนของลูกค้าชาวยุโรป ใน 5 ประเทศหลัก ได้แก่
สวีเดน บ้านเกิด, สหราชอาณาจักร, เนเธอร์แลนด์, อิตาลี และเยอรมัน
ในตอนแรก ผมคาดการณ์ว่า V60 น่าจะยังไม่มาโผล่ในตลาดเมืองไทย รวดเร็วนัก เพราะหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งในด้าน การเมือง เศรษฐกิจ และตัวของ Volvo เอง ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายไปสู่ความ
เปลี่ยนแปลง แต่แล้วจู่ๆ ช่วงปลายปี 2011 ขณะเกิดมหาอุทกภัยใน ภาคกลางของประเทศไทย ผมก็ได้รับทราบ
ความเคลื่อนไหวว่า นอกจากจะเปิดตัว S60 1.6 DRIVe แล้ว Volvo Cars Thailand ยังเตรียมจะสั่งนำเข้า
V60 มาขายในบ้านเรา ด้วยเครื่องยนต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เหมือนกับ S60 1.6 DRIVe แทบทุกกระเบียด
ในที่สุด พี่ตุ้ม ฉันทนา วัฒนารมย์ ประธานของ Volvo Cars Thailand ก็สั่งจัดงานเปิดตัว V60 ขึ้นในเมืองไทย
ที่ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้า The Emporium เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมา ถือว่า ตามหลังการเผยโฉมใน
ต่างประเทศอยู่ 1 ปี กับ 7 เดือน
เหตุที่ Volvo บ้านเรา สั่งนำเข้า V60 มาขายได้ในที่สุด ก็เพราะว่า มีแผนการนำ V60 มาขึ้นสายการผลิต ณ
โรงงาน Volvo ใน มาเลเซีย ร่วมกันกับทั้ง S40 V50 S60 XC60 และ S80 นั่นเอง เท่ากับว่า หากนับสต็อก
ของรถยนต์ Volvo ที่เหลืออยู่ เดือนพฤษภาคม น่าจะเป็นเดือนสุดท้ายที่ รถยนต์ Volvo S80 ล็อตสุดท้าย
ซึ่งผลิตในประเทศไทย จากโรงงาน ไทย สวิดิช แอสเซมบลี มีขายอยู่ หากหมดจากเดือนนี้หรือมิถุนายน
ไปแล้ว ผู้บริโภคชาวไทย ก็คงจะหมดโอกาสในการซื้อรถยนต์ Volvo ประกอบจากโรงงานในบ้านเรากัน
ไปอีกนาน โดยไม่มีกำหนด ส่วนโรงงาน ไทยสวีดิชฯ ก็จะหันไปประกอบรถบรรทุก Volvo เพื่อป้อนส่ง
ตลาดในบ้านเรากันเป็นการทดแทน
แม้ว่า ใจผมจะยังอยากให้ Volvo ประกอบรถยนต์นั่ในประเทศไทยต่อไป แต่ด้วยคุณภาพการประกอบของ
ดรงงานในมาเลเซีย ก็ไม่ได้ขี้เหร่ไปกว่าบ้านเราแล้วในตอนนี้ อีกทั้ง การสั่งนำเข้าโดยใช้สิทธิประโยชน์
ด้านภาษีต่างๆ ทั้งเรื่อง ภาษีด้านขนาดความจุกระบอกสูบ เรื่อง FTA ฯลฯ อีกหลายประการ จะช่วยทำให้
ราคาของ Volvo ที่ขายในไทย ถูกลง ต้นทุนด้านต่างๆ ถูกลง ไม่เพียงแต่ว่า Volvo จะได้กำไรมากขึ้น
หากแต่ยังทำให้ราคาขายปลีกรถยนต์ Volvo ลดลงมา ถูกลง จนทำให้ลูกค้าเอื้อมถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเมื่อ
4-5 ปีก่อน นี่จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ จำเป็นต้องเกิดขึ้น และเมื่อชั่งน้ำหนัก วัดกันแล้ว ผลดี
ยังมากกว่าผลเสีย ก็คงต้องดูต่อกันไปว่าผู้บริโภคชาวไทย จะให้การยอมรับใน รถยนต์ Volvo ที่ประกอบ
ในมาเลเซีย มากน้อยแค่ไหน
ตัวถังมีความยาว 4,628 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร (ถ้ารวมกระจกมองข้างด้วย จะกว้าง 2.097 มิลลิเมตร
สูง 1,484 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,776 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหน้า (Front Track) 1,588 มิลลิเมตร
ความกว้างช่วงล้อหลัง (Rear Track) 1,585 มิลลิเมตร น้ำหนักรถเปล่า 1,526 กิโลกรัม น้ำหนักรวมของเหลว
2,100 กิโลกรัม หลังคารับน้ำหนักได้ 75 กิโลกรัม
ถ้าเปรียบเทียบกับ Volvo S60 Sedan แล้ว จะพบว่า ขนาดตัวถัง เหมือนกัน เท่ากันเปี๊ยบ! ไม่ได้มีความต่าง
อะไรกันเลย อย่างมากก็แค่ น้ำหนักตัวรถเปล่าที่เพิ่มขึ้นราวๆ 45 กิโลกรัม และน้ำหนักตัวเมื่อรวมสัมภาระ
กับของเหลวทั้งระบบ ที่เพิ่มขึ้นอีก 80 กิโลกรัม เท่านั้นเลย แม้แต่แผ่นหลังคา ก็ยังรองรับน้ำหนักได้เท่ากัน
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไม V60 ถึงได้มีบุคลิกไม่ได้แตกต่างอะไรไปจาก S60 เลย
Peter Horbury.ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Volvo Cars Design เล่าว่า “ลูกค้าหลายราย ที่เราเชิญให้มา
พบเห็นรูปโฉมคันจริงของ V60 ใหม่ ในช่วงที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา ต่างรู้สึกได้ว่า ตัวรถ V60
มีบุคลิกความเป็น Sport เฉกเช่นเดียวกับ S60 Sedan ใหม่”
ครั้งแรกที่ผมเห็น Volvo V60 ใหม่ นั่นก็คงเป็นภาพถ่าย ในวันเปิดตัว ที่ HOMY DEMIO นำมาลงข่าว
ในเว็บไซต์ Headlightmag.com ของเรานี่ละครับ ยังจำได้ว่า ปฏิกิริยาแรกของผมคือ ออกจะผิดหวังกับ
เส้นสายตัวถังด้านท้าย เฉพาะบริเวณเสาหลังคาด้านหลังสุด D-Pillar ซึ่งผมอยากจะเห็นความลงตัว
มากกว่านี้อีกสักหน่อย
แต่พอนั่งดูไปนานๆ..เฮ้ย! มันก็เข้าท่านี่หว่า มีการนำแนวเส้นกรอบกระจกหน้าต่างของ Volvo C30
มาปรับประยุกต์ให้เป็นแนวเส้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ V60 เอง ขณะที่ไฟท้าย รับอิทธิพล
แนวเส้นสายมาจาก Volvo XC60 กันเต็มๆ เป็นความพยายามของ Volvo ในการนำเส้นสายตัวถัง
รถยนต์แบบ Coupe 2 ประตู มาผสานกับ รถยนต์ Station Wagon 5 ประตู ได้ดีมากๆ คือ แม้จะมี
เส้นกรอบกระจกหน้าต่างบานหลัง D-Pillar ที่แอบขัดจิตเล็กๆ แต่เมื่อมองในภาพรวมแล้ว มันคือ
ความกล้าหาญในการออกแบบ ที่ Volvo ไม่เคยแสดงให้พวกเราได้เห็นกันเลยว่า พวกเขาก็ทำได้
จนมาถึงการเปิดตัวของ V60 นี่แหละ เราถึงได้ตาลุกวาวกันอย่างนี้ ทั้งที่ชิ้นส่วนตัวถัง ครึ่งคันหน้า
ทั้งหมด จนถึงบานประตูคู่หน้า ไม่นับรวมแผ่นหลังคา ยกถอดสลับสับเปลี่ยนกับ S60 กันได้ทันที
และถ้าสังเกตให้ดีๆ จะพบว่า ชายล่างสุด ของกันชนหลัง Volvo V60 ใช้ปลายท่อไอเสียแบบ 2 ท่อ
แม้ว่าจะใช้หม้อพักร่วมใบเดียว แต่เพียงเท่านี้ ก็ทำให้บุคลิกของตัวรถ ดูสปอร์ตเต็มตัวยิ่งขึ้นมาก
ส่วนล้ออัลลอย ยังคงเป็นลาย Balder 5 ก้าน ขนาด 7×17 นิ้ว พร้อมยาง Michelin Premacy LC
ขนาด 215/50 R17 เหมือน S60 1.6 DRIVe รุ่น S อยู่ดี
การเข้า – ออกจากรถ ยังใช้รีโมทคอนโทรล PCC (Personal Car Communicator) Keyless Smart Entry
พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer จากโรงงาน หน้าตาแบบเดียวกับใน S60 S80 และ XC60 ใหม่ นั่นละครับ
เพียงแค่ พกรีโมท PCC ไว้กับตัว ทันทีที่ดึงมือจับประตู รถจะปลดล็อคโดยอัตโนมัติ และถ้าจะล็อครถ ก็แค่ใช้นิ้ว
แตะเบาๆ ลงไปที่ หลุมเล็กๆ บนมือจับประตู สามารถสั่ง ล็อคหรือปลดล็อคประตู และฝากระโปรงหลัง โดยกดปุ่ม
เพียงครั้งเดียว
แถมยังสามารถเข้าเมนู MY CAR ไปตั้งค่าส่วนตัวเพื่อกำหนดให้ปลดล็อคประตูด้านคนขับก่อน หรือจะปลด
ล็อคประตูได้ทุกบานพร้อมกัน สั่งเปิด – ปิดกระจก หน้าต่างทุกบาน เพียงแค่กดปุ่ม ล็อก หรือปลดล็อก ค้างไว้
2 วินาที และสั่งปลดล็อคฝากระโปรงหลังแยกต่างหากได้ หรือตั้งค่าให้ประตูทุกบานล็อคอัตโนมัติ เมื่อออกรถ
ไปได้สัก 5 วินาที และแน่นอน ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารฝั่งซ้าย ด้านหน้าสามารถล็อคประตูทันทีได้เอง โดยกดปุ่ม
ล็อกข้างมือจับประตูภายในรถ ทำหน้าที่แทนสวิชต์กลอนประตูนั่นเอง
หากกำลังเดินช้อปปิงอยู่ แล้วสงสัยว่าล็อครถหรือยัง ให้กดปุ่ม i บน รีโมท PCC ไฟสัญญาณก็จะวิ่งวนๆ รอบๆ
รีโมท PCC ถ้าล็อกรถแล้ว ก็จะขึ้นไฟเขียว ที่รูป กุญแจล็อก แต่ถ้ายังไม่ได้ล็อก ก็จะขึ้นไฟสัญญาณสีเหลือง
เตือนที่รูปกุญแจปลดล็อก เมื่อเดินกลับมาที่รถ ภายในรัศมี 60 ถึง 100 เมตร คุณสามารถกดปุ่ม i แสดงข้อมูล
ของ PCC เพื่อดูรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสถานะการล็อคและการส่งสัญญาณเตือน
ระบบ PCC ยังมีสัญญาณกันขโมยในตัว เชื่อมต่อกับประตู ฝากระโปรงทุกบาน และช่องเสียบกุญแจสตาร์ท
สัญญาณนี้จะร้องลั่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในรถ หรือมีการทุบกระจก หากตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
เช่นเมื่อ มีคนมารอที่รถ และพร้อมจะทำร้าย ให้กดปุ่มฉุกเฉินบน PCC รถจะร้องดังขึ้นมา เพื่อส่งสัญญาณ
ขอความช่วยเหลือได้
เมื่อดับเครื่องยนต์ จะมีไฟหน้าส่องสว่าง นำทางเข้าบ้าน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อเดินเข้าใกล้รถ หรือ
เมื่อออกห่างจากรถ ไฟในห้องโดยสาร รวมทั้ง ไฟส่องพื้นที่ใต้กระจกมองข้าง ติดขึ้นมา เพื่อช่วยในการมอง
เห็นพื้นดินรอบข้างตัวคุณ ยามค่ำคืนหากทำต่างหู หรือข้าวของอะไรตกหล่นบนพื้น จะได้พอมีแสงสว่างช่วย
ส่องให้หาเจอ
ในเมื่อ เสาหลังคาคู่หน้า ใช้ร่วมกับ S60 กรอบกระจังหน้าต่าง กระจกบังลมหน้า บานประตู และกรอบช่องทาง
ประตู ก็ยกมาจาก S60 ดังนั้น การเข้าออก จากตำแหน่งเบาะคนขับ หรือผู้โดยสารฝั่งซ้าย ก็เหมือนกันกับ S60
นั่นแหละครับ ไม่ต่างกัน
ถ้าคุณ ปรับเบาะนั่งไว้ในตำแหน่งค่อนข้างสูง หากก้มตัวลงนั่งทันที ศีรษะ อาจจะไปโขกกับขอบช่องทางประตู
ด้านบนก็เป็นไปได้ ดังนั้น แนะนำว่า หากยังไม่เคยลองขับ ก่อนขึ้นไปนั่งบนรถ ควรปรับตำแหน่งเบาะนั่งด้วย
สวิชต์ไฟฟ้า จนกดลงต่ำที่สุดก่อน แล้วจึงค่อยหย่อนก้นลงไปนั่ง
บานประตู ที่ผมเคยติติงไปว่า น้ำหนักเบากว่า Volvo รุ่นก่อนๆ นั้น มาวันนี้ น้ำหนักบานประตู กลับมาหนักแน่น
พอกันกับ S60 ล็อตหลังๆแล้ว เพียงแต่เสียงปิดประตู ฟังแล้วยังคงนึกถึง บานประตูของ Mercedes-Benz
รุ่นใหม่ๆ อยู่บ้าง อยู่ดี
การออกแบบแผงประตูด้านข้าง ไม่ต่างจาก S60 เลย ยังคงวางแขนได้ดีเหมือนเคย และใช้อะลูมีเนียม เป็นวัสดุ
ประดับตกแต่ง แต่ ด้านบนของแผงประตูนั้น ปรับให้ลาดเอียงลงเล็กน้อย จนคล้ายกับท่อนบนของแผงประตู
BMW 3-Series มากขึ้น กระจกหน้าต่าง ไฟฟ้า เป็นแบบ One-Touch ทุกบาน พร้อมสวิชต์ล็อกประตู ไฟฟ้า
Central Lock ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านซ้าย
ส่วนยางขอบประตู ถูกออกแบบมาให้ช่วยลดเสียงลมที่จะเล็ดรอดเข้ามายังห้องโดยสาร ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะ
เป็นไปได้ เช่นเดียวกับ S60 ใหม่ ถือเป็นอะไหล่ชิ้นเดียวกัน และใส่แทนกันได้
ชุดเบาะรองนั่ง และระบบสวิชต์ปรับตำแหน่งเบาะด้วยไฟฟ้า ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสาร รวมถึง ระบบจำ
ตำแหน่งเบาะนั่ง และกระจกมองข้าง 3 ตำแหน่ง เฉพาะฝั่งคนขับ ยกมาจาก S60 1.6 DRIVe ซึ่งก็คือการ
ไปยกชุดมาจาก SUV รุ่นกลาง Volvo XC60 กันมาอีกทอดหนึ่ง เพียงแต่ว่า ปีกข้างของพนักพิงหลังนั้น
หากเป็นรุ่น V60 และ S60 อาจมีรอยตะเข็บ ฝีเย็บที่แตกต่างกันนิดหน่อย รวมทั้ง พนักศีรษะ ที่แตกต่าง
จาก XC60 เล็กน้อย เบาะรองนั่ง สบายมาก และกินพื้นที่ เกือบจะรองรับบั้นท้ายได้แทบจะทั้งหมด อาจ
จะเหลือ ข้อพับอีกนิดเดียว สำหรับบางคนที่ขายาว แต่สำหรับผม ความยาวของเบาะรองนั่งตอนนี้ถือว่า
กำลังดีแล้ว
เพราะเบาะนั่งออกแบบมาในสไตล์สปอร์ตนิดๆ ออกแบบให้มีการรองรับสีข้างของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ในระดับกำลังดี เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด แบบ Pretensioner & Load Limiter ลดแรงปะทะ
และดึงกลับอัตโนมัติมีสวิชต์ ปรับระดับสูง – ต่ำ มาให้ เหมือนใน S60 1.6 DRIVe แล้ว
ภาพรวมแล้ว เบาะนั่ง ยังคงให้ความสบายในแบบของ Volvo ยุคหลังปี 1998 เป็นต้นมา แทบทุกรุ่น นั่งนานๆ
ก็ไม่ปวดหลัง ไม่เมื่อยล้าแผ่นหลัง หรือบั้นท้ายแต่อย่างใด ด้านพื้นที่เหนือศีรษะ ก็ยังมีเหลือพอสำหรับคนที่
มีสรีระสูงศักดิ์กว่าชาวบ้านชาวช่องเขา อีกทั้งยังมีพนักศีรษะที่นุ่ม แต่ดันหัวอยู่บ้างนิดๆ แต่ก็ไม่มากนัก และ
ยังไม่ถึงขั้นก่อความรำคาญมากมายนักแต่อย่างใด
เพียงแต่ หนังที่ใช้ ก็เหมือนกันกับ S60 ซึ่งจะมีพื้นผิวพอก้นกับ XC60 แต่หยาบกว่าเบาะนั่งของ S80 นิดนึง
โอกาสเกิดคราบร่องรอยต่างๆ บนพื้นผิว หากผู้ขับขี่ ใส่กางเกงยีนส์บ่อยๆ ก็จะเป็นไปได้ค่อนข้างสูงพอกัน ดังนั้น
การดูแลรักษาหนังของเบาะนั่งในรถยนต์อย่าง Volvo ในรุ่นที่ใช้ห้องโดยสาร โทนสีสว่างแบบนี้ จึงจำเป็น
อย่างยิ่ง Volvo เขามีน้ำยาดูแลรักษาเบาะหนังของตนเอง ขายในศูนย์บริการด้วย หรือจะพึ่งพา Car care
ชั้นเยี่ยมข้างนอกก็ได้
พื้นที่วางแขนตรงคอนโซลกลางนั้น บุด้วยผ้า และมีฟองน้ำซ่อนข้างใน พอจะให้สัมผัสนุ่มๆ เหมือนแผง
ประตูด้านข้าง และอยู่ในตำแหน่งความสูงที่เหมาะสม แต่จะดีกว่านี้ ถ้าสามารถ เลื่อนขึ้นหน้าหรือถอยหลัง
ได้บ้าง อะไหล่ชิ้นนี้ แทบจะยกมาจาก XC60 เช่นเดียวกัน
ความแตกต่างจาก S60 Sedan ที่ชัดเจน อยู่ที่ ครึ่งคันหลังของตัวรถ บานประตู ถึงแม้ว่า บานประตูหลัก
รวมทั้งแผงประตูด้านข้าง ที่มีพื้นที่วางแขนได้สบายกำลังดี จะยกชุดมาจาก S60 แทบทั้งดุ้นเลยก็ตาม
แต่ความแตกต่างอันเด่นชัด อยู่ที่ กรอบกระจกหน้าต่าง ซึ่งต้องออกแบบเป็นพิเศษ สำหรับรถยนต์ Station
Wagon ช่วยให้มีพื้นที่โปร่งมากขึ้น โอกาสที่ศีรษะ จะโขกโป๊ก เข้ากับขอบช่องทางเข้า – ออก ด้านบน ก็
จะลดลง จนถึงเกือบจะไม่เหลือเลย ในขณะที่รุ่น Sedan ยังจำเป็นต้องมีขอบกระจกหน้าต่าง และบาน
ประตูคู่หลัง โค้งเว้า เพื่อความสวยงาม ควบคู่กันไปด้วย แต่ในรุ่น Station Wagon นั้น ได้เปรียบรถยนต์
Sedan 4 ประตู ก็ประเด็นเล็กๆนี่แหละ
เบาะนั่งแถวหลัง มีพื้นที่เหนือศีรษะ เหลือเฟือกว่าที่คิด อาจไม่ถึงกับโปร่งนัก แต่มีพื้นที่พอสำหรับคนตัวสูง
แถวๆ 180 เซ็นติเมตร จะนั่งได้อยู่ พนักพิงหลัง เหมือนจะแข็ง ทั้งๆที่เมื่อกดลงไป มันก็นุ่มและแน่นเหมือน
ฟองน้ำในเบาะรถยนต์ Volvo รุ่นใหม่ๆคันอื่นๆ ทุกรุ่นนั่นละ บริเวณไหล่ ซัพพอร์ตใช้ได้ แต่แผ่นหลังนั้น
จะบุ๋มลงไปนิดนึง เพาะต้องออกแบบ เผื่อไว้สำหรับสรีระของเด็กด้วย ถ้าเป็นคนตัวสูง 170 เซ็นติเมตร แบบ
ผม คิดว่า นั่งโดยสารทางไกลหนะได้ แต่คงต้องมีพักบ้างเป็นระยะๆ อาจจะเมื่อยได้ถ้าเดินทางไกลเกินกว่า
200 กิโลเมตรต่อเนื่องกัน
เบาะรองนั่ง นุ่มกำลังดี แต่มีมุมเงยที่อาจเหมาะสมสำหรับผู้โดยสารขาสั้น หรือเด็ก แต่สำหรับผู้ใหญ่แล้ว
ท่านั่ง จะเหมือนว่าต้องชันขานิดๆ เพราะขอบเบาะรองนั่ง ไมได้รองรับข้อพับหลังหัวเข่าแต่อย่างใด ส่วน
พื้นที่วางขา ยังพอมีเหลืออยู่ไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย กำลังดี
ที่สำคัญ อยากให้สังเกต พื้นผิวสีดำ ที่อยู่ข้างๆเบาะนั่ง ติดกับบานประตูทั้ง 2 ฝั่ง หากเป็นรถยนต์ทั่วไป ผู้ผลิต
คงหุ้มด้วยพลาสติกแข็งๆ แต่ Volvo กลับลงทุน ใช้วัสดุอ่อนนุ่ม เมื่อสร้างพื้นผิวสัมผัสที่ดี ทำให้การเข้า-ออก
ทำได้สบาย และไม่มีอะไรมาเป็นของแข็งกระทบร่างกายเลย นี่คือเรื่องท่น่าชมเชย และอยากให้ผู้ผลิตรถยนต์
รายอื่นๆ ดูประเด็นนี้ไว้เป็นแบบอย่าง
จุดขายสำคัญของเบาะรองนั่ง ในรถยนต์ตัวถัง Estate หรือ Wagon ของ Volvo นั่นคือ ความอเนกประสงค์
บนเบาะหลัง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเน้นอรรถประโยชน์ใช้สอย และความปลอดภัยอย่างมาก สิ่งที่คุณไม่อาจ
จะหาได้ใน S60 ก็คือ มีการติดตั้ง เบาะนิรภัยสำหรับเด็ก อายุไม่เกิน 12 ปี ฝังมาให้พร้อมกับเบาะรองนั่ง
รวมอยู่ในชุดเดียวกัน มีมาให้ครบทั้งฝั่งซ้าย – ขวา เลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม เพียงแค่กดที่มือจับ
บริเวณขอบเบาะรองนั่ง ทั้ง 2 ฝั่ง ยกเบาะให้ลอยตัวขึ้นมา แล้วดันถอยหลังให้เข้าล็อก เพียงเท่านี้ ก็ได้
เบาะนั่งสำหรับเด็กอายุ 6 – 12 ปี โดยไม่ต้องซื้อ เบาะนิรภัย Child Seat ของเด็กในวัยดังกล่าวเพิ่มเติม
เบาะนั่งสำหรับเด็ก แบบติดตั้งฝังมาสำเร็จรูปพร้อมชุดเบาะรองนั่งจากโรงงานใน V60 เหมาะสำหรับ
เด็กที่มีความสูงระหว่าง 115-140 เซ็นติเมตรหรือน้ำหนักระหว่าง 22-36 กิโลกรัม ส่วนเมื่อปรับไว้ที่
ระดับสูง จะเหมาะกับเด็กความสูงระหว่าง 95-120 เซ็นติเมตร หรือน้ำหนักระหว่าง 15-25 กิโลกรัม
ตรงกลางเบาะหลัง พับลงมาเป็นที่วางแขน ซึ่งคุณสามารถวางแขนได้สบายพอดี ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมี ช่องวางแก้ว แบบพับเก็บได้ ซ่อนมาให้ ถ้าจะเปิดกางใช้งาน แค่กดปุ่ม ชุด
ช่องวางแก้ว จะหงายตัวจากที่ซ่อนออกมา ด้วยแรงดีดของสปริง รวมทั้งยังมีช่องเก็บของ โดยมีพื้นที่
วางแขนนั้นแหละ เป็นฝาปิดซ่อนสิ่งของจุกจิก เล็กๆ น้อยๆ
และถ้ามีผู้โดยสารเพิ่มมาอีก 1 คน คุณสามารถยกพนักพิงศีรษะขึ้นได้ ด้วยการกดปุ่มแล้วยกขึ้น หากจะ
พับลง ก็กดปุ่มแล้วกดพนักศีรษะลงมาจนสุดตามเดิม ไม่เพียงเท่านั้น พนักศีรษะของเบาะนั่งหลัง ทั้ง
ฝั่งซ้าย – ขวา ยังสามารถ พับลงมาได้พร้อมกัน ด้วยสวิชต์พับเบาะปลดล็อกด้วยไฟฟ้า ติดตั้งอยู่ที่บริเวณ
ด้านล่างสุดของแผงควบคุม คอนโซลกลาง ฝั่งซ้ายมือ
ไม่เพียงเท่านั้น เบาะนั่งด้านหลัง ยังสามารถ แบ่งพับได้ในอัตราส่วน 40 : 20 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บ
สัมภาระด้านหลัง ได้อีกด้วย โดยสามารถพับพนักพิงลงมาให้กลายเป็นพื้นที่แบนราบ ต่อเนื่องไปยังพื้น
ของห้องเก็บของ้านหลังได้ นอกจากนี้ พนักพิงเบาะโดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย ยังสามารถพับลงจนสุด
เพื่อให้สามารถวางข้าวของที่มีความยาวมากกว่าปกติ ได้ต่อเนื่องอีกด้วย
การพับเบาะ ให้มองหาสวิชต์ปลดล็อก บริเวณ บ่าของพนักเบาะหลัง ใช้เพียง 2 นิ้ว เกี่ยวยกขึ้น แล้วดึง
พนักพิงหลังพับลงมา โดยต้องพับพนักศีรษะ จากคันโยกที่ติดอยู่ข้างๆกันก่อน เพียงแต่ต้องระวังนิดนึง
เพราะ Volvo ติดตั้ง ตาข่ายป้องกันสัมภาระกระเด็นใส่หัวผู้โดยสาร ซึ่งม้วนเก็บได้ แบบฟิล์มถนอม
อาหาร หากยังไม่ได้ถอดชุดตาข่ายนี้ออกจากด้านหลังของพนักพิงเบาหลัง จะทำให้พับเบาะลงไม่ได้
บานประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง มีความกว้าง 1,095 มิลลิเมตร แถมยังเปิดยกขึ้นได้กว้าง กระจก
บังลมด้านหลัง มีทั้งชุดไล่ฝ้า และใบปัดน้ำฝน พร้อมรูฉีดน้ำล้างกระจกมาให้เสร็จสรรพ ใช้ช็อกอัพ
ไฮโดรลิก ค้ำยัน 2 ต้น เปิด-ปิดได้ด้วยระบบกลอนไฟฟ้า และมีไฟส่องสว่าง ขณะเปิดประตูหลัง เพื่อ
ให้รถคันที่แล่นตามมาในตอนกลางคืน ได้เห็นที่สำคัญคือ ยังมี ชุดตาข่ายกั้นสัมภาระ มิให้กระเด็น
กระดอนมายังห้องโดยสาร และเบาะหลัง เมื่อต้องเบรกกระทันหัน ซ่อนอยู่ด้านหลังพนักพิงเบาะ
แถวหลัง เป็นการใส่ใจในรายละเอียดความปลอดภัยแม้เรื่องเล็กๆน้อย ตามแบบฉบับของ Volvo
และชาวสวีเดน
เมื่อเลื่อนแผงบังสัมภาระ ที่ช่วยปกป้องไม่ให้ผู้คนภายนอก เห็นข้าวของ ด้านหลังรถของคุณ
ถอยหลังไปเก็บจนเรียบร้อย ก็จะพบกับพื้นที่ห้องเก็บของขนาด 692 ลิตร ตามมาตรฐานของ
ISO V210 ใหญ่พอจะขนข้าวของไปได้เยอะเอาเรื่องอยู่
พื้นห้องเก็บของ แบ่งช่องไว้เป็นแผงสี่เหลี่ยมยกขึ้นตั้งฉาก ด้านใต้ มี แถวคาดสีเหลืองสะท้อนแสง
ผมเพิ่งมารู้ไม่นานมานี้เองว่า มันถูกใช้ ในเหตุผลด้านความปลอดภัย เพราะถ้าคุณต้องเปลี่ยนยาง
บนไฮเวย์ ในเมื่อ ไม่มี สามเหลี่ยมสีแดงสะท้อนแสงติดตั้งมาให้ แถบสีเหลืองนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่
รถคันที่แล่นตามมา เห็นคุณได้ในระยะไกล และหลีกเลี่ยงโอกาสจะชนกับรถของคุณไปได้เยอะ
เมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นมา จะพบ ถาดรีไซเคิล ขนาดใหญ่ อเนกประสงค์ แบ่งเป็นช่องเอาไว้
เหมาะแค่เพียงการซ่อนข้าวของเล็กๆน้อย แต่ไม่เหมาะที่คุณจะใส่อาหารสดใดๆ ซ่อนลงไปเพื่อ
ไม่ให้มีกลิ่นเล็ดรอดขึ้นมายังห้องโดยสาร เพราะบอกตรงๆว่า ถาดหลุมแบบนี้ มันนุ่ม และพร้อม
จะซึมซับของเหลวได้ดีเอาเรื่อง
และเมื่อยกพรมปูพื้นห้องเก็บของด้านหลังขึ้นมาจะพบว่า Volvo V60 เป็นอีกรุ่นหนึ่งซึ่งจะไม่มี
ยางอะไหล่แถมมาให้แล้ว แต่มีชุดปะยาง จาก Continental มาให้แทน รวมทั้งมีเครื่องมือซ่อมบำรุง
ประจำรถอย่างเหล็กขันน็อตล้อติดตั้งมาให้ด้วย
ภายในห้องโดยสารครึ่งคันหน้า ยกชุดมาจาก S60 1.6 DRIVe มาทั้งดุ้น ทั้งแผงหน้าปัดที่ออกแบบ
ให้เน้นการใช้งานง่ายดาย คลำหาสวิชต์สำคัญๆ ทั้งระบบเครื่องปรับอากาศ และชุดเครื่องเสียงได้
สะดวกดี แต่มีการจัดวางตำแหน่งช่องแอร์กลาง ที่ขัดอกขัดใจผมอยู่อย่างมาก ทำไมต้องเอาช่องแอร์
กลาง แยกฝั่ง 2 ชิ้น ไปไว้เหนือแผงสวิชต์ควบคุมระบบต่างๆ ตรงนั้นด้วย?
มองไปยังด้านบนเพดานหลังคา แผงบังแดด ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา มีทั้งกระจกแต่งหน้า และไฟส่องสว่าง
มาให้ ส่วนไฟอ่านแผนที่ ก็ถอดมาจาก Volvo รุ่นใหม่คันอื่นๆ เหมือนเดิม มีสวิชต์เตือนผู้โดยสาร
ด้านหลัง ให้คาดเข็มขัดนิรภัย ฝังมาให้บริเวณไฟส่องแผนที่ และไฟส่องสว่างด้านหน้าของรถ และ
ยังมีการติดตั้งกระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ มาให้ทุกคัน
โทนสีที่ใช้ตกแต่งห้องโดยสาร จะเป็นโทนเดียวกันกับ S60 1.6 DRIVe นั่นคือ แผงประตู และแผง
หน้าปัด เป็นสีดำ Charcoal และใช้หนังหุ้มเบาะกับวัสดุส่วนที่จะต้องสัมผัสกับผิวหนังของผู้คนด้วย
สีเบจ และดำ สร้างบรรยากาศอบอุ่นสบาย ตามแบบ Scandinavian Design
พวงมาลัยแบบสามก้าน หุ้มหนัง และประดับด้วยโครเมียม ปรับระดับสูง – ต่ำ และใกล้ – ไกลได้มาก
เหมือนรุ่น S80 ติดตั้งสวิชต์ต่างๆ ทั้งระบบ Adaptive Cruise Control และสวิชต์ตั้งระยะใกล้ –
ห่างจากรถคันข้างหน้า เชื่อมต่อกับระบบ Adaptive Cruise Control ก็จะติดตั้งรวมกันอยู่ฝั่งซ้าย
ส่วนสวิชต์ ควบคุมชุดเครื่องเสียง และโทรศัพท์ เคลื่อนที่ ติดตั้งรวมอยู่บนฝั่งขวา เพื่อความสะดวกใน
การใช้งานอีกด้วย การติดเครื่องยนต์ หากพก รีโมท PCC ไว้กับตัวอยู่แล้ว ก็เหยียบเบรกกดปุ่ม Start
ทั้งหมดนี้ ยกชุดมาจาก S60 ทั้งสิ้น
แผงคอนโซลกลางและหน้าปัดทำมุมเอียงหันไปด้านคนขับเพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญ
ได้สะดวก กรอบโลหะบริเวณแผงควบคุมกลาง ตกแต่งด้วย Shimmer Graphite ตัดกับความมันวาว ของ
อะลูมีเนียม ดูหรูในแบบร่วมสมัย ดูไม่แก่
จอมอนิเตอร์สี 7 นิ้วซึ่งติดตั้งไว้ที่แผงคอนโซลหน้าด้านบน ในระดับเดียวกันกับ ชุดมาตรวัดความเร็ว
เพื่อให้ผู้ขับขี่ มองเห็นข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และลดการละสายตาจากพื้นถนนให้สั้นที่สุด นอกจากนี้
แผงควบคุมกลาง ยังถูกออกแบบตำแหน่งการวางอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ในระยะที่ผู้ขับขี่สามารถเอื้อมถึง
ปุ่มบังคับต่างๆ ได้สะดวก โดยไม่ต้องปรับเบาะเลื่อนเข้าใกล้แผงหน้าปัดมากนัก
สวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ทั้ง 4 บาน เป็นแบบ One Touch กดหรือดึงขึ้น เพื่อเลื่อนขึ้น หรือ ลงอัตโนมัติ
เพียงครั้งเดียว มีระบบ Jam-Protection ป้องกันการบาดเจ็บจากการโดนกระจกหนีบ ครบทุกบาน สวิชต์
กระจกมองข้างปรับได้ด้วยไฟฟ้า หากต้องการพับกระจก ก็ทำเหมือน Volvo รุ่นอื่นๆ คือ ต้องกดปุ่ม L R
พร้อมกันทั้ง 2 ปุ่ม กระจกจะพับเอง และกดอีกครั้ง เพื่อให้คืนกลับสู่สภาพพร้อมใช้งาน
สวิชต์ เปิดปิดไฟหน้า ติดตั้งเหมือนรถยุโรปทั่วไป คืออยู่ฝั่งขวาของผู้ขับขี่ ใต้ช่องแอร์ อีกทั้งยังมีการติดตั้ง
ไฟหน้าแบบ Xenon ปรับมุมองศาการหักเห ตามการเลี้ยวของพวงมาลัย Adaptive Bending Light
พร้อมระบบปรับระดับ ขึ้น ลง อัตโนมัติ มาให้ เพื่อความสะดวกในการขับขี่ทางไกล ยามค่ำคืน เห็นได้ชัดขึ้น
Volvo ระบุว่า การใช้ไฟหน้าแบบนี้ ในขณะเข้าดค้ง จะช่วยเพิ่มระยะเบรกมากขึ้นอีก 45 เมตร (ซึ่งนั่น
เท่ากับระยะเบรกอันเป็นค่าเฉลี่ย จาก 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงจุดหยุดนิ่ง ของบรรดารถยนต์ SUV
หลายๆรุ่น และ Mercedes-Benz S-Class W140 รุ่นปี 1991 – 1998 เลยนะนั่น!)
ชุดมาตรวัด ยกชุดมาจาก Volvo S60 หน้าจอวงกลม ตรงกลาง ของทั้ง มาตรวัดความเร็ว และ
มาตรวัดรอบ มีจอ Multi Information System เอาไว้แสดงข้อมูล และแจ้งการทำงาน ระบบ
ต่างๆภายในรถ ทั้งการแจ้งเตือน การแจ้งข้อมูล หรือ การทำงานของระบบ City Safety ฯลฯ
มาตรวัดแบบนี้ มีข้อดีคือ อ่านง่าย ไม่รบกวนสายตาผู้ขับขี่ แต่ได้ข้อมูลครบถ้วนตามต้องการทันที
ที่คุณเหลือบสายตาลงมามอง อย่างรวดเร็วในเสี้ยววินาที ไม่ซับซ้อน มีไฟเตือนเท่าที่จำเป็น นี่ละ
ชุดมาตรวัดแบบที่ผมอยากให้ผู้ผลิตหลายๆค่าย ดูเอาไว้เป็นแบบอย่าง ยกเว้นแค่ว่า ทำไมต้องตัด
มาตรวัดอุณหภูมิระบบหล่อเย็นออกไปด้วย? หรือว่า รถยนต์เมืองหนาว ไม่ค่อย Overheat หรือไง?
เลยคิดว่า รถเมืองร้อน จะไม่มีโอกาสเกิด Overheat ด้วย ต่อให้บอกว่า ย้ายไปเตือนอยู่ในหน้าจอ
วงกลม MID แล้ว แต่คนขับก็อยากจะรุ้ตัวก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่ว่า ปล่อยให้ฮีตเดือดปุดๆ แล้วค่อย
แจ้งสัญญาณมาเตือนสว่างวาบกัน
เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา พร้อมระบบ Electronic Climate Control (ECC)
ช่วยให้มีการควบคุมอุณหภูมิและการระบายอากาศได้โดยอัตโนมัติ รวมทั้งติดตั้ง Interior Air Quality
System (IAQS) ที่ป้องกันฝุ่นละอองหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์จากภายนอกเข้ามารบกวนภายในห้องโดยสาร
และสำหรับผู้โดยสารที่มีอาการแพ้ง่าย ระบบ Clean Zone Interior ช่วยเพิ่มความสะบายและให้อากาศ
สะอาดตลอดเวลาจนได้รับการแนะนำจากสมาคมโรคหอบหืดประเทศสวีเดน และเมื่อเปิดล็อครถด้วย
รีโมทคอนโทรล ระบบจะดูดอากาศจากภายนอกมาระบายความร้อนภายในห้องโดยสาร และฟอกอากาศ
ไปด้วยในตัว
ให้ความเย็นเร็วฉ่ำ ทันใจกับคนขับอย่างผมได้ดี แต่ ผู้โดยสารด้านหลัง ก็ยังคงบ่นกันเหมือนเคยว่า
ช่องแอร์ ณ เสากลางทั้ง 2 ฝั่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังกลับมีลมเป่าออกมาให้พอจะสัมผัสผิวบ้าง
เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้เย็นมากนัก ด้านข้างกัน เป็นสวิชต์ไฟฉุกเฉิน ไกลตัวไปนิด แต่มองหาเพื่อ
กดใช้งานง่าย
ชุดเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาให้ เป็นแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4×40 วัตต์
ลำโพง 8 ชิ้น มีระบบ Dolby DIGITAL คุณภาพระดับเดียวกับที่ใช้ในระบบ HomeTheatre
และ Professional Theatre พร้อมทั้งช่อง Port AUX และ USB สำหรับเสียบเชื่อมต่อกับ
เครื่องเล่นเพลงอื่นๆ อย่าง iPod และสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth
แถมยังดึงเพลงจากในโทรศัพท์มือถือของคุณ มาเล่นในชุดเครื่องเสียงของ S60 กันสดๆ
แบบ Audio streaming ได้อีกด้วย
แม้ว่าจะเป็นชุดเครื่องเสียงเดียวกันกับ S60 1.6 DRIVe ซึ่งเคยมีคุณภาพเสียง ไม่ฉ่ำหู แต่เมื่อเป็น
รุ่นแวกอน ซึ่งมีพื้นที่ด้านหลังรถ ยื่นต่อท้ายออกไป อันมีส่วนช่วยในเรื่องของการกระจายตัวของเสียง
สำหรับผมแล้ว คุณภาพเสียงที่ออกมา ถือว่ารับได้ และค่อนข้างดีมากๆ แต่มันอาจจะไม่ได้ดีเท่าชุด
เครื่องเสียงแบบ Premium Performance ซึ่งมีราคาแพงกว่านี้แน่ๆ
ช่องเก็บของพร้อมฝาปิดฝั่งผู้โดยสารตอนหน้า ด้านซ้าย มีขนาดลึกพอสมควร จุเอกสารประจำรถ
ทั้งคู่มือผู้ใช้รถ เอกสารกรมธรรม์ประกันภัย และทะเบียนรถแล้ว ยังมีพื้นที่เหลือ ใส่ข้าวของจุกจิก
อื่นๆได้สบายๆ
พร้อมกันนี้ยังมีการติดตั้งหน้าจอ มอนิเตอร์ สี 7 นิ้ว ที่เรียกว่า Volvo Sensus แสดงข้อมูล เครื่องเสียง
การปรับระดับเสียง การปรับตั้งอุปกรณ์ต่างๆภายในรถ (โหมด MY CAR) และโทรศัพท์ แสดงภาพ
ด้านหลังขณะถอยจอดจากกล้องช่วยจอดด้านหลัง แถมยังต่อเชื่อมเพื่อทำงานร่วมกับเครื่องเล่น DVD
Digital TV ฯลฯ ได้อีกด้วย
จอมอนิเตอร์แบบใหม่นี้ มีรูปแบบการใช้งาน ของเมนู ลักษณะ ซ้าย ไป ขวา แบบเดียวกับ ระบบ
iDrive Generation 2 ของ BMW ซึ่งช่วยให้การใช้งานจริง สะดวก และไม่สับสน เมื่อเทียบกับ
ระบบ COMMAND ของ Mercedes-Benz ที่จะต้องใช้วิธี เลื่อนขึ้น – ลง และผสม ซ้าย – ขวา
ไปพร้อมกัน
คุณสามารถ เลื่อนเมนู ไปปรับตั้งค่าของระบบต่างๆ ในรถได้ ซึ่งมีเมนูให้เลือกมากมาย แต่ที่เซ็ง
ก็คือ จนป่านนี้ Volvo ยังไม่มีระบบนำทาง GPS Navigation มาให้ ทั้งที่รถยนต์ในระดับราคานี้
ควรมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานได้แล้ว ซึ่งก็พอเข้าใจอยู่ว่า ปริมาณรถยนต์ Volvo ในบ้านเรา
ตอนนี้ มันยังไม่มากพอให้ทำระบบนี้ขึ้นมาจนเกิดความคุ้มค่าในภาพรวม ก็คงต้องรอกันอีก
สักพักใหญ่ๆ
นอกจากนี้ จอมอนิเตอร์ ยังทำหน้าที่แสดงผลจากกล้อง ขนาดเล็ก ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ แถมยังมี
เซ็นเซอร์ กะระยะถอยหลังมาให้อีก เสียงดัง ปุ๊กๆๆๆ คือ กะว่า งานนี้ ถ้าถอยแล้วยังชนอีก คนขับ
ก็สมควรจะต้องไปสอบใบขับขี่ใหม่ได้แล้ว แถบสีเหลือง บนหน้าจอ สามารถหักเหได้ ตามแนว
การหมุนของพวงมาลัยรถอีกด้วย ช่วยให้การกะระยะถอยหลังเข้าจอด แม่นยำยิ่งขึ้น
มองไปข้างๆลำตัวผู้ขับขี่ กล่องเก็บของที่ต่อเชื่อมจาก คอนโซลกลาง ด้านบน บุด้วยหนังแบบเดียวกับ
หนังหุ้มเบาะ ให้สัมผัสที่ลื่น เนียน นุ่ม เหมือนกับใน Volvo S80 แถมยังวางแขนได้พอดีเป๊ะ เมื่อเปิด
ฝาด้านบนออกจะพบกล่องใส่ CD ขนาด แค่พอดีกับกล่อง CD มาตรฐาน ไม่เหมาะกับ แพ็คเก็จ CD
แบบประหลาดๆ ทั้งหลายทั้งปวง มีช่องเสียบ USB และ AUX ถูกซ่อนเอาไว้ นอกจากนี้ มีช่องเสียบไฟ
12V และช่องใส่แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พร้อมไฟสีเขียวส่องสว่างมาให้ด้วยอีกต่างหาก มีฝาปิดแบบเลื่อน
เพื่อความสวยงาม เหมือนกับ S60 ทุกรุ่น ทุกประการ
ทัศนวิสัย ด้านหน้า ก็ยังคงชัดเจนดี เหมือนกับ S60 ทั้ง 2 คันที่ผมเคยลองขับก่อนหน้านี้ คุณยัง
เห็นฝากระโปรงหน้าได้อีกนิดหน่อย ขณะขับรถ แม้ว่าจะปรับตำแหน่งเบาะรองนั่ง ให้ต่ำลงสุดก็ตาม
อาจรู้สึกได้บ้าง ในบางขณะว่า กะระยะในการจอดรถแบบหัวรถทิ่มเข้าช่องจอดยากนิดนึง แต่ไม่ต้อง
กังวลเพราะมีเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด เป็นตัวช่วย ร้องเสียงดังฟังชัด แอบน่ารำคาญ ให้รับรู้
ข้อสังเกตก็คือ การถ่ายภาพในมุมนี้ จะช่วยให้คุณเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ตำแหน่งของชุดมาตรวัด กับ
หน้าจอมอนิเตอร์ขนาด 7 นิ้ว ของระบบ Sensus ถูกติดตั้งไว้ ในแนวระนาบเดียวกัน สะดวกต่อการ
ละสายตาลงมาอ่านข้อมูลของผู้ขับขี่ ในช่วงเสี้ยววินาที ก่อนกลับไปตั้งใจมองถนนข้างหน้าต่อไป
มองมาทางขวามือ เยื้องจากด้านหน้าเล็กน้อย เสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งขวา ยังคงมีการบดบัง ขณะ
เข้าโค้งทางขวามือ บนถนนสวนกันสองเลน นิดหน่อย กระจกมองข้างฝั่งขวา มองเห็นทิศทางของรถที่
มาจากด้านหลังฝั่งขวาได้ดีพอสมควร แต่ขอบฝั่งขวาจะถูกพื้นที่ของกรอบพลาสติกด้านใน บดบังพื้นที่
การมองเห็นไปบ้าง หากปรับปรุงได้ น่าจะดีขึ้นกว่านี้
ส่วนเสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งซ้าย แม้ว่าจะมีการลดขนาดความหนาของเสาหลังคาลงไปจากรุ่นเดิม
แล้วก็ตาม แต่การบดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยวกลับ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับว่า คุณปรับเบาะนั่ง
ของคุณ ให้เลื่อนเข้าใกล้ หรือถอยห่างจากพวงมาลัยมากน้อยแค่ไหน ถ้าปรับดีๆ ก็แทบจะไม่บังเลย
แต่ถ้ามันบังเมื่อใด แสดงว่า คุณอาจจะปรับตำแหน่ง เบาะนั่งไม่ถูกต้องกับสรีระของคุณเอง
กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ยังคงติดตั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ BLIS (Blind Spot Information
System) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทุกคัน จะมีกล้องอินฟาเรดใต้กระจกมองข้าง หันไปทางด้านหลังรถ
จับภาพรถที่แล่นตามมาข้างๆ แล้วแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟสีอำพัน ขึ้นอยู่กับว่า จักรยานยนต์
หรือรถยนต์แล่นมาทางฝั่งซ้าย หรือขวา ก็จะมีไฟสัญญาณแจ้งเตือนขึ้นมา ที่่กระจกมองข้างฝั่งนั้นแทน
ระบบนี้จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งมีสวิชต์ ปิด-เปิด ระบบที่แผงควบคุม
ด้านล่างใกล้คันเกียร์ และถ้า ไฟ BLIS กระพริบถี่ๆ แสดงว่าระบบอาจติงต๊อง วิธีแก้คือ ปิดระบบทิ้ง แล้ว
หาทางดับเครื่องยนต์ ก่อนจะติดเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง เพื่อ Reset การทำงานของระบบ เพียงเท่านี้ระบบ
BLIS ก็จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ
ในรถคันที่เราทดลองขับ ระบบ BLIS มีอาการ เอ๋อ ปรากฎขึ้น 1 ครั้ง กระพริบถี่ๆ แล้วขึ้นสัญญาณเตือน
บนมาตรวัดว่า เซ็นเซอร์ของระบบ BLIS Error ซึ่งผมก็ใช้วิธีการเดิม คือ หาทาง จอดรถ ดับเครื่องยนต์
แล้วก็ ติดเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างก็กลับเป็นเหมือนเดิม
ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น ชวนให้นึกถึง Volvo C30 ขึ้นมาเล็กๆ คือเหมือนว่าจะดี แต่หลังคาที่ดูเหมือน
ว่าจะเตี้ย ช่วยบีบให้พื้นที่กระจกดูมีเหลือน้อย แต่กระจกหน้าต่างบานประตูหลัง ก็ทำให้มองเห็นรถยนต์
ที่แล่นตามมาชัดเจนดี ส่วนกระจกหน้าต่าง บานหลัง D-Pillar นั้น ต่อให้จะพับพนักพิงลงไป หรือตั้งไว้
อย่างนี้มันก็มีค่าเท่ากัน เพราะเสาหลังคาด้านหลังสุดนั้น ออกแบบให้แค่พอจะเหลือบไปเห็นจักรยานยนต์
ที่แล่นมาขนาบด้านข้าง ไม่ได้เห็นแบบโปร่งโล่ง อย่างที่ Volvo V70 รุ่นเดิมเคยเป็นมาแต่ก่อน
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
เครื่องยนต์ที่ติดตั้งลงใน V60 เวอร์ชันไทย มีเพียงแบบเดียว และมันก็มีหน้าตาเหมือนกันกับขุมพลังที่
วางอยู่ใต้ฝาประโปรงหน้าของ Volvo S60 1.6 DRIVe ชนิดที่ไม่ต้องเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง ก็รู้ได้เลย
ว่า นี่คือเครื่องยนต์เดียวกัน เป๊ะ! มีขนาดเล็กลงจากเครื่องยนต์ของ Volvo ในยุคก่อนๆ ทั้งโดยลักษณะ
กายภาพ และความจุกระบอกสูบ แต่ยังคงให้สมรรถนะที่จัดจ้านไม่แพ้กัน
เครื่องยนต์นี้ มีรหัสรุ่น B4164T2 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,596 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 79 x 81.4
มิลลิเมตร กำลังอัด 10.0 : 1 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ Integrated Fuel SFI เรียงลำดับการจุด
ระเบิดตามกระบอกสูบ 1 – 3 – 4 – 2 รอบเดินเบาอยู่ที่ 750 รอบ/นาที เพิ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรก กับรถยนต์
S60 และ V60 รุ่นปี 2012 (และออกสู่ตลาดโลกเมื่อช่วงปลายปี 2011 มานี้เอง) เรียกได้ว่า หอมกรุ่นจากเตา
กันเลยทีเดียว
จุดเด่นของเครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่นี้ อยู่ที่การลดความจุกระบอกสูบลง แต่ใช้ระบบอัดอากาศ Turbocharger
แบบ Full Pressure มาช่วย และมีการปรับปรุงเครื่องยนต์ภาพรวม เพื่อลดแรงเสียดทานลงให้น้อยที่สุดเท่าที่
จะเป็นไปได้ ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องยนต์รุ่นนี้ยังถูกออกแบบมาให้ สามารถเติมน้ำมันได้ทั้ง เบนซิน 95 ทั่วไป
แก็สโซฮอลล์ 95 (E10) แก็สโซฮอลล์ E20 จนถึง แก็สโซฮอลล์ E85 ได้ด้วย
กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (HP) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ( 24.45 กก.-ม.) ที่ รอบเครื่องยนต์
ตั้งแต่ 1,600 – 5,000 รอบ/นาที อย่างไรก็ตาม การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ (CO2) นั้น หากเป็นรุ่น S60 แม้
ค่าจะต่ำเพียง 126 กรัม / 1 กิโลเมตร ซึ่งต่ำเกือบเท่ากับ รถยนต์ ECO Car ที่มีขายกันอยู่ในบ้านเรา แทบทุกรุ่นทั้ง
Nissan March , Honda Brio , Mitsubishi Mirage และ Suzuki Swift ใหม่ แต่ ใน V60 ตัวเลขจากโรงงาน ยืนยัน
ว่า ถ้าคุณเติมน้ำมันเบนซินปกติ จะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 173 กรัม / กิโลเมตร แต่ถ้าเติมน้ำมันแก็สโซฮอลล์ E85 ซึ่งมี
เอทานอล ผสมอยู่ ร้อยละ 85 ของเนื้อน้ำมันทั้งหมด ก็จะลดลงมาอยู่ที่ 167 กรัม / กิโลเมตร
และ..เราก็คงต้องย้ำกันอีกครั้งหนึ่งว่า เครื่องยนตฺ์ที่เห็นอยู่นี้ แท้จริงแล้ว มันเป็นเครื่องยนต์ของ Ford ที่ผลิตออก
จำหน่ายมาได้สักพักหนึ่งแล้ว โดยติดตั้งใน Ford Focus 2012 รุ่นใหม่ ในตลาดโลก แถมยังเป็นเครื่องยนต์ใน
ตระกูล Ford ECO Boost ที่ Ford ในยุโรป พยายามโปรโมท ถึงสมรรถนะ ที่มาพร้อมความประหยัดน้ำมัน (และ
นี่อาจเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ Volvo เอง ก็ไม่สามารถโฆษณาในเรื่องของสมรรถนะจากเครื่องยนต์บล็อกนี้ได้
มากเท่าที่สมควร)
อย่างไรก็ตาม ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายเกี่ยวกับเครื่องยนต์บล็อกนี้ มาอัพเดทให้คุณทราบเพิ่มเติม ข่าวดีก็คือ ถ้า
อยากใช้เครื่องยนต์นี้ Ford จะพามันมาประจำการใน Focus รุ่นใหม่ ที่เปิดตัวแล้วในเมืองไทย (แต่ยังไม่พร้อม
ส่งมอบ จนกว่าจะผ่านพ้นเดือนกรกฎาคม 2012 ไปแล้ว) ส่วนข่าวร้ายก็คือ กว่าจะมา ก็อาจต้องรอไปถึงปี 2014!!
นานไปหน่อยไหม?
ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ของ GETRAG รุ่น MPS 6 – 7 Power Shift Dual Clutch ซึ่งก็เป็น
เกียร์ลูกเดียวกันกับที่เคยประจำการอยู่ใน S60 2.0 T และ 1.6 DRIVe นั่นแหละ แต่เป็นเกียร์คนละลูกกับที่เกียร์
ที่ประจำการอยู่แล้วใน Volvo S40 และ Ford Focus TDCi รุ่นปี 2009 – 2012 ดังนั้น อัตราทดเกียร์ และเฟืองท้าย
ก็เลยเหมือนรุ่น S60 ใหม่เช่นกัน ดังนี้
เกียร์ 1 3.818
เกียร์ 2 2.150
เกียร์ 3 1.407
เกียร์ 4 1.029
เกียร์ 5 1.188
เกียร์ 6 0.971
เกียร์ R 5.284
อัตราทดเฟืองท้าย 3.933 (เกียร์ 1-4)
2.682 (เกียร์ 5-6 + R)
หลักการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ ลูกนี้ คือมีชุดเกียร์ 2 ชุดพร้อมคลัทช์คู่แบบเปียกที่ทำงานแยกกันโดยอิสระ
ชุดที่ 1 จะควบคุมการทำงานของเกียร์ 1, 3, 5 และเกียร์ถอยหลัง ส่วนอีกชุดหนึ่งจะควบคุมการทำงานของเกียร์
2, 4, 6 โดยแต่ละชุดจะสลับกันทำงาน
เมื่อออกรถเรียบร้อยแล้วในเกียร์ 1 คลัทช์ชุดที่สองจะเข้ารอที่เกียร์ 2 ทันที เมื่อเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ 2 แล้ว คลัทช์
ชุดแรกจะไปรออยู่ที่เกียร์ 3 สลับกันไปเรื่อยๆ การที่มีคลัทช์ 2 ชุดทำงานสลับกันเช่นนี้ทำให้เครื่องยนต์สามารถ
ส่งกำลังต่อเนื่องไม่มีขาดตอน ไม่ต้องมีทอร์กคอนเวอร์เตอร์และไม่เกิดการเสียแรงบิด จึงเปลี่ยนเกียร์ได้อย่าง
รวดเร็ว ราบรื่น และรักษาอัตราเร่งได้อย่างต่อเนื่องขณะที่มีการเปลี่ยนเกียร์
แล้วสมรรถนะจะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง?
เรายังคังจับเวลาด้วยวิธีการเดิม นั่นคือ ใช้เวลากลางคืน บนเส้นทางที่ไม่ค่อยมีรถพลุกพล่าน ปราศจากผู้คน
ในมาตรฐาน เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า และนั่ง 2 คน ผู้จับเวลาให้เรา ยังคงเป็นคุณกล้วย BnN แห่ง The Coup
Team ของ Headlightmag.com เรานั่นละ ตัวเลขที่ออกมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นเดิม มีดังนี้
พอลองจับเวลากันแล้ว ผมพบว่า การมีน้ำหนักพ่วงท้ายด้านหลังเพิ่มเข้ามาอีก ของ V60 นั้น อาจทำให้
ตัวเลขอัตราเร่ง ด้อยลงไปกว่าเดิม แค่เพียงราวๆ 0.4 – 0.6 วินาที โดยประมาณ แต่นั่นเป็นความแตกต่าง
ที่แทบจะไม่แตกต่างกันเท่าใด หากมาเปรียบเข้ากับการขับขี่ใช้งานจริง
ส่วนตัวเลขเปรียบเทียบกับคู่แข่งคันอื่นๆ ที่ใช้ตัวถัง Sedan และ Coupe 2 ประตูนั้น ชัดเจนครับว่า
ยังไงๆ เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo ของ Volvo ก็จะทำผลงานออกมาได้ด้อยกว่าเครื่องยนต์ เบนซิน
หรือ Diesel ของคู่แข่งทั้งหลายอยู่ดี
แต่อยากให้นึกไว้สักนิดนึงครับ ตัวเลขที่เห็นว่าเร็วกว่าทั้งหมดนั้น มาจากเครื่องยนต์ ที่มีความจุ
กระบอกสูบ โตกว่า Volvo 1.6 DRIVe รุ่นนี้ทั้งสิ้น! ดังนั้น การที่ตัวเลขของทั้ง S60 และ V60 จะ
ทำได้ออกมาในระดับที่เห็นนี้ ถือได้ว่า แทบจะเทียบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบรรดาคู่แข่งเขาได้เลย
อย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับบรรดารถยนต์ญี่ปุ่น ในพิกัดเครื่องยนต์ เดียวกัน หรือในกลุ่ม C-Segment
ไม่เกิน 2,000 ซีซี ด้วยแล้ว ตัวเลขที่ได้ออกมานี้ ถือว่า ทำได้เยี่ยมไปเลย
เพราะในแง่ของสัมผัสจากการขับขี่จริง ในช่วงออกตัว หรือจะเป็นช่วงเร่งแซง V60 แทบไม่ต่าง
จาก S60 1.6 DRIVe เลย และที่น่าแปลกใจก็คือ มีอาการ Torque Steer เกิดขึ้น “ทุกครั้ง”
ขณะออกตัว มาให้ผมได้งุนงงกันเล่นๆ ว่ามีกับเขาด้วยเหรอเนี่ย? ทั้งที่ ช่วงทำอัตราเร่งจาก 0 – 100
กิโลเมตร/ชั่วโมง กลับแทบไม่พบความแตกต่างกันมากนัก
คันเร่งมีจังหวะหน่วงเล็กๆ แต่ก็ไม่ช้าอย่างที่ควรเป็น ตอบสนองไวกว่า Volvo รุ่นอื่นๆ ทันที
ที่คุณพร้อมจะเหยียบคันเร่งลงไป รถก็พร้อมจะพาคุณพุ่งออกไป พร้อมล้อหมุนฟรีนิดๆ ด้วย
เช่นกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงบิด ที่มาในลักษณะของ Flat Torque คือ แรงบิดสูงสุด ไหลมา
เทมา อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ระดับ 1,500 รอบ/นาที บูสต์ ของ Turbo เอง ก็มาไว
แรงบิด 240 นิวตันเมตร ก็จะพาคุณ พุ่งแซงขึ้นไป อย่างรวดเร็ว ทันใจ หายห่วง เพียงพอ และ
ทิ้งรถคันที่คุณเพิ่งจะแซงมา ไว้เป็นเพียงจุดเล็กๆ บนกระจกมองหลัง ได้ในเวลาเพียงไม่กี่
วินาทีหลังจากนั้น แถมยังมีแรงบิดให้คุณเรียกใช้ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 5,000 รอบ/นาที
ความเร็วช่วงปลาย จะยังไหลลื่น จนกระทั่งถึงระดับเลย 5,000 รอบ/นาทีขึ้นไป ก็จะเริ่มเหี่ยว
เพราะแรงบิดสูงสุด ถุกเรียกมาใช้จนเต็มกำลังของมันแล้ว นิสัยของเครื่องยนต์ ก็ไม่ต่างจาก
S60 1.6 DRIVe เลยนั่นเอง
การเก็บเสียง ก็ยังคงทำได้ดี ในทุกรูปแบบสภาพเส้นทาง หรือสภาพแวดล้อมรอบข้าง จนกระทั่งถึง
ความเร็ว เกินกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป เสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถ จะเริ่มเข้ามามากกว่า
ระดับความเร็วต่ำกว่านี้นิดนึง แต่ยังก็ไม่ก่อความรำคาญใดๆ ให้กับผู้โดยสาร จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่
สู่ความเร็ว ระดับ 160 – 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปนั่นละครับ กระแสลม จะไหลผ่านตัวรถเร็วขึ้น
เสียงของกระแสลม ที่ไหลผ่านตัวรถ ก็จะดังเพิ่มขึ้นเป็นเรื่องปกติ
ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronics
Power Steering) บอกได้เลยว่า นี่คือพวงมาลัย Volvo คันที่ 4 ซึ่งผมชื่นชอบมาก ต่อจาก S60 รุ่นก่อน
และ C30 เป็นพวงมาลัยที่ปรับตั้งมาเพื่อเอาใจคนชอบขับรถโดยแท้
ต้องบอกกันก่อนว่า คุณสุภาพสตรี ที่ชอบพวงมาลัยเบาๆ หวิวๆ เลี้ยวง่ายๆ อาจจะต้องทำใจนะครับ พวงมาลัย
ของทั้ง V60 และ S60 ใหม่ อาจทำให้คุณต้องออกแรงหมุนพวงมาลัยเพิ่มขึ้นจาก Volvo ทั่วๆไป สักหน่อย
พวงมาลัยจะหนืดในแบบที่คุณสุภาพสตรี อาจไม่ชอบนัก
แต่สำหรับคนชอบขับรถ อย่างผม หรือ The Coup Team ของเรา จะชื่นชอบพวงมาลัยแบบนี้กันมาก แม้ในช่วง
ความเร็วต่ำ ขับขี่ในเมือง พวงมาลัยอาจจะหนืดนิดนึง แต่เมื่อคุณขับออกถนนใหญ่แล้ว คุณจะพบว่า พวงมาลัย
ยังคงหนืดกำลังดี มั่นใจ และแม่นยำใช้ได้ มีระยะฟรี นิดหน่อย บังคับเลี้ยวไม่หนักไม่เบาเกินไป ยิ่งเมื่อไต่
ความเร็วขึ้นไปสูงๆ พวงมาลัยจะให้ความหนักแน่น มั่นคง ตึงมือ On Center Feeling ดีมากๆ และยิ่งในช่วง
ที่ต้องใช้ความเร็วสูงๆ ผมกลับไม่รู้สึกเครียดใดๆ ในการบังคับรถเลย มันนิ่งดี และไม่วอกแวกให้หวาดเสียว
ตั้งแต่เจอพวงมาลัยเพาเวอร์ปรับด้วยไฟฟ้า มา ผมอยากให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ มาศึกษาน้ำหนักพวงมาลัย
ของ Volvo V60 ใหม่ S60 ใหม่ รวมทั้ง C30 และ ตระกูล Volkswagen กับ Saab รุ่นหลังจากปี 1998
เอาไว้ได้เลย นี่ละ คือพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า ที่คนชอบขับรถนักขับรถทุกเพศทุกวัย จะชื่นชอบกันละ!
เพราะในชีวิตประจำวันแล้ว พวงมาลัยแบบนี้ จะหนืดกำลังดี เบาพอประมาณ ให้สัมผัสได้ว่า ตนเองกำลังขับ
รถยนต์ที่ขับสนกอยู่
อ้อ รถคันนี้ ไม่มีเสียงของมอเตอร์ไฟฟ้า ดังเข้ามาให้กวนใจมากเท่า S60 1.6 DRIVe นะครับ อาจจะยังพอ
มีเสียงอยู่บ้าง แต่ไม่มากเท่า
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง แบบ Multi-Link คอยล์สปริง 4 ล้อ เสริมด้วยระบบ
ควบคุมการทรงตัว Advanced Stability Control มีเซ็นเซอร์ ตรวจสอบทั้งการโคลงตัวของรถ และอัตราเร่ง
เพื่อตรวจจับการลื่นไถล ตั้งแต่เริ่มลื่น และพยายามชดเชยแรงบิดไปยังล้อที่หมุนน้อยกว่า ให้เหมาะสม
ทำงานร่วมกับ ระบบควบคุมการทรงตัวและยึดเกาะถนน DSTC (Dynamic Stability and Traction Control)
ช่วยควบคุมการทรงตัว ลดโอกาสที่รถจะเกิดอาการท้ายปัด หมุน หรือพลิกคว่ำ อีกทั้งยังสามารถเลือกกดปุ่ม
Sport Mode หากผู้ขับต้องการความสนุกในการขับขี่เพิ่มขึ้น โดยระบบจะยอมให้ล้อหลังสามารถหมุนฟรี
ได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
รวมทั้งมีระบบควบคุมการเข้าโค้งการกระจายแรงบิด (Corner Traction Control by Torque Vectoring)
ถือเป็นการพัฒนาระบบ DSTC ให้ดีขึ้น เมื่อเข้าโค้ง ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะเบรกพร้อมกับถ่ายทอดกำลัง
ไปยังล้อที่อยู่ด้านนอกมากขึ้น ทำให้ผู้ขับสามารถเข้าโค้งในวงแคบได้มากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิด
อาการดื้อโค้งด้วย
ในช่วงความเร็วต่ำ ช่วงล่างของ S60 ใหม่ จะให้ความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง แต่ความสะเทือนนั้น กลับกลายว่า
เป็นความ “ตึงตังพอเป็นพิธี” พอให้รู้ว่า ข้าเป็น Sport Wagon นะ เพราะช่วงล่าง ซับแรงสะเทือนจากพื้นถนน
ไว้ แล้วส่งผ่านมาให้ผู้ขับขี่สัมผัสผ่านทางพวงมาลัย ในระดับกำลังดีรขณะที่ เบาะรองนั่ง จะช่วยซับแรงสะเทือน
ไว้อีกขั้นหนึ่ง ถ้าให้เทียบกับ S60 แล้ว ช่วงล่างจะนุ่ม หนึบ และมั่นใจกว่า S60 1.6 DRIVe รวมทั้ง 2.0 T นิดนึง
ซึ่งน่าจะช่วยลดทอนเสียงบ่นว่า แข็งไปนิด จากลูกค้า Volvo ที่คุ้นเคยกับความนุ่มนวลของรถรุ่นเก่าๆ ลงได้บ้าง
แต่ต้องสังเกตจริงๆ จึงจะพบว่า ช่วงล่าง V60 ต่างจาก S60 เพราะความแตกต่างนั้น มันน้อยมากๆ ความสะเทือน
ที่รับรู้ได้นั้น กำลังดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แถมยังให้ความอภิรมณ์ในการขับขี่ ในตรอก ซอกซอยใช้ได้อยู่
แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณพา V60 1.6 DRIVe ขึ้นทางด่วน หรือออกต่างจังหวัด คุณจะพบความนิ่ง แน่น และแม่นยำ
แถมยังไม่พบอาการหน้าลอย เหมือนอย่างที่เจอใน S60 ใหม่ ทั้ง 2 คันก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ เป็นเรื่องแปลกดี
งานนี้ ถือว่า ช่วงล่างของ V60 ทำได้ดีมากกว่าที่คิด ยิ่งผสานกับ พวงมาลัยที่นิ่ง และมีเสถียรภาพดี ก็ยิ่งช่วยลด
ความเกร็งกังวล ในการเดินทางด้วยความเร็วสูงๆ จนหายไปเกลี้ยง!
ยิ่งถ้าใครที่ชอบเล่นโค้งด้วยละก็ คุณจะประทับใจในช่วงล่างของ V60 ที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจผู้รักการขับขี่
เป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันจับพลัดจับผลู ต้องแต่งงาน และมีครอบครัว เพราะจากที่ผมลองเล่นโค้งบนทางด่วน
ในตอนดึกๆ หลังเที่ยงคืนไปแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่รถจะโล่งมาก ในบางโค้ง V60 อาจจะทำความเร็วในโค้ง
ได้ไม่เทียบเท่า S60 แต่ก็ลดหลั่นลงมาแค่ไม่มากนัก เพราะในบางโค้งที่ S60 ทำได้ ในระดับ 100 กิโลเมตร
/ชั่วโมง V60 จะทำได้ที่ 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งมันก็ไม่ได้หนีหรือแตกต่างกันมากมายเลย
สงสัยผมต้องเพิ่ม รถคันนี้ เข้าไปเป็น Volvo คันที่ 4 ที่ทำให้ผมใช้ชีวิตอยู่บนทางโค้ง ได้สนุกอีกคันหนึ่ง
นอกเหนือจาก C30 2.4 ลิตร ที่สวมยาง Piralli P Zero Rosso , S60 D5 รุ่นเก่า และ S60 รุ่นใหม่ล่าสุด
สรุปว่า ระบบกันสะเทือน ของ V60 ดีแล้ว ไม่ต้องไปปรับตั้งปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นเชียวละ!
ระบบห้ามล้อเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ จานเบรกหน้า มีขนาดเส้นผ่าศนย์กลาง แตกต่างกันไปตามแต่ละ
ประเทศที่ส่งเข้าไปขาย เช่นเดียวกับ S60 โดยเวอร์ชันไทยนั้นน่าจะอยู่ที่ 300 มิลลิเมตร มีรูระบายความร้อน
มีความหนา 28 มิลลิเมตร ส่วนจานเบรกคู่หลัง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 302 มิลลิเมตร ส่วนความหนา หาก
เป็นรุ่นจานเบรกธรรมดา จะหนา 11 มิลลิเมตร แต่ถ้ามีรูระบายความร้อน จะหนา 28 มิลลิเมตร เช่นกัน
มีระบบตัวช่วยด้านความปลอดภัยในการทรงตัวต่างๆประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-Lock
Braking System) ระบบกระจายแรงเบรกตามน้ำหนักบรรทุก EBD (Electronics Brake Force
Distribution) ระบบเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกในภาวะฉุกเฉินที่ต้องเหยียบเบรกกระทันหันแบบไฟฟ้าหรือ
EBA (Electronics Brake Assistance) ที่ทำงานสร้างแรงเบรกในขณะเหยียบแป้นเบรกไว้คงที่ได้ดี
การตอบสนองของระบบเบรกในภาพรวม ก็ยังคงให้ความมั่นใจได้ดีเหมือนเช่นใน S60 แป้นเบรกให้การ
ตอบสนองที่ต่อเนื่อง Linear ดีมาก ในภาพรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากต้องชะลอความเร็วของรถในช่วงเกิน
200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ลงมาอย่างรวดเร็ว ระบบเบรกของ V60 ให้ความมั่นใจได้ดีมาก แม้ในช่วงต้องชะลอ
ความเร็วในขณะเข้าโค้ง กระจายแรงดันน้ำมันเบรกไปยังล้อที่เหมาะสม ตามที่ได้ปรับตั้งมา ในขณะคลาน
ไปตามสภาพการจราจรติดขัดในเมือง ระบบเบรกจะยังให้ความนุ่มนวลกว่า S60 นิดหน่อย เพราะการชะลอ
ให้รถหยุดแบบนิ่มๆ ชนิดไม่มีอาการ “กึก” ส่งท้ายก่อนรถจะหยุดนิ่ง ทำได้ง่ายกว่า S60 อย่างน่าแปลกใจ
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัยเชิงป้องกัน ที่ติดตั้งมาให้นั้น แทบไม่ต่างจาก S60 2.6 DRIVe เลยประกอบไปด้วย
ระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ กับระบบแจ้งเตือนระยะห่างจาก
รถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert หรือ ACC) ช่วยให้
ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างเพื่อความปลอดภัยจากรถคันหน้าในทุกระดับความเร็ว จนถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใน
การจราจรที่เคลื่อนตัวช้าที่ระดับความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติ
จะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดีกับคันหน้า จากรถที่หยุดอยู่กับที่ เพียงกดปุ่มหรือเหยียบคันเร่ง คุณก็
สามารถขับตามคันหน้าได้อย่างนุ่มนวล และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็สามารถตั้งความเร็ว
ที่ต้องการและ Time Gap หรือช่วงระยะวลาน้อยสุดที่รถจะวิ่งไปถึงคันหน้าได้บนพวงมาลัย ระบบจะปรับ
ความเร็วให้สอดคล้องกับคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าคุณผู้อ่าน ขับรถเข้าใกล้รถคันหน้า
มากเกินไป
ระบบเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงการชน และหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก (Collision Warning with Full Auto Brake)
ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ขณะขับขี่บนถนนไฮเวย์โดยเฉพาะ สามารถรับรู้และเตือนผู้ขับขี่ก่อนเกิดอุบัติเหตุ
ภายในระยะ 150 เมตร Redar Sensor บนกระจังหน้าและดิจิตอลที่อยู่บนกระจกบังลมหน้าจะตรวจจับ
ระยะห่างระหว่างรถ V60 1.6 DRIVe กับรถคันข้างหน้า
หากรถคันหน้าหยุดกะทันหัน และระบบ Collision Warning ประเมินว่าอาจเกิดการชน ระบบจะส่งเสียง
สัญญาณ และไฟกระพริบสีแดงบนกระจกบังลมหน้า เพื่อเตือนผู้ขับขี่ และจะสั่งให้ระบบเบรกทำงาน
ในระดับหนึ่งเพื่อช่วยผ่อนแรงผู้ขับขี่ในการเหยียบเบรกให้รถหยุดทันท่วงที หากผู้ขับไม่เหยียบเบรก
ฟังก์ชั่น Auto Brake จะหยุดรถโดยทันที และเปิดสัญญาณไฟกระพริบฉุกเฉินเพื่อเตือนรถคันที่ตามหลัง
ให้ระวังตัว
และเมื่อขับขี่ในตัวเมือง ด้วยความเร็วต่ำ จะมีตอีกตัวช่วย คือระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบเบรก
แบบเต็มแรงเบรก (Pedestrian Detection with Full Auto Brake) สามารถตรวจจับได้ว่ามีคน
เดินเข้ามาในทิศทางเดียวกันกับรถ และจะหยุดรถอัตโนมัติถ้าคนขับไม่เบรกอย่างทันท่วงที
ระบบนี้ประกอบด้วย Redar ที่ติดตั้งอยู่บนกระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และ
กล่องควบคุมระบบ Redar จะตรวจจับภาพมุมกว้าง 60 องศาทางด้านหน้ารถว่ามีวัตถุอยู่ในรัศมีหรือไม่ และ
วัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้องก็จะยืนยันว่าวัตถุนั้นเป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา
หรือไม่ โดยที่เรดาร์สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน กล้องรุ่นใหม่นี้มีความละเอียด
สูงกว่ารุ่นเดิมมาก ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย ระบบนี้ติดตั้ง
เป็นอุปกรณ์มาตรฐานและทำงานเมื่อรถวิ่งด้วยความเร็วต่ำกว่า 35 กม./ชม.
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณเตือน “ปรึ๊..บ ปรึ๊…บ” พร้อมกับเห็นไฟ LED สีแดง
กระพริบที่ด้านบนของแผงหน้าปัด สะท้อนขึ้นไปยังกระจกบังลมหน้ารถ เพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยา
ทันที ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะเตรียมพร้อมไว้ หากผู้ขับขี่ไม่เหยีบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณ
เตือน แต่ระบบคำนวณว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ ระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะทำงานทันที
และระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) จะสั่งหยุดรถเองโดยอัตโนมัติหากผู้ขับขี่
ไม่ได้เหยียบเบรกอย่างทันการณ์เมื่อรถคันหน้าลด ชะลอความเร็วหรือหยุดแบบกระทันหัน หรือเมื่อ
คนขับใช้ความเร็วมากเกินไปทำให้รถพุ่งเข้าหาวัตถุที่อยู่นิ่งๆ ข้างหน้า ระบบนี้จะช่วยลด หรือเลี่ยง
การเกิดอุบัติเหตุได้โดยเฉพาะการพุ่งเข้าชนรถคันหน้าเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ด้านความปลอดภัยเชิงป้องกัน Volvo V60 ก็ยังคงมีการออกแบบโครงสร้างตัวถัง และระบบเสริมต่างๆ
เพื่อลดโอกาสเสี่ยงการบาดเจ็บของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในกรณีเกิดการชนจากด้านหน้า
โครงสร้างเหล็กหลากชนิดของตัวรถจะช่วยกระจายแรงชนออกไปทั่วๆ และช่วยดูดซับแรงกระแทก ไม่ให้
เข้ามาถึงภายในห้องโดยสาร โครงสร้างด้านหน้าของ V60 ถูกแบ่งเป็น 4 Zone แต่ละ Zone ก็มีหน้าที่
แตกต่างกันในยามเกิดอุบัติเหตุ เครื่องยนต์ที่วางแนวขวางช่วยเพิ่มพื้นที่ว่างเพื่อรองรับการยุบตัวของตัวถัง
และช่วยลดความเสี่ยงที่ตัวถังจะยุบเข้ามาถึงห้องโดยสารเมื่อเกิดการชนด้านหน้า
Volvo V60 DRIVe มีเข็มขัดนิรภัยแบบปรับความตึงได้สำหรับทุกที่นั่ง มีระบบ Pre-prepared
Restraints (PRS) ที่ช่วยปรับการทำงานของถุงลมนิรภัย ขณะที่ระบบ load limiter จะช่วย
คำนวณและปรับแรงดึงกลับของเข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสม เพื่อให้การปกป้องสูงสุดสำหรับ
การเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง
นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆ อีกมากมาย ติดตั้งมาให้จากโรงงาน ได้แก่ ระบบกระจายแรง
กระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System – SIPS) ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่
เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System – WHIPS) ที่ช่วยลดความเสี่ยงจาก
การบาดเจ็บที่คอเมื่อรถถูกชนหลังในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจริง เช่น การชนจากด้านข้างทั้ง
2 ฝั่งของตัวรถ แกนพวงมาลัยให้ยุบตัวได้ โครงสร้างห้องโดยสารภายแบบดูดซับพลังงาน รวมทั้งการ
ออกแบบโครงสร้างด้านหน้า ให้ให้โค้งมน ไฟหน้าอยู่ในระนาบเดียวกับตัวถัง และพื้นที่บนฝากระโปรง
ด้านหน้าเป็นแบบดูดซับพลังงานทำหน้าที่เป็นโซนยุบตัว คานพลาสติกนุ่มที่กันชนหน้า ฯลฯ เพื่อช่วย
ลดการบาดเจ็บของคนเดินถนน ในกรณีที่ถูกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยโครงสร้างความปลอดภัยทั้งหมด ทำให้ Volvo V60 ผ่านมาตรฐานทดสอบการชนระดับ 5 ดาว จาก
EURONCAP โดยทำคะแนนการปกป้องผ้ขับขี่และผู้โดยสารได้ ร้อยละ 94 การปกป้องเด็กบนเบาะนั่ง
นิรภัยด้านหลัง ได้ร้อยละ 82 การปกป้องคนเดินถนน ร้อยละ 64 และ ระบบตัวช่วยความปลอดภัยต่างๆ
ทำคะแนนได้ 100% เต็ม!
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกอ่านได้ ที่ www.euroncap.com/results/volvo/v60.aspx?dontlaunchmobile=1
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
ถึงแม้ว่า เราจะเคยทำการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของ Volvo S60 ใหม่ อันเป็นพี่ชายร่วมโครงสร้าง
วิศวกรรม แถมยังใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร Turbo เหมือนกันด้วย แต่ ในเมื่อ มีน้ำหนักเพิ่มเติม จากบั้นท้าย
แบบ Station Wagon หรือ Estate ที่ยาวออกมาอีกเล็กน้อย ดังนั้น การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกัน
อีกครั้ง เลยกลายเป็นสิ่งจำเป็นไปโดยปริยาย เพราะจากประสบการณ์ที่ทำการทดลองนี้มาหลายปี สอนผม
ว่า เครื่องยนต์เหมือนกัน ครึ่งคันหน้าเหมือนกัน แต่ถ้าบั้นท้ายแตกต่างกัน ตัวเลข อาจออกมาไม่เหมือนกัน
เสมอไป
เรายังคงทำการทดลองหาความประหยัดน้ำมันกันด้วยวิธีดั้งเดิม คือขับรถไปเติมน้ำมันกันที่ สถานีบริการ
น้ำมัน Caltex ถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้าม เยื้องๆปากซอยอารีย์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ โดยเรายังคง
เติมน้ำมัน “เบนซิน 95” Techron กันเหมือนเดิมต่อไป โดยไม่เติม แก็สโซฮอลล์ เพราะเราใช้น้ำมันเบนซิน
95 ในการเก็บสถิติ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมาแล้วหลายปี ไม่อยากเปลี่ยนสูตรน้ำมันไปมาถ้าไม่จำเป็น
และเหมือนเช่นเดียวกับ S60 ทั้ง 2 คันก่อนหน้านี้ แม้ว่า V60 1.6 DRIVe ใช้เครื่องยนต์ ความจุ 1.6 ลิตร
แต่เนื่องจากรถยนต์รุ่นนี้ อยู่ในกลุ่ม Premium Compact ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญ ต่ออัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่มากเท่ากับกลุ่มรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 ซีซี จากญี่ปุ่น และ
กลุ่มรถกระบะ เราจึงเติมน้ำมันเพียงแค่ให้หัวจ่ายตัด ก็พอ ไม่ต้องเขย่ารถอัดน้ำมันกรอกเข้าไปให้เต็ม
เหมือนอย่างรถยนต์ทั้ง 2 กลุ่มที่กล่าวถึงไว้ เติมลงไปในถังน้ำมันขนาด 67.5 ลิตร ของ V60 สักขีพยาน
และผู้ร่วมทดลองกันในคราวนี้คือ น้อง โจ๊ก V10ThLnD แห่ง The Coup Team เจ้าเก่าของเราตามเคย
เติมน้ำมันเสร็จแล้ว เซ็ต 0 บน Trip Meter คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ แล้วออกรถช้าๆ
เลี้ยวกลับบนถนนพหลโยธิน ไปเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปออกปากซอย โรงเรียนเรวดี แล้วเลี้ยวขึ้น
ทางด่วนพระราม 6เดินทางไปยังปลายสุดทางด่วน สายอุดรรัถยา ที่ด่านบางปะอิน แล้วเลี้ยวกลับมา
ขึ้นทางด่วนเส้นเดิม โดยใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม
และคราวนี้ เราตัดสินใจเปิดใช้งานระบบ Redar Cruise Control เลี้ยงความเร็วเอาไว้ที่ 110 กิโลเมตร/
ชั่วโมง ซึ่งมีเพียง ครั้งเดียวเท่านั้น ที่ ระบบ Redar จำเป็นต้องทำงาน เนื่องจากมีรถขับช้า ขวางเลน
อยู่ข้างหน้า แค่นั้น
เมื่อเข้ากรุงเทพฯ เรามาลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน จากนั้น เลี้ยวกลับ
ที่สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ กลับเข้าไปเติมน้ำมัน เบนซิน 95 ที่ สถานีบริการน้ำมันของ Caltex เหมือนเดิม
และที่ หัวจ่ายเดิม
มาดูตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ที่ Volvo V60 1.6 DRIVe ทำได้กัน
ระยะทางที่แล่นไปบนมาตรวัด Trip Meter อยู่ที่ 91.3 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 6.18 ลิตร น้อยกว่ารุ่น S60 อยู่นิดหน่อย ไม่ถึง 1 ลิตร
คำนวนแล้ว ได้อัตราสิ้นเลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.82 กิโลเมตร/ลิตร
ทำไมมันประหยัดกว่ารุ่น S60 ขุมพลังเดียวกัน แถมยังเบากว่า??
เหตุลที่ง่ายมากในการอธิบายก็คือ ในการทดลองของรุ่น S60 เราเลี้ยงคันเร่ง
โดยไม่ได้เปิดระบบ Redar Cruiser Control แต่ใน V60 นั้น ผมเปิดให้ระบบนี้
ได้ทำงาน ซึ่งจะควบคุมองศาการเปิด – ปิด ของ ลิ้นปีกผีเสื้อ ดังนั้นจึงเลี้ยงรอบ
เครื่องยนต์ได้นิ่งกว่า นั่นเอง
แต่ถ้ามาวัดดูจากตัวเลขในกลุ่ม Premium Compact Car ทั้งหายที่เราเคยทำการทดลอง และเก็บ
ข้อมูลตัวเลขมาทั้งหมดจะพบว่า V60 1.6 DRIVe เอาชนะ พี่ๆน้องๆ ร่วมตระกูล Volvo ขนาด
กลาง ได้หมดครบทุกรุ่น แต่ ต้องยอมรับความจริงว่า ยังทำตัวเลขได้ด้อยกว่า Mercedes-Benz
C-Class Coupe C250 CGI Blue Efficiency กับ C250 CDI W204 รวมทั้ง BMW 320d
ซึ่ง ยังไงๆ ก็ทำตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองได้ดีกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า แต่ ตัวเลข 14.82 กิโลเมตร/ลิตร กับ
ตัวถังแบบ Wagon ก็ต้องถือว่า ทำได้ดีมากๆแล้ว เพราะน้ำมัน 1 ถัง จะพา V60 1.6 DRIVe
แล่นได้ในระยะทางประมาณ 600 กิโลเมตร ได้แน่ๆ ถ้าไม่ได้เหยียบคันเร่งแบบตีนผีเข้าสิง
********** สรุป **********
จ่ายเพิ่มอีก 1 แสน จาก S60 ตัวท็อป เพื่อ V60 คุ้มหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ วิถีชีวิตของคุณ
ตามปกติ ทุกครั้งที่ผมคืนกุญแจรถยนต์ทดลองขับ ให้กับทาง Volvo ผมมักจะโอดครวญเล็กๆ
ว่า “ผมไม่อยากคืน” จะด้วยคุณงามความดีของรถในด้านใดก็ตามแต่ ที่ชวนให้ระลึกถึง ไม่ว่า
จะมาก จะน้อย ก็ยังทำให้ผมคิดเช่นนั้น กับรถยนต์จากเมือง Gothenberg ประเทศสวีเดน
ยี่ห้อนี้
เพียงแต่ว่า V60 1.6 DRIVe นั้น อารมณ์ “ไม่อยากคืนกุญแจ” มันน้อยกว่า เมื่อครั้งที่ผมต้อง
คืน S60 1.6 DRIVe ไปนิดนึง…เหตุผลมันก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า การออกแบบบั้นท้าย
ที่แม้จะสวย แต่ต้องมองนานๆ มองดีๆ มองให้ลึก ไม่เหมือน S60 ที่แค่มองเพียงแว่บแรก
ผมก็ตกหลุมรักกันไปอย่างง่ายดาย เพราะมันแทบมองไม่เห็นจุดไหนที่ต้องแก้ไขกันเลย
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า V60 จะไม่เป็นรถที่ดี ตรงกันข้าม มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เหนือกว่า
S60 พี่ชายของมันเยอะอย่างอยู่ และมันก็ยังคงความ MAKE SENSE to BUY เหมือนกันเลย
ภาพรวมแล้ว V60 ถือเป็น Volvo ตัวถัง Station Wagon ที่แตกต่างไปจากรถยนต์ตัวถังเดียวกัน
ที่ Volvo เคยทำมา คันอื่นๆ โดยสิ้นเชิง มันอาจจะไม่ได้แรงเท่ากับ Volvo 850 T5R ในตำนาน
แต่มันเป็น Volvo ตัวถัง Station Wagon ที่ขับสนุกที่สุดรุ่นหนึ่ง เท่าที่ Volvo เคยทำขายออกมา!
สมดังเจตนารมณ์ที่พวกเขาตั้งใจจะสร้างรถคันนี้ให้เป็น The Most Dynamic Volvo…ever!”
โชคดีที่ว่า ทีมวิศวกร และนักออกแบบของ Volvo รู้ดีว่า พวกเขาต้องการจะสร้างรถยนต์รุ่นใหม่
ให้มีบุคลิกเป็นอย่างไร พวกเขาทำออกมาตามนั้น แล้วมันก็ได้ใจบรรดาสื่อมวลชนสายรถยนต์
จากทั่วโลก พอสมควรเลยทีเดียว
ใครจะไปนึกละครับว่า รถยนต์ Station Wagon ก็ สามารถออกแบบและพัฒนาให้มีบุคลิกการ
ขับขี่ในแนวสปอร์ต ได้ดีถึงขนาดนี้ ลบภาพความน่าเบื่อจำเจอเดิมๆ ในฐานะของรถยนต์
คุณแม่บ้าน ลูก 2 ออกไปได้จนหมดจด เกือบจะราบคาบ ผมพารถคันนี้ ซัด เข้า – ออกจากโค้ง
อย่างสนุกสนาน พอจะมีอาการหน้าดื้อบ้างนิดๆ บางครั้ง ท้ายก็แอบจะออกเล็กๆ แต่พอเลี้ยง
คันเร่งเอาไว้ ก่อนจะเร่งส่งออกจากโค้ง รถก็อยู่ในการควบคุมได้ไม่ยาก แชสซีเองก็มีการ
ให้ตัว หยืดหยุ่นในระดับที่เหมาะสม ไม่อ่อน หรือแข็งจนเกินไป อัตราเร่งก็พุ่งตัวดีใช้ได้
แม้ว่าแรงดึงจะไม่ได้ชวนให้หลังคุณติดเบาะ (อาการแบบเดียวกับ S60 1.6 DRIVe เป๊ะ)
แต่ก็แรงสมตัว แถมพกด้วยความปรหยัดระดับ 14.8 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าทำได้ดีมาก
หากคิดว่ามาจากขุมพลังเบนซิน Turbo ของ Volvo ด้วยแล้ว อีกทั้งยังเป็นเรื่องน่าแปลก
ที่ผมกลับไม่พบอาการหน้าลอย อย่างที่เจอใน S60 ทั้ง 2 คันก่อนหน้านี้เลย
V60 เป็น Volvo ที่ขับสนุกมากๆ และทำให้ผม ลืม S60 รุ่นแรก ไปได้แบบไม่ต้องคิดถึงกัน
อีกต่อไป ลืมแม้กระทั่ง V70 คันเดิม ที่เป็นรถยนต์ Station Wagon สำหรับผู้ใหญ่ V60 เป็น
Sport Wagon แบบที่คนวัย 30 – 40 ปี ที่ยังรักและสนุกกับการขับรถเอง ในแบบที่ S60 มีให้
แต่จำเป็นต้องมองหาความอเนกประสงค์ เพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนสมาชิกในครอบครัว
จะชื่นชอบ อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ถ้าจะถามถึงข้อด้อยของ รถรุ่นนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของชุดเครื่งเสียง ที่ควรจะ
อัพเกรดให้ดีกว่านี้ ควรจะมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม มาให้เป็นอุปกรณ์ติดตั้งพิเศษ
เพื่อเพิมทางเลือกให้กับลูกค้า รวมทั้ง การติดตั้งยางะไหล่มาให้ด้านหลังรถ แม้จะเป็น
ยางสำรอง แบบ Tempolary Tyre เส้นบางๆ ก็ยังดี สำหรับรถยนต์ครอบครัวแล้ว การ
ต้องเปลี่ยนยาง แล้วขับต่อไปให้ถึงจุดหมาย ย่อมดีกว่า การฉีดอัดอะไรสักอย่างเข้าไป
ในยางที่ชำรุดแล้ว โดยที่ยังไม่แน่ใจว่า จะแล่นต่อไปได้อีกไกลแค่ไหน
และดูเหมือนว่า เรื่องที่เป็นจุดให้ต้องปรับปรุง เท่าที่ผมพอจะพบเจอมา จะมีเพียงแค่นั้น!
แล้ว V60 DRIVe แตกต่างจาก S60 ไหม? มากน้อยแค่ไหน และอย่างไร?
สิ่งที่แตกต่างกัน ก็คือ V60 มีพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลัง ใหญ่โตกว่า คิดจะแบกน้องหมาตัวโตๆ
อย่าง โกลเดนฯ หรือ ไซบีเรียน ฮัสกี ก็ย่อมเป็นไปได้ ง่ายดายกว่า แถมยังมีเบาะนิรภัยสำหรับ
ลูกน้อยของคุณ แถมมาให้จากโรงงาน ฝังอยู่ในเบาะรองนั่งด้านหลังนั่นละ นอกนั้นหนะเหรอ?
การขับขี่ แทบไม่ต่างกันเลย ถ้าไม่นับตัวเลขอัตราเร่งที่ด้อยกว่ากันแค่ 0.4 วินาที ซึ่งมันก็ไม่ใช่
เรื่องใหญ่โต ขับสนุกเหมือนกับรุ่น S60 Sedan แทบจะไม่ผิดเพี้ยน แถมยังไม่มีอาการท้ายรถ
เหวี่ยงๆ เมื่ออกจากโค้งมากมาย อย่างที่ผผมเคยเจอใน Volvo Station Wagon คันอื่นๆ อีกด้วย!
แล้ว V60 DRIVe จะเหมาะกับใคร?
ถ้าคุณยังตัดสินใจไม่ถูกจริงๆ ว่าจะเพิ่มเงินอีก 1 แสนบาท จาก S60 1.6 DRIVe S มาเป็น V60
คันนี้ หรือจะเพิ่มอีก 350,000 บาท จาก รุ่น S60 1.6 DRIVe B ดีหรือไม่ ผมก็คงจะต้องถามคุณ
กันก่อนละครับว่า
– ในครอบครัว มีสมาชิกเกินกว่า 4 คนหรือไม่ เป็นครอบครัวเดี่ยว (แยกบ้านออกมาอยู่กันแบบ
พ่อแม่ลูก) หรือเชิงขยาย (รวมผู้สงอายุในบ้าน)
– คิดว่าจะมีโอกาสแบกข้าวของสัมภาระบ่อยไหม รักการช็อปปิง กันหรือเปล่า
– ใช้เวลากับครอบครัว บ่อยไหม? ขับรถไปส่ง ไปรับบุตรหลานที่โรงเรียนด้วยไหม?
ถ้าคำตอบใน 3 ข้อนี้ คุณมักจะตอบว่า “ไม่” นั่นแปลว่า คุณไม่จำเป็นต้องซื้อ V60 หรอกครับ
เอาแค่ S60 ก็พอ แต่ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ คุณตอบว่า “ใช่” การอัพเกรดจาก S60 มาเป็น V60
คือเรื่องที่เหมาะสมกับครอบครัวของคุณมากกว่าอย่างชัดเจน แบบไม่ต้องสืบอีกต่อไป
ในราคาพอๆกัน มีคู่แข่งในประเภท Station Wagon รุ่นอื่นอีกไหม?
น่าจะมีอยู่คันเดียว นั่นคือ Skoda Superb Kombi จาก Skoda MTM DAD นั่นละครับ
แน่นอนว่า ในระดับราคา 2 ล้านบาทต้นๆ พอๆกัน Skoda ให้ตัวถังและห้องโดยสารที่ใหญ่กว่า
ใช้เครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบโตกว่า แต่ให้กำลังไล่เลี่ยกัน อัตราเร่ง น่าจะไม่หนีไปจาก
รุ่น Sedan เกิน 0.5 -1 วินาที และเทคโนโลยีของ Volkswagen Group ก็น่าจะช่วยให้ประหยัด
น้ำมัน พอๆกัน หรือดีกว่ากันแค่นิดหน่อย ไม่มากนัก มีบริการหลังการขาย ฟรี 5 ปี 100,000
กิโลเมตร แต่ศูนย์บริการ ตอนนี้ ยังมีแค่ 2-3 แห่ง ในกรุงเทพ แต่อุปกรณ์ความปลอดภัยสุด
ไฮเทค ก็อาจจะมีมาให้ไม่เยอะเท่า V60
ขณะที่ BMW X1 sDrive 18i ราคา 2,149,000 บาท นั้น ผมคิดว่า น่าจะหมดไปแล้ว และหาก
จะว่าไป ตอนนี้ BMW น่าจะอยากขาย ทั้ง X1 xDrive20d และ X3 xDrive 20d ซึ่งมีค่าตัว
ที่แพงยกระดับขึ้นกว่าทั้ง Skoda และ V60 ไปมาก แถมสมรรถนะ ก็ยังไม่ค่อยน่าประทับใจนัก
ดีที่ยังมี ประกัน BSI 5 ปี 100,000 กิโลเมตร คอยช่วยให้ความอุ่นใจกับลูกค้าอยู่
ส่วน Volvo V60 เอง ก็ให้บุคลิกการขับขี่ที่คล่องตัวกว่าพอสมควร ใกล้เคียงกับรถยนต์ 4 ประตู
มากกว่า Station Wagon ทั่วไป เอาเรื่องอยู่ วัสดุการตกแต่งในห้องโดยสาร ดูดีกว่านิดหน่อย
อุปกรณ์ความปลอดภัย ไฮเทค รอบคัน แต่มีขนาดตัวรถ เล็กกว่า มีบริการหลังการขาย ในช่วง
3 ปีแรก สบายๆ หายห่วง แต่หลังจากนั้นราคาอะไหล่ ก็ถือว่า แพงอยู่นิดหน่อย
แล้วจะซื้อคันไหนดีกว่าละ?
อันนี้ผมคงไม่ขอตอบต่อแล้วละครับ
เพราะต่อจากนี้ เป็นหน้าที่ของคุณ ที่จะต้องไปทดลองขับด้วยตัวเอง ว่า รถคันไหน
เหมาะกับคุณ มากกว่ากัน
เพราะเงินที่จะต้องจ้่ายให้กับบริษัทรถยนต์เขาไป…นั่นก็เงินของคุณล้วนๆครับ
—————————————–///—————————————
ขอขอบคุณ
คุณ ฉันทนา วัฒนารมย์ (พี่ตุ้ม)
และ คุณ ณัฎฐา จิตราคม (พี่ต่าย)
บริษัท Volvo Cars (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
19 พฤษภาคม 2012
Copyright (c) 2012 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 19th,2012
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! Click Here!