นับตั้งแต่ รีวิวรถยนต์ เรื่องแรก ที่ผมลองหัดทำ ถูกโพสต์ขึ้นบนเว็บไซต์ เมื่อราวๆ เดือนพฤษภาคม 2001 จนถึงวันนี้
ก็ปาเข้าไป 10 ปี แม้ว่าถ้านับรวมแค่รีวิว ที่ทำอย่างจริงจัง ก็อยู่ที่ 8 ปี ตลอดเวลาที่ผ่านมา มีหลายต่อหลายครั้ง 
ที่จังหวะชีวิต พาผมให้กลับมาทดลองขับรถยนต์รุ่นเดิมที่เคยขับ หรือทำรีวิวมาแล้ว มีทั้งปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่ 
หรือรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด ไปจนถึง รุ่นปรับโฉม Minorchange หรือที่หนักหนาสุด ก็คือ รถรุ่นเดิมนั่นแหละ ไม่ได้
เปลี่ยนอะไรเลยแต่จำเป็นต้องนำกลับมาทดลองขับกันอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่า รถคันก่อนหน้า มีสภาพไม่ดีพอเมื่อ
เทียบกับรถคันที่ต่างกัน หรือไม่เช่นนั้น ก็เป็นเพราะความคิดตัวเอง ที่ผิดเพี้ยน ในระยะเวลาที่แตกต่างกัน เลยต้อง
มีการเช็คสอบยัน เพื่อยืนยันผลอีกครั้ง

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ว่ารถรุ่นใหม่ เหล่านั้น มีการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นหรือไม่
อย่างไรบ้าง? ไปจนถึง เหตุผลที่บริษัทรถยนต์บางแห่ง ก็อยากจะเห็นผม ทำรีวิวรถยนต์รุ่นนั้นๆ อีกครั้ง ด้วยรถรุ่นที่อาจมี
หน้าตาแปลกใหม่ แต่เครื่องยนต์กลไกเหมือนเดิมก็ตาม บางครั้ง ผมเองก็ต้องถือว่า ค่อนข้างโชคดี ที่ได้มีโอกาสลองขับ
รถรุ่นเดียวกัน มากกว่า 1 คัน ในหลายๆรุ่น

ถ้าจะย้อนกลับไปดูรถยนต์ที่ผมเคยลองขับ บ่อย หรือถี่ เกินกว่า 3 คันขึ้นไป หรือมีจำนวนรุ่นย่อย เยอะที่สุดเท่าที่เคย
ผ่านมือมา ก็คงจะมีอยู่หลายรุ่น หลายคัน จากแทบทุกยี่ห้อ แต่ก็มีไม่กี่รุ่นหรอกครับ ที่ผมจะเกิดความรู้สึกไม่อยากคืน
อยากลองขับอีก หรือว่า อยากจะเอามาใช้งานในชีวิตประจำวันเลย แม้ว่า รถรุ่นนั้น จะมีข้อเสีย ข้อดี ที่มีทั้งยอมรับได้
หรือยอมรับได้ยาก ในสายตาของคนทั่วไปก็ตาม

และหนึ่งในนั้น ก็คือ Volvo S80

คุณอาจสงสัยว่า ทำไม ผมถึงชื่นชอบรถยนต์นั่ง Saloon รุ่นหรที่สุดของผู้ผลิตรถยนต์จากสวีเดนรายนี้กันนัก
ทั้งที่ชื่อชั้น ก็ด้อยกว่าคู่แข่งในตลาดกลุ่ม Premium Midsize Saloon แถมราคาอะไหล่ในระยะยาวก็แพงกว่า
นั่นเพราะว่า นี่คือรถยนต์ที่ให้ความหรูและความสบายที่เหนือกว่ารถในระดับเดียวกันอย่าง Mercedes-Benz
E-Class หรือ BMW ซีรีส์ 5 เพียงแต่ว่า ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และอาจมีช่วงล่างที่นุ่มนิ่มเกินไปสักหน่อย
แต่มีค่าตัวที่ถูกมาก คือจ่ายเพียง 2 ล้านบาทกลางๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของได้แล้ว

ดังนั้น พอทางพี่ต่าย PR เจ้าเก่า จาก Volvo บอกกับผม เมื่อเดือนที่แล้ว ว่า จะส่ง S80 D3 ให้ผมได้ลองขับ
เพียงแค่นั้น ผมก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อย….โอกาสจะได้ใช้ชีวิต กับรถที่ขับแล้ว สบายกาย สบายใจ  หวนกลับมา
อีกครั้ง

และคราวนี้ มันก็มาพร้อมโจทย์สำคัญ นั่นคือ การเปลี่ยนเครื่องยนต์ Diesel Common Rail Turbo ให้มี
พละกำลังลดลง จะคุ้มค่าต่อการจ่ายเงิน 2,699,000 บาท แลกกับการได้เป็นเจ้าของ Saloon พลัง Diesel
คันนี้หรือไม่

และเมื่อต้องเปรียบเทียบกัน รุ่น D3 ใหม่ จะมีคุณงามความดีมากพอให้คุณ ปันใจจากรุ่น 2.5 FT Superior
อันเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดมาตลอดของ S80 ใหม่ ได้หรือไม่

รีวิวนี้ จะมีคำตอบในภาพรวม ให้คุณครับ

S80 เปิดตัวครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 1998 หรือเมื่อ 12 ปีมาแล้ว….วันเวลาผ่านไปไวเหมือนนั่งชินคังเซ็น
ตอนนั้น ยังจำได้เลยว่า เพิ่งตื่นตาตื่นใจ กับรูปโฉมใหม่ของ Saloon คันนี้ บน Internet อยู่เลย นั่งหาข้อมูลกัน
ตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ใครจะไปคิดเลยว่า เวลามันล่วงเลยมาได้ไวขนาดนี้

ตอนนั้น S80 ถูกเปิดตัว เพื่อทำตลาดแทนที่ ตระกูล 900 Series ทั้ง 960 กับ 940 อันเป็นรถยนต์นั่งระดับหรู ระบบ
ขับเคลื่อนล้อหลังรุ่นสุดท้ายที่ Volvo ผลิตออกสู่ตลาด มาตั้งแต่ปี 1991  โดย S80 รุ่นแรก ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง
รหัส P2 อันเป็นพื้นตัวถังหลัก ที่ถูกต่อยอดไปสู่รถยนต์รุ่นอื่นๆ ในตระกูลที่คลานตามออกมาหลังจากนั้น ได้แก่
V70 รุ่นที่ 2 V70XC (หรือต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น XC70) ตามด้วย S60 รุ่นแรก และ SUV รุ่นใหญ่ XC90 นอกจากนี้
พื้นตัวถังดังกล่าวยังถูกนำไปใช้กับ รถยนต์ในเครือของฟอร์ดอย่าง Ford Fivehundred กับฝาแฝด Mercury Montego
ซึ่งเป็นซีดานที่มีขนาดตัวรถใหญ่กว่า Ford Mondeo ในยุโรป และมีขายเฉพาะในเขตอเมริกาเหนือเท่านั้น รวมทั้ง
SUV อย่าง Ford FreeStyle ซึ่งใช้โครงสร้างตัวถังหลักๆร่วมกับ Ford Territory อันเป็น SUV ที่ผลิตขายในออสเตรเลีย
และส่งมาขายในเมืองไทย ซึ่งผมเคยทดลองขับไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2007

S80 รุ่นแรก ถูกผลิตขึ้นที่โรงงาน Torslanda ในเมือง Gothenburg ที่สวีเดน และในปีแรกที่ออกสู่ตลาด ก็ทำตัวเลข
ยอดขายได้ 23,938 คัน แต่พอเป็นปี 1999 ตัวเลขก็พุ่งพรวดพราดขึ้นไปถึง 80,681 คัน ก่อนจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆ
ตามปีที่ผ่านไป ปี 2000 ขายได้ 67,800 คัน ปี 2001 ทำได้ 47,393 คัน ปี 2002 เหลือ 40,874 คัน และนับจากนั้น
ตัวเลขยอดขายก็ตีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 27,000 – 38,000 คัน ต่อ ปี มาเรื่อยๆ จนถึงปี 2006 อันเป็นปีสุดท้ายที่อยู่ในตลาด

สถานการณ์ดังกล่าว ก็เป็นเช่นเดียวกันกับในเมืองไทย S80 รุ่นแรก เปิดตัวในบ้านเรา เมื่อ 25 พฤศจิกายน 1999
และมียอดขายแบบเรื่อยๆมาเรียงๆ คือ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่าใดนัก ขายแบบพอประคับประคองให้บริษัทพอจะ
อยู่รอดได้ว่างั้นเถอะ

กระนั้น ยอดขายในภาพรวม ก็ยังถือว่ามากพอที่จะให้ Volvo ตัดสินใจเดินหน้าลงทุนพัฒนา S80 รุ่นต่อไป บน
พื้นฐานโครงสร้างวิศวกรรมของตนเองมากขึ้น ใช้ชิ้นส่วนต่างๆ ร่วมกับรถยนต์ในเครือ Ford อยู่บ้างนิดหน่อย
ใช้พื้นตัวถังรหัส P24 ที่ Volvo พัฒนาขึ้นเอง เพื่อให้ใช้งานร่วมกับ Volvo V70 และ XC70 เจเนอเรชัน 3 ที่เปิดตัว
ตามมาในปี 2007 ได้ง่ายขึ้น

พื้นตัวถัง P24 นี้ ถูก บริษัทแม่ผู้ซื้อกิจการ Volvo มาครอบครองในขณะนั้น อย่าง Ford Motor company นำไปพัฒนา
ต่อยอด เพื่อใช้กับ Ford Mondeo รุ่นปัจจุบัน Minivan ทั้ง Ford Galaxy เจเนอเรชัน 2 รวมทั้ง Ford Galaxy S-Max
ด้วยเหตุผล เพราะต้นทุนที่ค่อนข้างสูงกว่า ทำให้ต้องหาช่องทางนำแพล็ตฟอร์ม หรือพื้นตัวถังนี้ ไปใช้กับรถรุ่นอื่นๆ
ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อช่วยประหยัดต้นทุนการพัฒนาและการผลิตรถยนต์ของ Ford เท่าที่พอจะทำได้

การพัฒนาเสร็จสิ้นลง เมื่อย่างเข้าปี 2006 Volvo เผยแพร่ภาพถ่ายรูปแรกอย่างเป็นทางการของ S80 ใหม่ที่เห็นกันอยุ่นี้
เป็นครั้งแรกในโลก เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2006 นจากนั้น ก็นำรถไปอวดโฉมสู่สาธารณชน ครั้งแรกในโลก ที่งานแสดง
รถยนต์ Geneva Auto Salon เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2006 ก่อนจะเริ่มออกสู่ตลาดยุโรปครั้งแรก วันที่ 1 มิถุนายน 2006
ทว่า กว่าจะใช้เวลาเดินทางมาขึ้นสายการประกอบ ที่โรงงาน Thai Swedish Assembly บ่านบางนา-ตราด บ้านเรา ก็ต้อง
รอกันนานถึง 1 ปี กับอีก 3 เดือน

ยอดขายของ S80 รุ่นปัจจุบัน หรือเรียกว่า S80 – II นับตั้งแต่เปิดตัวสู่ตลาดโลก ก็ทำยอดขายสะสมได้ค่อนข้างมากโขอยู่
ปี 2006 นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ที่เร่มออกสู่ตลาด ทำยอดขายสะสม 11,783 คัน แต่พอเข้าสู่ปี 2007 ยอดขายรวมทั่วโลก
ก็พุ่งสูงขึ้นเป็น 42,527 คัน ปี 2008 ทำได้ลดลงเหลือ 31,114 คัน ปี 2009 ทำได้ลดลงอีกนิดหน่อย เหลือ 28,170 คัน แต่ปี
2010 ยอดกลับเพิ่มขึ้นเป็น 30,940 คัน (รวมยอดของรุ่นตัวถังยาว S80L ในบางตลาด 11,778 คัน) รวมแล้ว นับตั้งแต่
เปิดตัว Volvo ขาย S80-II รุ่นปัจจุบันไปได้ทั่วโลกแล้ว 144,534 คัน ถือว่า ผ่านจุดคุ้มทุน 1 แสนคัน มาได้ไกลพอสมควร
แต่ก็ต้องถือว่า ยังน้อยอยู่ เมื่อเทียบกับ S80 รุ่นแรก กระนั้น ยังไม่อาจนับรวมไปได้มากกว่านี้ เพราะ S80 ยังต้องอยู่ใน
ตลาดโลก ไปอีกหลายปี

ส่วนตลาดเมืองไทย S80 -II รุ่นนี้ เปิดตัวครั้งแรกอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อ 20 กันยายน 2007 บนห้อง Grand Ballroom ของ
โรงแรม CENTARA ณ Central World ราชประสงค์ ถือเป็นบริษัทรถยนต์รายแรกที่ได้ใช้พื้นที่ห้องนี้ เปิดตัวรถยนต์
ของตน งานในวันนั้นยังถือเป็นการเปิดตัว ลุง พอล สโตรค์ นายใหญ่คนใหม่ จากสวีเดน ด้วยการนำทีม Stunt Man
แต่งตัวเป็นทหาร SEAL ใรยตัวลงมา และให้ลุงพอล โรยตัวลงมาพร้อมกันด้วย ก็ถือเป็นการเปิดตัวที่แหวกแนวเรียก
เสียงฮือฮาได้ครั้งหนึ่งเท่าที่ Volvo เคยทำในเมืองไทย

ในช่วงแรกที่เปิดตัว ทำตลาดด้วยทางเลือกเครื่องยนต์มากถึง 3 ขนาด ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง 3,200 ซีซี
นำเข้าทั้งคัน รุ่นหลัก ประกอบในไทย 5 สูบเรียง 2,521 ซีซี  และ รุ่น D5 Diesel CommonRail Turbo 2,400 ซีซี 

ต่อมา ในงาน Motor Expo 2008 Volvo ก็เปิดตัว S80 2.5FT รถยนต์คันแรกในเมืองไทย ที่สามารถเติมน้ำมันเบนซิน
Gasohol E85 ได้จากโรงงานในบ้านเรา และผมก็เคยนำทั้งหมดทุกคันข้างต้น มาทดลองขับผ่านพ้นไปหมดแล้ว

หลังจากนั้น ก็มีการปรับอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆ และที่น่าแปลกใจที่สุดคือการ ช็อคตลาดด้วยรุ่น 2.5 FT Bussiness สำหรับ
เจาะตลาดกลุ่มองค์กร ที่คิดจะซื้อไปใช้เป็นรถประจำตำแหน่ง เปิดตัวเมื่อ 4 มีนาคม 2009 และยังคงทำตลาดมาเรื่อยๆ
จนถึงปัจจุบัน ปรับโฉมด้วยคิ้วโครเมี่ยมด้านข้าง ที่ช่องลมด้านหน้า ไฟตัดหมอก โครเมี่ยมไฟท้าย โลโก้บนกระจังหน้า
มีขนาดใหญ่ขึ้น ล้ออลูมิเนียม 16 นิ้ว ลายใหม่ ส่วนการตกแต่งภายใน ตกแต่งด้วยแผงประตูสีทูโทนครีมดำ เบาะหนัง
สีครีม พรมปูพื้นสีดำ พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มด้วยหนังแท้ ไฟเรืองแสง ณ มือจับเปิดประตูด้านใน ปุ่มสตาร์ทขลิบ
ขอบโครเมี่ยม และแผงคอนโซลใหม่ประดับด้วยลายโครเมี่ยม เช่นเดียวกัน ตั้งราคาขายไว้กระชากใจ ถูกจนแทบเป็นลม
แทนคนที่ซื้อไปก่อนหน้านั้น คือiเพียง 2,499.000 บาท! ส่วนรุ่นปกติ ขายในชื่อรุ่น Superior แพงกว่ากันอีกนิดหน่อย

และหลังจากนั้น ก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเพิ่มเติมอีกเลย จนกระทั่ง งาน Bangkok International Motor Show เมื่อเดือน
มีนาคมที่ผ่านมา Volvo ถึงได้เปิดตัว S80 D3 คันที่คุณผู้อ่าน เห็นกันอยู่นี้

และหลังจากนั้น อีกไม่นานนัก 24 พฤษภาคม 2011 Volvo บ้านเรา ก็ส่งรถรุ่นตกแต่งพิเศษ Volvo S80 Polestar แต่งให้
สปอร์ตขึ้น แรงขึ้น จำนวนจำกัด 250 คันเท่านั้น มากระตุ้นตลาด แต่ผมคงไม่มีโอกาสได้ทดลองขับแน่ๆครับ เพราะทาง
Volvo ไม่มีรถรุ่นนี้ไว้ให้เราได้ยืมมาทดลองขับกัน น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง!

S80 ยังคงมีตัวถังแบบเดิม เหมือนเช่นทุกคันก่อนหน้านี้ที่เคยผ่านมือของผมมา ยังคงความยาวตัวรถทั้งคันไว้ที่
4,851 มิลลิเมตร กว้าง 1,851 มิลลิเมตร สูง 1,493 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อยาว 2,835 มิลลิเมตร ส่วนความกว้าง
ช่วงล้อหน้่า 1,588 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อหลัง 1,585 มิลลิเมตร

งานออกแบบภายนอก อยู่ในการดูแลของ Steve Janssons : Studio Chief Designer Exterior ซึ่งควบคุมงานออกแบบ
ของ Volvo จนกระทั่ง Steve Mattin จะย้ายเข้ามาดูแลงานออกแบบภาพรวมของ Volvo ในช่วงหลังจากนั้น ภายใต้
แนวทาง “Scandinavian Luxury” ซึ่งมันก็แตกหน่อมาจากแนวทางการออกแบบของ Volvo ในระยะหลังๆมานี้ ที่
เรียกว่า “Scandinavian Design”  นั่นเอง

อะไรคือ Scandinavian Design?

คำจำกัดความง่ายๆ ก็คือ เป็นงานออกแบบที่เน้นความอบอุ่น ความสบาย สวยงาม เป็นมิตร ใส่ใจในทุกรายละเอียด
เย้ยความปลอดภัย ใช้งานง่าย พริ้วไหว ไม่แข็งทื่อ ที่สำคัญ คือ ไม่ล้าสมัย ไร้กาลเวลา ตามแบบฉบับแนวทางการ
ดำเนินชีวิต ของชาว Scandinavian นั่นเอง

ลองนึกถึงบรรยากาศอันอบอุ่นและผ่อนคลายจากความเครียดใดๆทั้งปวงระหว่างที่คุณกำลังนั่งอยู่ใน ห้องรับแขก
ตกแต่งด้วยสีครีม ที่มีกระจกโปร่งในระดับกำลังดี ในบ้านอันสุขสบาย ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า ในช่วง
ฤดูหนาว นั่นละครับ การออกแบบในสไตล์ Scandinavian Design

ความแตกต่างระหว่างรถรุ่นแรก ในปี 2007 – 2010 และรถรุ่นปัจจุบัน รุ่นปี 2010 – 2011 ขึ้นมา จะมีไม่มากนัก
และต้องอาศัยความเป็นคนช่างสังเกตกว่าปกติไม่น้อย เพราะมันต่างกันน้อยมากๆ มีเพียง สัญลักษณ์ Volvo
กลางกระจังหน้า ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม มีคิ้วโครเมียม คาดอยู่บริเวณ ช่องรับอากาศแถวล่าง ของเปลือกกันชน
ด้านหน้า สอดรับกับไฟตัดหมอกหน้า มีไฟเลี้ยวติดตั้งบนแปลือกครอบกระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ทุกรุ่น มีคิ้ว
โตรเมียม ที่ชายล่างขอบประตูทั้ง 4 บาน

ส่วนด้านหลัง โลโก้ Volvo จากเดิม ที่ติดตั้งไว้เรียงชิดติดกัน กระจุกตัว บริเวณ ตรงกลาง เหนือกรอบป้ายทะเบียน
ก็จะถูกจับกระจายแยกออกจากกัน จนเต็มพื้นที่ด้านบนของฝากระโปรงหลังไปเลย มามุขเดียวกับทั้ง XC60 และ
S60 ใหม่ ไม่มีผิด ส่วนเสาอากาศ ทุกรุ่น เป็นแบบครีบ บนหลังคา ด้านหลัง เหนือกระจกบังลมหลัง ตามสมัยนิยม
ทุกรุ่น มีไฟตัดหมอกมาให้ ครบทั้งด้านหน้า และด้านหลัง

รุ่น D3 คันสี Electric Silver Metallic เบอร์ 477 ที่เป็นรถคันหลักสำหรับภาพถ่ายในรีวิวชุดนี้ มาพร้อมกับชุดไฟหน้า
แบบ Bi-Xenon ปรับระดับสูง – ต่ำ อัตโนมัติ สวมล้ออัลลอย ขนาด 7 x 17 นิ้ว ลาย Regor 15 ก้าน พร้อมยาง Continental
รุ่น Premium Contact 3 ขนาด 225/50 R17

ส่วนรุ่น 2.5 FT คันที่เห็นในภาพถ่ายสำหรับรีวิวนี้ เป็นรุ่น Superior สีตัวถังดำ Ember Black Metallic เบอร์ 487
แต่จะหรูขึ้น ด้วยไฟหน้าแบบ Bi-Xenon พร้อมระบบ Active Bending Headlight ปรับมุมจานฉายตามองศาการ
เลี้ยวหมุนพวงมาลัย แบละปรับระดับสูง – ต่ำ โดยอัตโนมัติ ใส่ล้ออัลลอย ขนาด 7 x 17 นิ้ว เช่นกัน แต่เป็นลาย
Cassani ลาย 9 ก้าน สวมเข้ากับยาง Continental รุ่น Premium Contact 3 ขนาดเดียวกัน คือ 225/50 R17

แต่ในรุ่นถูกสุด 2.5 FT Bussiness จะใช้ไฟหน้า Halogen พร้อมสวิชต์ ปรับระดับสูง – ต่ำ ให้เลือกปรับกันเอาเอง
ใช้ล้ออัลลอย ขนาด 7 x 16 นิ้ว ลาย Naos 7 ก้าน สวมเข้ากับยางขนาด 225/55 R17

ระบบล็อกประตูและการติดเครื่องยนต์ของ Volvo S80 ใหม่ ทุกรุ่นทุกคันในไทย จะใช้ระบบ
Keycard Remote Control ที่ Volvo เรียกว่า PCC (Personal Car Communicator) ซึ่งมีการทำงาน
พื้นฐาน เหมือนกับรีโมทกุญแจ ของรถยนต์รุ่นใหม่ๆทั่วๆไป คือ เพียงแค่คุณพกรีโมท PCC
ไว้อยู่ในกระเป๋าเสื้อ หรือกระเป๋ากางเกง เดินมาที่รถ ระบบก็จะสั่งปลดล็อกให้คุณเอง โดยที่
ไม่ต้องกดปุ่มใดๆ ดึงมือจับแล้วก็กระชากประตูไม่ต้องแรงนัก แค่นั้น ประตูก็จะปลดล็อก และ
ปล่อยให้คุณเข้าไปนั่งในรถได้ หากต้องการจะสั่งล็อกรถ ก็แค่ ปิดประตู กดปุ่ม สีดำ บนมือจับ
ประตู แล้วเดินจากไป

ส่วนการติดเครื่องยนต์ ก็ใช้สวิชต์ปุ่มสตาร์ต ด้านข้างๆกัน จะมีช่องเสียบรีโมท Keycard ซึ่ง
คุณจะเสียบรีโมท เข้าไปหรือไม่ ก็ได้ทั้งสิ้น เพราะระบบ Immobilizer จะยอมให้คุณกดปุ่ม
ติดเครื่องยนต์เหมือนกันอยู่ดี

แต่สิ่งที่ทำให้ Keycard ระบบ PCC แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป นั่นคือ ถ้าคุณกำลังนั่งเมาท์แตก
อยู่กับผองเพื่อนร่วมก๊วน บนโต๊ะอาหาร แล้วนึกขึ้นมาได้ ไม่แน่ใจว่าลืมล็อกรถหรือเปล่า ให้
กดปุ่ม i บนรีโมท ไฟสัญญาณบนรีโมท จะวิ่งวนรอบๆ รีโมทนั่นละครับ ถ้า ไฟสีเขียว ขึ้น
เช่นในรูปนี้ แสดงว่า รถล็อกอยู่ เมาท์ต่อไปเหอะ ถ้าไฟสีเหลือง ติดขึ้น แสดงว่า รถยังไม่ล็อก
 รีบปลีกตัวจากผองเพื่อนไปล็อกรถก่อนซะ แต่ถ้าไฟแดงขึ้นเมื่อไหร่ รีบเรียกผองเพื่อนที่นั่ง
ร่วมวงตรงนั้น ไปช่วยกันดักตบกบาล ผู้บุกรุกที่มาป้วนเปี้ยนกับรถคุณได้เลย

นอกจากนี้ ถ้า มี สิ่งมีชีวิต จะลูกเล็กเด็กแดง หรือน้องหมา ที่หลับอยู่ เกิดตื่นขึ้นมา แล้วพบว่า
คุณไม่อยู่ในรถ และล็อกรถไปแล้ว ระบบ จะตรวจจับสัญญาณการเคลื่อนไหวภายในรถและ
จังหวะการเต้นของหัวใจ ก่อนจะส่งสัญญาณไฟสีแดง กระพริบให้คุณรู้ตัว แถมตัวรถก็จะ
ส่งเสียงร้องลั่น ให้ผู้คนรับรู้อีกด้วย ว่าคุณมี สิ่งมีชีวิตอยู่ในรถ

ดังนั้น ไม่ควรทิ้งบุตรหลาน หรือสัตว์เลี้ยง เอาไว้ในรถรุ่นนี้ โดยไม่จำเป็น เด็ดขาดครับ

เมื่อเปิดประตูคู่หน้า ในภาพรวม คุณจะยังคงได้พบบรรยากาศดีๆ จากห้องโดยสาร ที่ผมก็ยังคงยืนยันเอาไว้
ตรงนี้เลยว่า Volvo S80 ยังคงครองตำแหน่ง รถยนต์นั่ง ประกอบในประเทศ ที่มีห้องโดยสารหรูหราที่สุด และ
ใช้วัสดุที่ดีที่สุด และลงตัวที่สุด ในบรรดารถยนต์ประกอบในประเทศทุกค่าย ทุกยี่ห้อ ทุกรุ่น ไม่จำกัดสัญชาติ
2 ปีผ่านไป ผมเคยเขียนเอาไว้อย่างไร วันนี้ S80 ก็ยังคงรักษาคุณค่าในตัวของมันเองข้อนี้เอาไว้ได้อย่างดี

เพียงแต่ อาจจะมีบรรยากาศบางอย่างที่แตกต่างไปบ้าง จากความเปลี่ยนแปลงของโทนสีการตกแต่งภายในรถ

หากเป็นรุ่น 2.5 FT Superior คุณก็คงจะจำได้ว่า มันไม่ต่างไปจากรถรุ่นปีก่อนๆ เท่าใดนักหรอกครับ ยังคง
ตกแต่งภายในด้วยโทนสี Soft Beige เบอร์ 2112 แผงประตูด้านข้าง ก็ยังคงใช้สีเดียวกับเบาะนั่ง มีลายไม้
แซมประดับเล็กน้อยตามสมควร แผงประตูมีช่องใส่ของขนาดพอประมาณ ไว้สำหรับใส่เอกสาร แผนที่ต่างๆ

แต่ในรุ่น D3 คุณจะพบบรรยากาศที่ต่างไปจาก S80 คันอื่นๆ เล็กน้อย เพราะแผงหน้าปัดจะมาในโทนสีเข้ม
เช่นเดียวกับแผงประตูรอบข้าง สีSoft Beige เบอร์ 2102 ตัดกับสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ จนอาจจะไม่คุ้นตาไปบ้าง
มีเพียงลายไม้ ที่ประดับตกแต่งไว้เหมือนกัน

การเข้าออก ยังคงทำได้สะดวกโยธินเหมือนเคย บานประตู ยังคงหนัก และเปิดออกได้กว้าง แบบเดียวกับ Volvo
รุ่นใหม่ๆ คันอื่นๆ กระจกหน้าต่างไฟฟ้าทั้ง 4 บานของทุกรุ่น เป็นแบบ One-Touch พร้อมระบบดีดกลับอัตโนมัติ
เมื่อมีสิ่งกีดขวาง Jam-Protection

เบาะนั่งคู่หน้า ปรับตำแหน่งได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ทั้งฝั่งคนขับ และฝั่งผู้โดยสาร เฉพาะฝั่งคนขับ มีหน่วยความจำ
ตำแหน่งที่ปรับเอาไว้ซึ่งรวมทั้งตำแหน่งเบาะ และกระจกมองข้าง หรือ Seat Positioning Memory มาให้ 3 ตำแหน่ง
ทุกรุ่น อย่างไรก็ตาม ถ้าคิดจะปรับตำแหน่งดันหลัง คุณยังจำเป็นต้องออกแรงหมุนมือบิด ที่ด้านข้างของเบาะนั่ง ฝั่ง
ด้านใน และ มันหมุนยากมากๆ เพราะฝืดมือเหลือเกิน กี่รุ่นผ่านไป ก็หมุนยากเหมือนเดิมนั่นแหละ แถมคอนโซล
กลาง ซึ่งติดตั้งในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วนั้น กลับขวางการหมุนปรับดันหลังให้ความสะดวกมือ หายไป

พนักศีรษะเป็นแบบ WHIPS ลดการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ และหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ จะทำงานเมื่อ
ตัวรถถูกชนเข้ามาจากทางด้านหลัง เมื่อลำตัวผู้โดยสาร ถูกเหวี่ยงล้ำไปทางด้านหน้า ในจังหวะดีดกลับ พนักพิงเบาะ
จะเอนตัวลง เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บในบริเวณจุดสำคัญๆ ต่างๆ

ผิวสัมผัสของพนักพิงหนะอ่อนนุ่ม แต่พอพิงศีรษะเข้าไปลึกกว่านี้ จะชวนให้นึกถึงภาพของการที่ใครสักคน เอา
แผ่นโฟม หนาไม่มาก ติดจะบางด้วยซ้ำ มาหุ้มห่อ

ในรุ่น 2,000 ซีซี D3 พลาสติก และแผงวัสดุที่รายล้อมอยู่กับชุดเบาะนั่งคู่หน้า เป็นสีเข้มโทนเดียวกับแผงหน้าปัด

ส่วนในรุ่น 2.5 FT Superior นั้น พลาสติกและแผงวัสดุ แผงประตู กับแผงหน้าปัด จะใช้โทนสีครีม  Soft Beige เหมือน
รถรุ่นเดิมก่อนหน้านี้

ภาพรวมของเบาะคู่หน้า นั่งสบายมาก น่าประทับใจใช้ได้ เบาะรองนั่ง ไม่สั้น กำลังดี พอดีตัว นั่งนานๆ ระหว่างขับรถ
ทางไกล ก็ไม่เมื่อยล้า ถือเป็นเบาะนั่งคู่หน้า ที่ดีมากๆคู่หนึ่ง เท่าที่ผมเคยเจอมา

หนังที่ใช้หุ้มเบาะนั้น Volvo เคยบอกว่า เป็นหนังแท้แบบนุ่ม Sovereign แต่ หลังจากที่ผมสัมผัสมาเองกับมือ ขอยืนยัน
ให้ว่า หนังหุ้มเบาะของ S80 นั้น เป็นหนังแบบเดียวกัน เกรดเดียวกัน และพื้นผิวเดียวกัน กับหนังที่ใช้หุ้มเบาะรถยนต์
Jaguar XF ใหม่ ซึ่งหลายคนอาจจะทึ่ง ตะลึง แต่ผมว่า ไม่แปลก อย่าลืมว่า สมัยที่ยังอยู่ใต้ร่มเงาของ Ford ด้วยกันทั้งคู่
Volvo และ jaguar ต่างใช้ชิ้นส่วนการผลิตต่างๆ ร่วมกันมากมาย แต่ข้อเสียของมันก็คือ สกปรก เลอะเทอะง่าย ต้องขยัน
ดูแลกันสักหน่อย ไม่เช่นนั้น ปล่อยไว้ไม่นาน ก็จะโทรมลงได้เร็วมาก ยิ่งถ้านั่งแบบไม่บันยะบันยัง พังไปหลายต่อ
หลายชิ้นแล้ว

พื้นที่เหนือศีรษะ ยังโปร่งโล่งสบายตามสมควร พนักวางแขนที่แผงประตูด้านข้าง รวมทั้ง พื้นที่วางแขนบริเวณ กล่อง
คอนโซลกลาง วางอยู่ในตำแหน่งทื่เหมาะสมดีแล้ว และชวนให้นึกถึง Volvo รุ่นเก่าๆ ทั้งรุ่น 740 760 940 และ 960

เข็มขัดนิรภัยทุกรุ่นเป็นแบบ 3 จุด พร้อมระบบ Pretensioner & Load Limiter ลดแรงปะทะ และดึงกลับอัตโนมัติ ทุกที่นั่ง!

เมื่อเปิดประตูผู้โดยสารด้านหลัง จะพบว่า มีแผงประตูที่สามารถวางแขนได้สบาย เหมือนกับแผงประตูคู่หน้า
และมีช่องแอร์สำรับผู้โดยสารแถวหลังฝังอยู่ที่เสาประตู ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เกิดความเย็นสบายอะไรมากมายนัก
ตามเคย สำหรับ Volvo แล้ว นี่เป็นเรื่องปกติ!

หากเป็นรุ่น D3 แผงประตูก็จะเป็นสีดำ ติดแถบลายไม้เข้าไป เหนือมือจับเปิดประตู แบบเดียวกับบานประตู
คู่หน้า และจะไม่มีม่านบังแดดสำหรับประตูคู่หลังมาให้

แต่ถ้าเป็นรุ่น 2.5 FT Superior ก็จะมีม่านบังแดด ดึงยกขึ้นมาเกี่ยวตะขอ ไว้บังสายตาผู้คนภายนอกรถได้
แต่ม่านบังแดด ก็ไม่ได้ยาวพอจะบดบังเลยมาถึงส่วนของกระจกโอเปร่า 3 เหลี่ยม อย่างที่ BMW เขาเป็น
ดังนั้น โอกาสที่คนข้างนอก จะมองเห็นคุณ ก็ยังมีอยู่บ้าง ออพชันนี้ จะไม่มีใน D3 และ 2.5 FT Bussiness

แผงประตูด้านข้าง จะเป็นสี Soft Beige เช่นเดียวกับสีของเบาะนั่งภายในรถ ด้านหลัง พนักพิงเบาะคู่หน้า
มีช่องใส่หนังสือ พอให้ใส่เอกสารขนาด A4 ได้ ภาพรวมแล้ว ทางเข้าผู้โดยสารด้านหลัง ยังคงเอื้ออำนวย
ให้คุณ สามารถเข้า และออกยจากตัวรถได้สบาย ก็จริงอยู่…

เบาะนั่งด้านหลัง ออกแบบมาให้เน้นความนุ่มสบาย แต่กระชับสรีระพอประมาณ พนักพิงหลังให้ความสบาย
ได้อย่างดี เช่นเดียวกับพนักพิงศีรษะ พับเก็บได้ เพียงแค่กดสวิชต์สั่งพับ ณ แผงควบคุมเครื่องเสียง ติดตั้ง
เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ELR พร้อม ระบบ pretensioner & Load Limiter ครบทั้ง 3 ที่นั่ง

มีที่วางแขนพับเก็บได้ ติดตั้งตรงกลางพนักพิงเบาะหลัง เมื่อเปิดฝากางออกมา สามารถวางแก้วน้ำได้ 2 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ ยังมีกล่องเก็บของขนาดเล็ก พร้อมฝาปิด ซึ่งมีความลึกกว่า กล่องใส่ของ แบบเดียวกันนี้ที่ติดตั้งอยู่ใน
Mercedes-Benz E-Class ใหม่ นิดหน่อย

ความเห็นที่เรามีให้กับเบาะหลังของ S80 นั้น แตกต่างกันนิดหน่อย ส่วนตัวของผม มองว่า ขนาดของเบาะนั่ง
และพนักพิง กับความสบายที่ได้รับหนะ กำลังดีแล้ว และถ้าขืนยืดขนาดเบาะรองนั่งออกมาอีกนิด ปัญหาพื้นที่
วางขา อันมีน้อยอยู่แล้ว ก็จะยิ่งดูน้อยไปกันใหญ่ ทั้งที่จริงๆแล้ว พื้นที่วางขา ก็ดูไม่ได้ถึงกับใหญ่โตมากมายนัก

อย่างไรก็ตาม ความเห็นจาก สมาชิก The Coup Team ของเรา ทั้งตาแพน Commander CHENG ตา Bombe
Rhino mango และตาเอก backseat Driver รวมไปถึง ตาถัง ในสมัยก่อนหน้านี้ กลับคติดเห็นตรงกันว่า เบาะ
แถวหลังของ S80 ยังนั่งไม่สบายพอ และควรจะปรับปรุงได้มากกว่านี้อีก อยู่ที่ความยาวของเบาะรองนั่งที่
น่าจะเพิ่มได้อีกสักนิด และเพียงแค่นั้นเลยที่ต้องการ การปรับปรุงในรถรุ่นต่อไป

ดังนั้น สำหรับรถเพื่อนักบริหารแล้ว ต่อให้ Volvo จะพยายามอาใจลูกค้าที่ชอบขับรถมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน
S80 ใหม่นี้ แต่ เบาะหลัง ก็ไม่ควรละทิ้งความสบายสำหรับวันที่คุณลูกค้าอยากหาพลขับมาทำหน้าที่แทนด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ พนักพิงของเบาะหลัง ทุกรุ่น ยังสามารถแบ่งพับได้ ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่ม
พื้นที่วางสัมภาระขนาดใหญ่โต หรือข้าวของที่มีความยาวเป็นพิเศษ ได้อีกด้วย

การพับเบาะหลังนั้น ต้องเปิดฝากระโปรงท้าย ทั้งจากการกดปุ่มบนรีโมท PCC หรือสวิชต์บน
แผงหน้าปัด (ติดอยู่กับสวิชต์เปิดฝาถังน้ำมัน และไฟหน้า) หรือจะเป็น สวิชต์ไฟฟ้า เหนือ
ป้ายทะเบียนหลัง จากนั้น จะเห็นว่า ด้านบนสุด ตรงกลาง ของขอบทางเข้าข่องเก็บสัมภาระ
จะมี คันโยก สำหรับปลดล็อกพนักพิงเบาะ ให้สอดมือเข้าไปดึงสลักคันดยก เข้าหาตัว แล้ว
เดินไปพับพนักพิงเบาะ แค่นี้ก็เรียบร้อย

S80 ทุกคัน ยังคงมีป้ายสามเหลี่ยมฉุกเฉิน แถมมาให้ ตามมาตรฐาน เผื่อเอาไว้ในกรณีที่ต้อง
จอดรถข้างทาง เปลี่ยนยางอะไหล่ ระหว่างเดินทางไกล ให้รถคันข้างหลัง เห็นคุณได้ชัดเจน
ทั้งในช่วงกลางวัน และกลางคืน

จุดยึดค้ำยันฝากระโปรงหลัง เป็นช็อกอัพ ไฮโดรลิค ทั้ง 2 ฝั่ง แน่นอนว่า การเปิด-ปิด ฝากระโปรงหลัง
จะนุ่มนวล ไม่เกิดโอกาสที่จะปล่อยหมัดฮุคเข้าปลายคางเจ้าของรถ เหมือน Mercedes-Benz E-Class
ทั้ง W211 และ W212 ประกอบในไทย รวมทั้ง BMW ซีรีส์ 5 E60 ประกอบในไทย 2 รุ่นนี้ ไม่รู้ทำไม
จะต้องทำฝากระโปรงหลังให้ดีดขึ้นง่ายดายแบบนั้นกันด้วยหนอ?

ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาดใหญ่ และลึกพอประมาณ ความยาวจากขอบเบาะด้านหลัง จรดกันชนหลัง
อยู่ที่ 1,094 มิลลิเมตร ความกว้าง วัดที่บริเวณซุ้มล้อ 1,130 มิลลิเมตร ความสูงจรดพื้นห้องเก็บสัมภาระ
492 มิลลิเมตร

สมัยก่อน เจ้าเติ้ล และ เจ้ากล้วย The Coup Team ของเรา เคยลงไปนอนขดตัวด้วยกัน 2 คนมาแล้ว
และยังพอมีเนื้อที่เหลือให้ The Hippo อย่าง ตาแพน Commander CHENG พุ่งเอาร่างเข้าไปเสยได้
อีก ครึ่งตัว (ของคนที่หนัก 140 กิโลกรัมหนะครับ)

ผมก็เลยอยากลองดูบ้างแล้วละ ว่า ถ้าผมลงไปนอนข้าในดูบ้าง มันจะเป็นอย่างไร?

เอาละ ตอนนี้ ผมก็บอกคุณผู้อ่านได้แล้วละครับว่า แม้สมัยก่อน เราจะมองว่า พื้นที่ห้องเก็บของ ใน S80
จะดูใหญ่ดตมาก แต่ตอนนี้ เมื่อผมเพิ่งจะลงไปนอนเปรียบเทียบในห้องเก็บสัมภาระของ E-Class ใหม่
บอกได้เลยว่า ความจุของ E-Class ใหม่ ใหญ่โตกว่าบั้นท้ายของ S80 อยู่พอสมควร ผมลงไปนอนใน
S80 ได้แบบพอมีพื้นที่เหลืออยู่บ้าง แต่อย่าหวังว่าจะพลิกตัวได้สะดวกโยธิน เหมือนอย่างขณะที่นอนอยู่
ใน E-Class ใหม่ เลย

พื้นห้องเก็บของด้านหลัง สามารถยกขึ้นมา เป็นฝากั้นสัมภาระ ไม่ให้ไหลไปไหลมาได้ ใช้งานง่าย แค่เพียง
ยกขึ้นจนสุด ฝาก็จะล็อกตัวไว้ในตำแหน่งนี้ จนกว่าคุณจะดึงมันลงเอง

และเมื่อยกพื้นห้องเก็บของขึ้นอีกชั้นหนึ่งแล้ว คราวนี้ คุณจะพบ ยางอะไหล่ กับเครื่องมือประจำรถ รวมทั้ง
แม่แรง เก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย 

แผงหน้าปัดยังคงมีรูปแบบการวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนเดิม ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากรถรุ่นก่อนๆ
เพียงแต่มีโทนสีที่เข้มขึ้น จนแปลกตาไป ก็เท่านั้น ในรุ่น D3 ที่เห็นอยู่นี้ แผงหน้าปัด จะใช้ โทนสี Charcoal
ตัดกับสี Soft Biege เบอร์ 2102 และลายไม้แบบ Classic Wood

แผงบังแดดทั้งฝั่งซ้าย และขวา ของทุกรุ่น มีไฟแต่งหน้ามาให้ ส่วนไฟอ่านแผนที่ด้านบน เหนือกระจกมองหลัง
แบบตัดแสงอัตโนมัติ มาพร้อมสัญญาณไฟเตือนให้ผู้โดยสารตอนหลัง คาดเข็มขัดนิรภัย

ส่วนรุ่น 2.5 FT Superior ยังคงใช้โทนสีดั้งเดิม นั่นคือแผงหน้าปัดด้านบน เป็นสีน้ำตาลเข้ม เพื่อลดการสะท้อน
แสดงแดดช่วงกลางวัน ขึ้นไปบนกระจกบังลมหน้า ส่วนด้านหลัง และโทนสีของเบาะนั่ง เป็นสี Soft Beige
เบอร์ 2112 ประดับด้วยลายไม้ ขณะที่พวงมาลัย จะหุ้มด้วยหนังแท้ ส่วนบริเวณที่อุ้งมือต้องสัมผัส จะใช้ไม้แท้
ลาย Classic Wood ล้อมกรอบพวงมาลัยทั้งหมด ส่วนก้านพวงมาลัย 2 ก้านล่าง จะใช้โลหะแบบ Silk Metal
ในการประดับตกแต่ง เช่นเดียวกับที่หัวคันเกียร์ ใข้หนัง กับ Silk Metal ตกแต่ง ให้ดูหรูหรา แต่ต้องระมัดระวัง
ความสกปรกจากมือของคุณที่จะไปทำให้มันดูเปรอะเปื้อนง่าย และเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

รุ่น D3 ดูจะมีโอกาสเปื้อนได้น้อยกว่ากันนิดหน่อย พวงมาลัยหุ้มหนัง และล้อมกรอบนอก ด้วยลายไม้ Classic
Wood และใช้โลหะแบบ Silk Metal ทำก้านพวงมาลัย คู่ล่าง แบบเดียวกับรุ่น 2.5 FT Superior แต่หนังที่หุ้ม
รวมทั้งสีวัสดุในภาพรวม เป็นสีดำ เช่นเดียวกับคันเกียร์หุ้มหนัง ตัดสลับด้วย Silk Metel การจัดวางตำแหน่ง
อุปกรณ์ต่างๆ เน้นความสะดวกในการใช้งาน ลดการละสายตาของผู้ขับขี่ และเน้นความโล่ง สบายตา ขณะที่
จะต้องดูมีอุปกรณ์ไม่น้อยไปกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง

ชุดมาตรวัดแบ่งออกเป็น 2 จอ 2 วงกลม ซ้อนกันข้างใน จอแสดงข้อมูลฝั่งซ้าย แจ้งข้อมูล ระยะทางของรถ
ที่แล่นมาทั้งหมด รวมทั้ง Trip meter 2 Trip ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลือในถัง รวมทั้งยังแสดงระยะห่าง
จากรถคันข้างหน้า และการทำงานของระบบ Redar Cruise Control (เราจะคุยกันในลำดับถัดลงไป)

ฝั่งขวาแสดง นาฬิกา อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย อุณหภูมิภายนอกรถ โหมดแจ้งเตือนการทำงานของ
อุปกรณ์ต่างๆ และการปรับเซ็ตตั้งค่าระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอีกนิดหน่อย แน่นอน ยังไม่มีมาตรวัดอุณหภูมิ
น้ำหล่อเย็นในหม้อน้ำ มาให้เสียที ไฟสัญญาณเตือนต่างๆ เรียงต่อกันเป็นระเบียบดีมาก และได้แต่ภาวนา
ว่าอย่าให้มันพร้อมใจกันเสีย ติดสว่างดล่ทุกดวงขึ้นมารวดเดียว

ชุดมาตรวัดของรุ่น D3 จะมีตัวเลขบนมาตรวัดรอบเพียง 0 – 6 อันหมายถึง 6,000 รอบ/นาที เท่านั้น ไม่สูงไปกว่านี้
เพราะปกติ เครื่องยนต์ Diesel รอบเครื่องยนต์ไม่จัดถึงขนาด 6,000 รอบ/นาที มีไม่บ่อยนัก

 ในรุ่น เบนซิน 2.5 FT ทั้ง 2 รุ่นย่อย ตัวเลขบนมาตรวัดรอบเครื่องยนต์ จะเพิ่มขึ้นเป็น 8 อันหมายถึง สุดที่
ระดับ 8,000 รอบ/นาที

ระบบทำความเย็นภายในรถ ของทุกรุ่น ยังคงเหมือนรถรุ่นเดิม ก่อนหน้านี้ คือเป็นเครืองปรับอากาศ
ระบบ ECC (Electronic Climate Control) แยกฝั่ง ผู้โดยสารทั้งซ้าย – ขวา รวมทั้งระบบควบคุมคุณภาพ
ของอากาศอัจฉริยะ ที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ วัดกลิ่นจากอากาศนอกรถ IAQS (Interior Air Quality System)
แบบ Multi Active Sensor แถมยังมีระบบ จัดการกลิ่นห้องโดยสาร ที่ปราศจากสิ่งกระตุ้นอาการภูมิแพ้
CZIP (Clean Zone Interior Package) มาให้กันแบบเต็มพิกัด นั่นหมายความว่า วัสดุที่ตกแต่งภายในรถ
รวมถึงแผ่นกรองอากาศ จะไม่มีสารก่ออาการภูมิแพ้อยู่เลย

Volvo การันตีว่า ได้รับการรับรองคุณภาพจากสถาบันโรคหอบหืดและภูมิแพ้แห่งประเทศสวีเดน ว่าจะ
ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผู้มีปัญหาระบบทางเดินหายใจและภูมิแพ้ อย่างแน่นอน เพราะการติดตั้ง
แผ่นกรองอากาศ ในห้องโดยสารนั้น ใช้ผงคาร์บอนพิเศษ ฟอกอากาศจากภายนอกรถก่อน และนั่นทำให้
กลิ่นในห้องโดยสารและกลิ่นจากวัสดุตกแต่งภายใน รบกวนจมูกผมน้อยมาก เป็นรถรุ่นหนึ่ง ที่ผมยัง
สามารถฮัมเพลง หรือ ร้องเพลงในรถได้ โดยไม่รู้สึกแสบคอแต่อย่างใด

และแน่นอน แอร์หนะ เย็นฉ่ำอย่างรวดเร็วใช้ได้เลยทีเดียว!

S80 ทุกรุ่น ติดตั้งชุดเครื่องเสียงแบบ High Performance Sound 4×40 W 8 ลำโพง และเล่น CD/MP3 ได้ 6 แผ่น
แถมด้วยหน้าจอที่แสดงชื่อเพลง กับศิลปินครบเลย ขึ้นอยู่กับว่า แผ่นที่คุณใส่เข้าไปให้เล่น มีข้อมูลชื่อเพลงและ
ศิลปินอยู่หรือไม่ ซึ่ง ยังคงให้ความไพเราะอย่างที่ผมต้องการ อยู่ดี มันเป็นเครื่องเสียงติดรถยนต์จากโรงงานเพียง
1 ในไม่กี่รายเท่านั้น ที่ผมถึงขั้นชื่นชอบ และมักใช้เป็น Reference เวลาพูดถึงเรื่องเครื่องเสียงติดรถยนต์ในหมู่
ผองเพื่อน ไม่ว่าจะขึ้นไปขับ S80 คันไหน ผมจะอิ่มเอมใจกับคุณภาพเสียง ที่ประเสริฐมากที่สุดในบรรดารถ
ยุโรปประกอบในประเทศทุกรุ่น โดยแทบไม่ต้องไปปรับแต่ง Equalizer ให้มันมากเรื่องมากความแต่อย่างใด

แผงควบคุมสวิชต์ต่างๆ ออกแบบมาเน้นความสะดวกในการใช้งาน แม้จะมีปุ่มเยอะ แต่การจัดวาง ก็เป็นสัดส่วน
และคลำใช้งานได้ง่ายในระดับหนึ่ง สำหรับการขับรถตอนกลางคืน นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับเปลี่ยนค่า
ของระบบอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถได้จากชุดเครื่องเสียง โดยตรง ตั้งแต่การตั้งค่าของการปลดล็อกกุญแจรถ
ไปจนถึง การตั้งค่าไฟสัญญาณต่างๆ ฯลฯ อีกมากมาย

กล่องคอนโซลกลาง ข้างลำตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสาร มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่ากล่องคอนโซลของ BMW
ซีรีส์ 5 ใหม่ F10 เสียอีก จุกล่อง CD หรือวางกล้องถ่ายรูปได้ โดยยังมีพื้นที่เหลือใส่ของจุกจิกอย่างอื่น
ได้อีกเยอะ แถมมีช่องเสียบ AUX ที่รองรับเครื่องเล่น iPod ได้ ติดตั้งมาให้่ เชื่อมต่อการทำงานและการ
ควบคุมได้กับชุดเครื่องเสียงหลัก

ช่องวางแก้ว มีมาให้ 2 ตำแหน่ง พร้อมฝาเลื่อนปิด สิ่งที่ผมมองว่า เป็นอรรถประโยชน์เล็กๆน้อย แต่ช่วย
อำนวยความสะดวกให้แก่คนขับได้อย่างดี คือมีช่องสำหรับวางโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่น Gadget อื่นๆ
มาให้อีกด้วย ติดตั้งอยู่ข้างๆ ช่องเสียบจ่ายไฟขนาด 12 Volts นั่นเอง

 และในรุ่น 2.5 FT Superior นั้น จะเป็นรุ่นเดียวในตอนนี้ ที่มีสวิชต์ควบคุมชุดเครื่องเสียง สำหรับผู้โดยสาร
ด้านหลัง พร้อมช่องเสียบหูฟัง 2 ช่อง เอาไว้ให้ผู้โดยสารทั้ง 2 ฝั่ง แยกย้ายกันไปบันเทิงตามลำพังส่วนตัว
พร้อมกันนี้ ยังมีช่องเสียบจ่ายไฟ 12 Volts ให้อีก 1 ช่อง

กล่องเก็บของ ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า ค่อนข้างลึกเอาเรื่อง พอกันกับ Volvo C30 และ S40 / V50 นั่นละครับ
ผลของการย้ายตู้แอร์ ไปไว้ตรงกลาง ก็ช่วยให้การเก็บของทำได้ดีขึ้น แต่ต้องแลกมากับการต้องถอดแผงหน้าปัด
ออกมาทั้งยวง หากต้องการเปลี่ยนตู้แอร์ หรือทำความสะอาดอย่างละเอียด..จะว่าไป รถสมัยนี้เกือบทั้งหมด
ก็ต้องถอดแผงหน้าปัดออกมาทั้งนั้น หากคิดจะยุ่งกับตู้แอร์ หนะครับ

จุดเด่นที่ Volvo S80 มีมาให้ก็คือ เป็นรถยนต์เพียง 1 ใน 2 รุ่นของเมืองไทย ขณะนี้ ที่มีค่าตัวต่ำกว่า 3 ล้านบาท
แล้วมีระบบความปลอดภัยล้ำสมัยอย่างที่กำลังจะเขียนถึงข้างล่างนี้มาให้ ทั้ง 3 ระบบดังกล่าว ถูกติดตั้งไว้ในทั้ง
S80 รุ่น D3 และ 2.5 FT Superior

ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Adaptive Redar Cruise Control หรือระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ แปรผันตามระยะ
ใกล้ – ห่างของรถคันข้างหน้า พร้อมกับ Collision Warning หรือระบบ เตือนผู้ขับขี่ว่าเข้าใกล้ รถคันข้างหน้า
มากเกินไป Volvo ถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกในไทย และรายแรกในโลก ที่ติดตั้งระบบสัญญาณเตือนเข้าใกล้่
รถคันข้างหน้ามากไป แบบฉับพลันอย่างนี้

หลักการทำงานอธิบายได้ง่ายมาก คือ มีตัวส่ง Redar บริเวณกระจังหน้ารถ ไปสะท้อนกับวัตถุแข็งๆ หรือรถคันข้างหน้า
ซึ่งเราสามารถปรับตั้งระยะห่าง ที่จะให้ Redar มันเตือน หรือวัดระยะได้ จากสวิชต์ควบคุมระบบบนแผงคอนโซลกลาง
และพวงมาลัยควบคู่กัน คุณสามารถตั้งได้ ว่าต้องการจะให้อยู่ห่างจากรถคันข้างหน้า 1 หรือ 2 หรือ 3 วินาที

ถ้าเมื่อใดก็ตาม ที่ Redar มันจับสัญญาณได้ว่า รถของคุณ เข้าใกล้กับรถคันข้างหน้ามากเกินไป Redar จะส่งสัญญาณ
ไปยังเซ็นเซอร์ ประมวลผลของระบบ เพื่อสั่งให้ระบบเตือนผู้ขับขี่ก่อนการชน (Coliision Warning) ทำงาน โดยขึ้น
เป็น แถบไฟ LED ติดตั้งอยู่เหนือชุดมาตรวัด กระพริบขึ้นเป็นแถบสีแดง พร้อมกับเสียง “ปรึ๊…บ ปรึ๊…บ) ถี่ๆ ดังลั่น
ชุดเครื่องเสียงจะถูกหรี่เสียงลงโดยอัตโนมัติทันที จนกว่าสัญญาณเตือนจะหายไป

ขณะเดียวกัน ระบบช่วยชะลอรถ (Break Support) จะสั่งให้ระบบเบรก ทำงานทันที เพื่อชะลอความเร็วล่วงหน้า ทันที
เมื่อรถอยู่ในระยะกระชั้นชิด แต่ แน่นอนว่า รถจะยังไม่หยุดให้ ผู้ขับขี่ต้องเหยียบเบรกเพิ่มเข้าไปด้วย ให้รถหยุด ด้วย
ตัวเองอยู่ดี

ระบบนี้ จะทำงานทันที ร่วมกับ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน EBD และ ระบบ
Hydraulic Break Assist เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน ทำงานประสานสอดคล้องกันจนกว่า รถจะหยุด หรือ รถคัน
ข้างหน้าเลื่อนเขยิบหนีห่างไปเรียบร้อยแล้ว พร้อมกันนั้น ไฟฉุกเฉิน จะติดขึ้นเองทันทีฃเพื่อให้รถคันที่ตามมา
ระวังตัวและหาทางหนีทีไล่กันเอาเองให้ดีๆ

และนอกจากนี้ ทั้งรุ่น D3 และ 2.5 FT Superior จะถูกติดตั้งระบบระบบ กล้องและสัญญาณไฟเตือนมุมอับของ
สายตา BLIS (Blind Spot Information System) มาให้แล้ว สมใจอยากของผมเลยทีเดียว เพราะจำได้ว่า ในรีวิว
S80 ครั้งก่อนๆ ระบบนี้ ถูกสงวนไว้เฉพาะรถรุ่น 3,200 ซีซี เท่านั้น ไม่นึกว่าในที่สุด คำขอของผมจะกลายเป็น
ความจริง!

ระบบนี้ Volvo คิดค้นและติดตั้งในรถยนต์ต้นแบบ มาตั้งแต่ ปี 2001 แล้ว เพิ่งจะได้ฤกษ์นำมาติดตั้งในรถยนต์
รุ่นจำหน่ายจริงเป็นครั้งแรกของ S80 นี่ละ มีสวิชต์ เปิด-ปิดการทำงาน ที่ ด้านใต้แผงควบคุมคอนโซลกลาง

เมื่อไหร่ที่รถ เริ่มเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกิน 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง กล้องดิจิตอล ที่ใต้กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง
จะสอดส่องสภาพการจราจรด้านหลังรถ ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ถ้ามีรถเก๋งหรือจักรยานยนต์ รถบรรทุก รถเมล์
จักรยาน ตุ๊กๆ หรืออะไรก็ตามแต่เคลื่อนตัวเข้ามาอยู่ในระยะที่เป็นจุดบอดทางสายตาเช่นนี้ ระบบจะขึ้น
ไฟเตือนสีอำพัน ให้ เพื่อแจ้งว่า มีรถมาอยู่ข้างๆนะ จะเปลี่ยนเลนก็ระวังด้วย ถือเป็นระบบที่ผมชื่นชอบ
เป็นการส่วนตัว มากที่สุด ในแง่ของการช่วยเหลือผู้ขับขี่ เพื่อลดความเสี่ยง จากการเกิดอุบัติเหตุ ในขณะ
เปลี่ยนช่องทางการขับรถ โดยเฉพาะบนสภาพการจราจรที่น่าปวดประสาทยิ่ง ของกรุงเทพมหานคร ระบบ
BLIS เหมาะมากๆ ที่จะกลายมาเป็นอุปกรณ์ประจำรถของทุกค่าย ทุกยี่ห้อ ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หากซื้อไปใช้งานแล้ว เกิดพบปัญหารวนๆ หลังจากเจอฝนตกหนักๆ อันมาจากการติดตั้ง
ที่ไม่ดีพอ โอกาสที่น้ำฝนจะเข้าไปทำให้ระบบรวน ก็อาจเป็นไปได้ อันที่จริง ทางแก้ที่ง่ายสุด ก็คือแค่
ปิดสวิชต์ระบบนี้ทิ้ง หากมันกระพริบรัวๆ แต่ถ้าจะให้ระบบ Reset การทำงาน ต้องจอดรถ ดับเครื่องยนต์
แล้วติดเครื่องขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

ทัศนวิสัยด้านหน้า มองเห็นทางข้างหน้าชัดเจนดี ตามปกติ ที่รถยนต์ทั่วไปควรเป็น เพียงแต่ ถ้าคุณปรับ
ตำแหน่งเบาะให้เตี้ยแบบที่ผมทำอยู่ในภาพนี้ คุณจะพบว่า อาจมองไม่เห็นฝากระโปรงหน้า กระนั้น
การควบคุมรถ ก็ยังไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่ จนกว่าจะต้องจอดรถด้วยการเอาหน้ารถ ปักเข้าไปในช่องจอด
นั่นละ ถึงจะต้องใช้ความระมัดระวังนิดนึง แม้จะไม่ถึงกับต้องระมัดระวังมากเท่า Nissan Teana ใหม่
ก็ตามที

เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ฝั่งขวา อาจมีการบดบังทัศนวิสัย ตอนเลี้ยวเข้าโค้งขวา บนถนนสวนกัน 2 เลน
อยู่นิดนึง แต่ไม่มากนัก และ การมีระบบ แจ้งเตือนรถคันที่ตามมาจากด้านหลัง ก็ช่วยเพิ่มความปลอดภัย
ในการเปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวรถ ได้เยอะอยู่

กระจกมองข้าง ฝั่งขวา ถูกกรอบพลาสติกบดบังไปนิดหน่อย แต่ก็ย่าแปลก ที่ยังทำให้ผม ไม่ต้องกังวล
เริ่องพถที่แล่นตามมาจากด้านข้าง และยังมองเห็นทัศนวิสัยจากกระจกมองข้าง ในภาพรวม ชัดเจนดี

เสาหลังคาคู่หน้า ฝั่งซ้าย A-Pillar ดูหนาก็จริง แต่ด้วยตำแหน่งที่เยื้องไปทางด้านหน้า อย่างเหมาะสม
ทำให้ ไม่บดบังรถที่แล่นสวนมา ขณะเลี้ยวกลับ มากนัก เช่นเดียวกัน กระจกมองข้างฝั่งซ้าย ก็โดน
กรอบพลาสติก บดบังทัศนวิสัยมุมซ้ายไปพอสมควร แต่กลับสามารถมองเห็นรถคันที่แล่นมาทาง
ด้านข้าง ได้โดยไม่เจอกัญหาแต่อย่างใด เป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกัน

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง แม้เสาหลังคาจะหนาไม่แพ้ชาวบ้านเขา แต่ก็ยังโปร่งตา ในแบบที่รถยนต์ Saloon
ทั่วไป ควรจะเป็นกัน มองเห็นภาพจากทางกระจกบังลมหลัง รวมทั้งกระจกหน้าต่างด้านข้างชัดเจน แม้ว่า
จะมีพนักศีรษะ ผู้โดยสารยกขึ้นใช้งานอยู่ก็ตาม

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ณ วันนี้ ตั้งแต่ มีนาคม 2011 Volvo S80 เวอร์ชันไทย มีทางเลือกขุมพลังรวม 2 แบบ

เริ่มจากขุมพลังใหม่ ที่เพิ่มเข้ามา คือรหัส D5204T2 อันเป็นเครื่องยนต์ Diesel บล็อก 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว
1,984 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก 81.0 x 77.0 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 16.5 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ
หัวฉีดพร้อมรางแรงดันสูง Common Rail อัดอากาศด้วย Turbocharger ลำดับจังหวะจุดระเบิดของกระบอกสูบ
อยู่ที่ 1 – 2 – 4 – 5 – 3 รอบเดินเบาตั้งไว้ที่ 700 รอบ/นาที น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ เป็น Diesel ที่มีค่า Cetane เบอร์ 48

กำลังสูงสุด 163 แรงม้า (BHP) ที่ 2,900 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์
ตั้งแต่ 1,400-2,850 รอบ/นาที
เรียกได้ว่า แรงบิดสูงสุด มากันอย่างต่อเนื่องในช่วงรอบเครื่องยนต์ดังกล่าว แล้ว
หลังจากนั้น ก็เริ่มค่อยๆหมดแรงไปในช่วง หลัง 3,600 รอบ/นาที

ส่วนรุ่นเบนซิน จะใช้เครื่องยนต์รุ่นดั้งเดิม รหัส B5254T8 อันเป็นการนำเครื่องยนต์ เบนซิน รหัส B5254T6
บล็อก 5 สูบเรียง วางขวาง DOHC 20 วาล์ว 2,521 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก 83 x 93.2 มิลลิเมตร อัตราส่วน
กำลังอัด 9.0 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบ SFI (Sequential Fuel Injection) พ่วงเทอร์โบแรงดันต่ำ (LPT หรือ
Light Pressure Turbo) พร้อมระบบแปรผันวาล์ว Dual CVVT ลำดับจังหวะจุดระเบิดของกระบอกสูบ อยู่ที่
1 – 2 – 4 – 5 – 3 มาปรับสเป็กอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อรองรับการใช้น้ำมันเบนซิน Gasohol E85 ซึ่งมีส่วนผสมของ
Ethanol มากถึง ร้อนยละ 85 ได้สบายๆ

มีทั้งการ เปลี่ยนฝาสูบใหม่ ทำจากอลูมีเนียม การปรับแต่งโปรแกรมในกล่องสมองกล ECM (Engine Control
Module) ของเครื่องยนต์ใหม่ ให้ฉีดจ่ายน้ำมันหนาขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนมาใช้ลูกสูบ และแหวนลูกสูบชุดใหม่
ปรับปรุงวาล์ว และบ่าวาล์ว ให้ทนทานยิ่งขึ้น เปลี่ยนชุดหัวฉีด ซึ่งใช้วัสดุที่ทนการกัดกร่อนของแอลกอฮอล์
ได้ดีขึ้นกว่าเดิม เปลี่ยนถังน้ำมัน พร้อมกับชุดปั้มส่งน้ำมัน ที่ใช้วัสดุรองรับกับแอลกอฮอลล์ ได้ดีขึ้น เปลี่ยน
ท่อทางเดินน้ำมัน ทั้งระบบ และ ปรับปรุงชุดมาตรวัดปริมาณน้ำมันในถังที่เหลืออยู่ บนชุดมาตรวัดนิดหน่อย

ซึ่งชิ้นส่วนที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ถึงจะมีอยู่ในเครื่องยนต์ของรุ่น 2,500 ซีซี เครื่องเดิม แต่เมื่อเปรียบเทียบกัน
กับเครื่องยนต์ B5254T8 ที่เติม E85 ได้นั้น มี เลขอะไหล่ หรือ Part Number ในแต่ละชิ้น คนละเบอร์กันเลย

พละกำลังสูงสุด ยังเท่ากับเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี มาตรฐาน คือ 200 แรงม้า (HP) ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด
30.57 กก.-ม. (300 นิวตันเมตร) เกิดขึ้นตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ 1,500 – 4,500 รอบ/นาที
เรียกได้ว่า แรงบิดสูงสุดนั้น
มากันอย่างต่อเนื่องในลักษณะ Flat Torque กันเลยทีเดียว แถมยังลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดอ็อกไซด์สู่ชั้น
บรรยากาศโลกได้ถึง 80%

ทั้ง 2 รุ่น ส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหนัา ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ จาก AISIN SEIKI รุ่น AW TF-80SC
พร้อมโหมด บวก-ลบ “GearTronic” ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์เล่นได้เอง อัตราทดเกียร์ เหมือนกันกับรุ่นเดิม
ไม่มีผิด ดังต่อไปนี้

เกียร์ 1……………………..4.148
เกียร์ 2……………………..2.370
เกียร์ 3……………………..1.556
เกียร์ 4……………………..1.155
เกียร์ 5……………………..0.859
เกียร์ 6……………………..0.686
เกียร์ถอยหลัง………………3.394
อัตราทดเฟืองท้าย…………3.329

เรายังคงใช้วิธีการทดลอง เหมือนเดิม คือ นั่ง 2 คน กับเจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Channel น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม
ส่วนคนขับอยู่ที่ 95 กิโลกรัม) เปิดแอร์ และใช้เวลาช่วงกลางคืน ในการทดลอง บนถนนที่โล่ง และผลลัพธ์ที่ได้ของ
ทั้ง 2 รุ่น เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน รุ่นอื่นๆ มีดังต่อไปนี้

ถ้าดูจากตัวเลขอย่างเดียว ไม่ต้องบรรยายอะไรมากครับ S80 D3 หนะ ทำอัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งช่วง
80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ด้อยกว่าชาวบ้านชาวช่องในกลุ่มเขาทั้งหมดเลยนั่นแหละ! แถมความเร็วสูงสุด ก็ยังด้อยกว่า
ทุกคันในกลุ่ม Premium Midsize Saloon ทั้งหมดเช่นเดียวกัน จนดูราวกับว่า เครื่องยนต์ D3 ตัวนี้ ถูกสร้างขึ้น เพื่อเน้น
เรื่องความประหยัดน้ำมัน มากกว่าที่จะเค้นเอาสมรรถนะกันจริงจัง แต่จะว่าไป พอเห็นตัวเลข D3 แปะอยู่ที่ท้ายรถ
ก็คิดไว้แล้วว่า ยังไงๆ ตัวเลขสมรรถนะที่ออกมา น่าจะด้อยกว่ารุ่น D5 ที่เคยเข้ามาขายในบ้านเราพักหนึ่งแน่ๆ แล้ว
มันก็เกิดขึ้นจริง เป็นไปตามที่ผมทำนายเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน

ส่วนรุ่น เบนซิน ที่พอ จะไล่ตามชาวบ้านเขาได้แบบไม่ทิ้งห่างกันมากนัก คงมีแต่ 523i F10 และ E200 CGI Blue Efficiency
และนั่นหมายความว่า ต้องใช้น้ำมัน E85 ด้วยแล้วเท่านั้นนะครับ ตัวเลขถึงจะไปเทียบเคียงกับรถคันอื่นๆ ซึ่งเติมแค่น้ำมัน
เบนซิน 95 ปกติ (ไม่ใช่แก็สโซฮอลล์) ได้ ตัวเลขนี้จับเวลากันเอาไว้นานมากแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้อ้างอิงได้จนถึงปัจจุบัน

แต่ถ้ามาดูในเรื่องสมรรถนะจากการขับขี่จริง ผมชักสงสัยว่า ตัวเลขที่ D3 ทำได้ มันน้อยกว่าความจริงไปหรือเปล่า เพราะ
ในขณะออกตัว ไปจนถึงช่วง 80n กิโลเมตร/ชั่วโมง รถก็พุ่งทะยานออกไปอย่างดี และว่องไว กระฉับกระเฉง ไม่รู้สึกว่า
มันอืดเลย แม้แต่นิดเดียว พละกำลังที่ต้องการเรียกใช้

2 สาเหตุ ที่ทำให้ตัวเลขมันออกมาช้ากว่าปกตินั้น มีทั้ง คันเร่งไฟฟ้า ที่ยังทำงานช้าอยู่ในบางช่วง แต่ก็ไม่ช้ายืดยาดเท่ากับ
S80 คันอื่นๆ ที่เคยลองขับมาแต่อย่างใด อีกสาเหตุหนึ่งมาจาก การเซ็ตอัตราทดเกียร์ ซึ่งกำหนดให้เกียร์ 3 ไปตัดรอบ
และเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสู่เกียร์ 4 ที่ความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมงพอดี และในช่วง 90 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง แม้ว่า เข็มวัด
ความเร็วจะไต่ขึ้นไป อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่เร็วเหมือนกับในช่วง เกียร์ 2 และ เกียร์ 3

ประเด็นหลังน่าจะเป็นสาเหตุหลักมากกว่า เพราะในการใช้งานจริง ช่วงความเร็ว 0 – 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น S80 D3
พุ่งปรู๊ด อย่างที่สัมผัสได้เลยว่า มีพละกำลัง ที่จะพารถซึ่งมีน้ำหนักตัวพอสมควรขนาดนี้ พุ่งไปข้างหน้า แบบรถหนักๆ
แต่เครื่องมีแรงบิดเยอะหน่อย ถ้าตัดตัวแปรเหล่านี้ออกไป ผมว่า S80 D3 ก็น่าจะทำตัวเลขได้ 10 วินาทีต้นๆ ซึ่งก็ยังจะ
ช้ากว่า คู่แข่งทุกคันอยู่ดี เพียงแต่ตัวเลข ก็คงจะไม่แตกต่างกันมากเท่ากับที่ตัวเลขจากการทดลองคราวนี้มีออกมาให้เห็น

ส่วนในรุ่น 2.5 FT นั้น ก็คงจะขอยกเอาผลการทดลองเก่าๆ มาเล่าให้คุณผู้อ่านฟังกันได้เลยครับ เพราะว่า การตอบสนอง
ของเครื่องยนต์ และเกียร์ มันไม่ต่างจากรุ่น 2.5 FT คันเดิมเลย กล่าวคือ ตัวเลขที่ทำออกมาได้ช้ากว่าชาวบ้านเขานิดหน่อย
ก็เกิดจากปัญหาคันเร่งไฟฟ้า และลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า จะขอใช้เวลาคิดราวๆ 1 วินาที ก่อนว่า ควรจะทำอย่างไรกับชีวิตของมัน
ต่อไป เหมือนกับคุณไปปลุกพนักงานเก็บค่าทางด่วนบูรพาวิถี ที่กำลังเผลอสัปหงก ช่วง ตี 2 นั่นละครับ พอปลุกและได้สติ
การทำงานก็จะเกิดขึ้นให้คุณได้เห็นอย่างต่อเนื่อง เสียงเครื่องยนต์ ของ 2.5 FT ยังคงหวาน ไพเราะเสนาะหู ถูกใจตาแพน
Commander CHENG! ของเารา เป็นอย่างมาก อย่าลืมว่า หมอเนี่ย ชอบฟังเสียงเครื่องยนต์ พอๆกับ ฟังเสียงของ สาวน้อย
Charice Pempengco

เสียงรบกวน ในห้องโดยสาร ที่ผมเคยคอมเมนท์ไปในรีวิวครั้งก่อน ว่าพอใช้ความเร็วสูงขึ้น ก็มีเสียงลม
เล็ดรอดเข้ามาให้ได้ยินนั้น ในวันนี้ S80 ใหม่ ทั้ง 2 คัน ได้พิสูจน์ให้ผมดูแล้วครับว่า มีการปรับปรุงเรื่อง
การประกอบ จนทำให้ กระจกหน้าต่าง ปิดสนิทกันมากขั้น ในขณะที่คุณกำลังขับด้วยความเร็วสูง เสียง
ที่คุณจะได้ยิน เมื่อพ้นจากระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นไป จะเป็นเสียงกระแสลมไหลผ่านตัวรถ แต่
นั่นก็หลุดรอดเข้ามายังห้องโดยสาร ในระดับเสียงที่ พอจะยอมรับได้อยู่

ด้านระบบกันสะเทือนหน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังแบบ มัลติลิงค์ พร้อมคอยล์สปริงและเหล็ก
กันโคลงทั้งหน้า-หลัง ที่ผมเคยออกความเห็นไปว่า การเกาะถนนหนะ ดีเหมือน S80 รุ่นเก่า รุ่นแรก แต่
มันนิ่มกว่ารุ่นเดิม! และให้ความไม่มั่นใจในการเข้าโค้งเอาเสียเลย แม้ว่าจะเป็นโค้งบนทางด่วน และใช้
ความเร็วระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ตามนั้น

มาวันนี้ หลังจากที่ผมได้ลองขับ S80 ใหม่ ทั้ง D3 และ 2.5 FT Superior ผมคิดว่า ที่ผ่านมา พวกเขาอาจจะ
แอบไปปรับปรุงช่วงล่างมาแน่ๆเลย เพราะคราวนี้ แม้ว่าจะยังคงความนิ่มเอาไว้ เพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มผู้่ใหญ่
อันเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่มักจะซื้อรถรุ่นนี้ แต่ความมั่นใจในการพา ทั้งคู่สาดเข้าโค้งบนทางด่วน หรือโค้ง
หนักๆ เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมนิดนึง คราวนี้ ผมไม่ต้องชะลอความเร็วลงด้วยการแตะเบรกช่วยเหมือนเช่น
ที่เคยเป็นมา แม้ว่าขณะที่อยู่ในโค้ง รถจะเอียงพอสมควร แต่กลับไม่น่าเป็นกังวลเหมือนที่ผมเคยเจอใน
S80 – II ล็อตแรกๆ

ขณะที่การทรงตัวขณะใช้ความเร็วสูงนั้น S80 ยังคงไม่มีเรื่องให้ต้องเป็นห่วงแต่อย่างใด ต่อให้คุณจะใช้
ความเร็วในการเดินทางระดับไหนก็ตาม ด้วยมวลของรถที่หนัก และการปรับแต่งระบบกันสะเทือนมา
เพื่อเน้นความนุ่มสบายในการขับขี่ แต่หนักแน่น และมั่นใจได้เพิ่มขึ้น นิดหน่อย ทำให้ S80 สามารถ
พาคุณทะยานไปด้วยความเร็วระดับ 180 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร

ถ้าเทียบกับรุ่น 3,200 ซีซี ที่ใช้ช่วงล่างปรับได้ 3 ระดับ Four C แล้ว ผมมองว่า การปรับแต่งช่วงล่าง
ในรุ่นปัจจุบัน น่าจะใกล้เคียงกับระดับ Advance อันเป็นระดับสูงสุดของรถ แต่อาจยังไม่ถึงขั้นเทียบชั้น
ได้เท่าเทียมนัก แค่ใกล้เคียงแบบเฉียดๆ

สรุปว่า ตอนนี้ S80 ยังคงมีช่วงล่างที่นุ่มและติดนิ่ม เข้าโค้ง ย้วยๆ แบบเดิมนั่นแหละ เพียงแต่มีการปรับแต่ง
ให้เข้าโค้งได้มั่นใจยิ่งขึ้นกว่าเดิมขึ้นมาอีกนิดหน่อยเท่านั้น ซึ่งก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

ต่อให้เป็นโค้งรูปตัว S บนทางลง ทางด่วนพระราม 6 ผมว่าคราวนี้ S80 ก็พอจะรับมือไหว แต่อย่าลืมว่า
รถที่มีน้ำหนักตัวค่อนข้างเยอะ ก็ย่อมต้องการพละกำลังจากการเบรก มาช่วยเยอะ ไม่แพ้กัน

ส่วนระบบห้ามล้อของทุกรุ่น ยังคงเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมตัวช่วยมาตรฐาน ทั้งระบบป้องกันล้อล็อก
ABS (Anti Lock Brake System) ระบบกระจายแรงเบรกไปยังล้อทั้ง 4 ให้เหมาะสมกับน้ำหนักบรรทุก EBD
(Electronics Brake Distribution) และระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Hydraulic Break Assist การทำงาน
ก็ยังคงเป็นไปเหมือนรุ่นเดิม คือตอบสนองของแป้นเบรก จัดอยู่ในเกณฑ์ดี หน่วงความเร็วได้ดี และแป้นเบรก
ตอบสนองต่อเท้าได้ดี แถมยังสามารถควบคุมแป้นเบรก ให้ทำงานได้ Linear อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ผ้าเบรกเริ่มจับ
กับจานเบรก จนถึงช่วงที่รถหยุดสนิทนิ่ง แป้นเบรกนุ่มเท้า ขับสบาย แต่ ระบบเบรกของ S80 ใหม่ จะค่อนข้าง
ออกแนวไปในทางที่ใกล้เคียง Mercedes-Benz E-Class ใหม่ มากกว่า BMW ซีรีส์ 5 เล็กน้อย ต้องสังเกต ถึงจะ
จับอาการกันได้

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ต้องบอกกล่าวกันไว้ก่อนว่า การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในคราวนี้ เราทำเฉพาะรถรุ่น D3 เพียงรุ่นเดียวเท่านั้น
เพราะว่า รถคันสีดำ 2.5 FT นั้น เครื่องยนต์กลไก เหมือนกันกับรถรุ่นปี 2008 – 2010 ที่เราได้เคยทำรีวิวกันไปแล้ว
ดังนั้น เราจึงจะไม่ทำการทดลองใดๆซ้ำอีกให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น

สำหรับรุ่น D3 นั้น เราใช้มาตรฐานการทดลองแบบเดิม แบบเดียวกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel ทุกคัน คือ ขับไปเติม
น้ำมันเบนซิน Shell V-Power Diesel B5 ที่สถานีบริการน้ำมัน Shell ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS อารีย์ ถนนพหลโยธิน โดย
เติมน้ำมันเข้าไปให้เต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัด ก็พอแล้ว เพราะรถยนต์ประเภทนี้ ผู้ที่จะซื้อ มักมองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เป็นประเด็นรองๆลงไป ไม่ได้ให้ความสำคัญมากเท่ากับ รถกระบะ หรือรถยนต์นั่ง เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี ซึ่งเป็น
กลุ่มที่ใส่ใจเรื่องความประหยัดน้ำมันมากกว่าเยอะ ดังนั้น เราจึงทำการทดลองกันแค่พอให้รู้ตัวเลขว่า รถจะทำตัวเลข
ความประหยัด ได้มากน้อยแค่ไหน ก็เพียงพอ

สักขีพยานและผู้ช่วยในการทดลองของผมวันนี้ คือ น้อง โจ๊ก หรือ V10ThLnD หนึ่งใน The Coup Teram ที่ค่อนข้างจะ
มีกิจธุระยุ่งเหยิงมากขึ้นในพักหลัง เลยไม่ค่อยมีเวลามาเขียนบทความข่าวให้คุณๆได้อ่านเหมือนแต่ก่อน แต่ โจ๊ก ก็จะยัง
เป็นผู้ช่วยในการทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับผมต่อไป

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จ เราSet Trip Meter เป็น 0 เพื่อให้นับระยะทางแล่น จากนั้น คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์
แล้วออกรถ เลี้ยวออกจากปั้ม ลัดเลาะไปตามซอยอารีย์ ไปทะลุออกยังถนนพระราม 6 ขึ้นทางด่วนที่ด่านพระราม 6 มุ่งหน้า
ไปยังปลายสุดทางด่วนอุดรรัถยา ที่แถวๆ เลยเชียงราก ไปถึงอยุธยา จากนั้น เลี้ยวกลับรถที่ปลายทาง ย้อนกลับมาขึ้นทางด่วน
ขับย้อนเส้นทางเก่า ใช้ความเร็วตลอดการเดินทาง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน ตามมาตรฐานเดิม

เมื่อมาลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย ขับตรงมาตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Shell
เติมน้ำมัน V-Power Diesel B5 ให้เต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ อีกครั้ง ที่ปั้มเดิม และหัวจ่ายเดิม ตามสูตร

การคำนวนตัวเลข ก็ไม่ยากครับ แค่เอาตัวเลขระยะทางที่แล่นไป มาหารกับจำนวนน้ำมันเติมกลับเข้าไป เพียงเท่านี้
ก็จะได้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ในทริปนั้น

เหลือบมองไปดู มาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถ โห! ทำได้ตั้ง 18.8 กิโลเมตร/ลิตรเลยเหรอ…โอ้ย สงสัยของเพี้ยน
ตามเคย มาตรวัดพวกนี้ เชื่อไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ แม้ว่าของ Volvo จะใกล้เคียงความจริงกว่าเพื่อนเขาสักหน่อยก็ตาม เอาละ
มาดูกันดีกว่า ว่า S80 D3 จะทำตัวเลขได้เท่าไหร่?

ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด 92.1 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 4.94 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืงเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.6 กิโลเมตร/ลิตร…

หาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

บ้าาาาา บ้าไปแล้ว!!! จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ก็พูดไม่ออก ตัวเลขบนมาตรวัด มันก็ฟ้องอยู่….เฮ้ยยย นี่มันประหยัดแบบ…เทพได้อีก!

นอกจากจะประหยัดน้ำมันกว่า Premium Midsize Saloon ทุกคันในตลาดเมืองไทยตอนนี้แล้ว ยังเลยเถิดไปแซงหน้า Toyota Camry
HYBRID แถมยังประหยัดน้ำมันกว่า ECO Car อย่าง Nissan March ทั้ง CVT และ เกียร์ธรรมดา เข้าให้อีก!! อ๊ากกกกกกกกกกกก!!!!!
ไม่อยากจะเชื่อโว้ยยยยยย!!!! แต่ก็ต้องยอมเชื่อกันละคราวนี้

แต่คงไม่ทำตัวเลขซ้ำนะครับ เพราะในเมื่อ ตัวเลขบนมาตรวัด มันก็ฟ้องว่า จะได้อยุ่ราวๆนี้นั่นแหละ ผมก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

ที่สำคัญ เมื่อเติมน้ำมันเสร็จแล้ว ก็ Set 0 บน Trip Meter อีกครั้ง เพื่อจะดูว่า ระยะทางที่ใช้งานไปทั้งหมด จนถึงวันส่งคืนรถนั้น
จะสิ้นเปลืองน้ำมันไปเท่าไหร่ เราทำคลิปด้วย ขับกันค่อนข้างเร็ว บนทางด่วน และไม่ค่อยได้ขับคลานๆในเมืองเท่าไหร่นัก
วันส่งคืนรถ ตัวเลขระยะทางที่แล่นไปทั้งหมดอยู่ที่ 349.5 กิโลเมตร หรือราวๆ 350 กิโลเมตร และเข็มวัดน้ำมัน ก็ยังไม่หล่นถึง
ขีดกลาง ครึ่งถัง แต่อย่างใด! แสดงว่า น้ำมันถังนึง น่าจะทำได้ราวๆ 700 กิโลเมตร ได้สบายๆ ถ้าผมขับใช้งานตามปกติ ในแบบ
ที่ผมชอบ คือ เรียกอัตราเร่งแซงค่อนข้างเร็ว เพื่อให้เข้าสู่ช่วงลอยตัวไวๆ แต่ถ้าขับเรื่อยๆ เอื่อยๆ ช้าๆ และวิ่งทางไกล ผมว่า เผลอๆ
อาจทำได้ 800 – 900 กิโลเมตร ต่อน้ำมัน 1 ถังด้วยซ้ำ ไม่แน่นะ เป็นไปได้อยู่เหมือนกัน!

********** สรุป **********
แค่ 2 ล้านบาทกลางๆ แต่ได้รถไซส์ E-Class กับ 5 Series….กับความปลอดภัยและความสบายเต็มพิกัด จะเอาอะไรอีก?

ดูเหมือนว่า ผมจะคิดไม่นานนัก สำหรับประโยคสรุป ของรีวิวรถรุ่นนี้ ทั้งที่ความจริงแล้ว ผมเองก็นั่งคิด
อยู่พักใหญ่ๆ ว่าจะใช้ประโยคนี้ดีไหม?

แต่ในเมื่อ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ที่ไม่ต้องการให้ใครมาเห็นด้วยทั้งสิ้น ผมจึงมองว่า นี่ควรเป็น
ข้อสรุปที่ตรงกับสิ่งที่รถคันนี้ มีให้คุณในฐานะของคนซึ่งกำลังตัดสินใจซื้อรถยนต์ในกลุ่ม Premium Midsize
Saloon

อันที่จริง S80 D3 และ 2.5 FT Superior มันก็แทบไม่ได้แตกต่างไปจาก S80 คันอื่นๆ ที่ผ่านมือผมมา
ทั้งคู่ อุดมไปด้วยอุปกรณ์มาตรฐาน และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่เกินหน้าเกินตารถยนต์ระดับราคา
เดียวกันไปพอสมควร แถมรุ่น D3 ยังพกมาด้วยความประหยัดระดับเทพเจ้าทะลุโลกกันไปเลย ทำได้
ยังไงกัน ปาเข้าไป 18.6 กิโลเมตร/ลิตร ดีที่สุด เท่าที่เราเคยทำได้จากรถยนต์ประกอบในประเทศเลย
ที่สำคัญ ยังมีห้องโดยสารซึ่งให้ความสบายในการเดินทางที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว และยิ่งราคาขายปลีก
ถูกดัมพ์ลงมาให้ต่ำลง เหลือเพียง ป้วนเปี้ยนในระดับ 2 ล้านบาทกลางๆด้วยแล้ว ยิ่งน่าสนใจขึ้นมาก

ดูเผินๆ เหมือนว่า S80 น่าจะเป็นรถที่ดีที่สุดในกลุ่ม?

ครับ แต่เปล่าเลย มันก็ยังคงมีข้อควรปรับปรุง เหมือนกับรถคันอื่นๆ นั่นละ!

แต่สิ่งที่ผมอยากจะเห็นใน Volvo S80 รุ่นปรับโฉม Minorchange ครั้งต่อไป ก็ยังคงเป็นเรื่องของ ช่วงล่าง
ผมยังอยากเห็นความนุ่มนวล น้อยลงกว่านี้อีกนิดนึง ระยะความยาวของช็อกอัพที่สั้นลงอีกสักนิด หรือไม่
ก็อาจจะเปลี่ยนช็อกอัพให้หนืดขึ้นกว่าปัจจุบันอีกนิดเดียว น่าจะช่วยให้การตอบสนองของช่วงล่าง จะ
กลับเข้าสู่ความมั่นใจทั้ที่ยังนุ่มนวลกำลังดี ในแบที่ S80 ตัวถังแรก รุ่นปี 2005 เคยเป็นมา

อีกประการหนึ่งก็คือ แม้ว่าเครื่องยนต์ Diesel Common Rail Turbo 2,000 ซีซี จะเพียงพอต่อการใช้งานใน
ชีวิตประจำวันแล้วก็จริง แถมยังให้ความประหยัดอย่างเอกอุ ชนิดที่ว่า ยากจะหารถยนต์ประกอบในไทย
รุ่นใด มาเทียบเคียงกันได้เลย! แต่ ในด้านอัตราเร่งนั้น ผมยังคาดหวังจะเห็นตัวเลข 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ในระดับ 9 วินาทีปลายๆ ถึง 10 วินาทีต้นๆ  อัตราเร่ง 80 – 120 กิฃดลเมตร/ชั่วโมง ในระดับ 7 วินาทีปลายๆ ถึง
8 วินาทีต้นๆ และนั่นคือ สิ่งที่ผมคิดว่า น่าจะยอมรับได้ในระดับเทียบเคียงกับคู่แข่งจากเยอรมันทั้ง 2 คันอย่าง
สมศักดิ์ศรี ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่นี้อีก

คิดว่า 2 ประเด็นนี้ คงจะเพียงพอ ให้ทีมวิศวกรของ Volvo ปวดกบาลได้มากเลยทีเดียว!

ถ้าต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่ง?

แน่ละ จะให้เปรียบกับใครกันได้เล่า ถ้าไม่ใช่เจ้าตลาดในกลุ่ม อย่าง Mercedes-Benz E-Class ใหม่ W212 และ
BMW 5 Series ใหม่ F10 ซึ่งทั้งคู่ กำลังฟาดฟันตัวเลขยอดขายกันอย่างสนุกสนาน จากทั้งแฟนๆขาประจำ หรือ
กลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ ที่คิดจะปีนป่าย เอื้อมมือคว้าทั้งดาว หรือใบพัด มาครอบครองไว้ใช้งานเป็นครั้งแรก ก็พอมีอยู่

ทั้ง E-Class W212 และ ซีรีส์ 5 F10 นั้น สดใหม่กว่า S80 เยอะ แต่ก็ยังมีบางอย่าง ที่ยังไม่อาจจะโค่น S80 ได้ง่ายนัก
เพราะยังไงๆ S80 ก็ยังได้เปรียบทั้งคู่ ในเรื่อง ความสบายในห้องโดยสาร และความประณีตในการประกอบ หรือ
เลือกใช้วัสดุชั้นดี ส่วนช่วงล่างของ S80 ก็ยังให้ความนิ่ง และมั่นใจได้มากกว่า E-Class W212 ใหม่เล็กน้อย บน
ช่วงความเร็วสูงๆ หลัง 160 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ถึงจะเห็นความแตกต่าง

แต่ยังไงๆ S80 ก็ต้องแพ้ให้กับสมรรถนะของเครื่องยนต์ การขับขี่ บังคับควบคุมรถ การออกแบบ และความเอาใจใส่
ในการยกระดับ ซีรีส์ 5 ขึ้นมาให้ดีที่สุด ดีกว่าทุกรุ่นที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่า เหนือกว่ากันเกือบจะทุกด้าน

แต่สิ่งเดียวที่ รับประกันได้เลยว่า ทั้ง Mercedes-Benz และ BMW จะเอาชนะ Volvo ไม่ได้เลย นั่นคือ การตั้งราคา
ค่าตัวของทั้ง E-Class และ ซีรีส์ 5 ใหม่ เริ่มต้นกันที่ระดับ 3,700,000 – 5,000,000 บาท มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐาน
ที่ดูเหมือนจะครบครัน ในระดับหนึ่งก็จริง

ทว่า ใน S80 คุณจะได้รถที่นั่งสบาย และผ่อนคลายในการเดินทางไกลพอกัน เผลอๆจะนั่งสบายกว่าด้วยซ้ำ สำหรับ
เบาะคู่หน้าและหลัง อัตราเร่งที่พอไปวัดไปวา อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ประหยัดบ้าระห่ำ ในรุ่น D3 ด้วยเงินที่จ่าย
น้อยลงจากรถทั้ง 2 คันข้างบนนั้น ถูกกว่ากันตั้ง 1 ล้านบาท (หากมองจากรุ่นถูกสุดของทั้งคู่) ถ้าคุณอยากได้รถขับนุ่มๆ
สบายๆ แม้ว่า ซีรีส์ 5 ใหม่ จะเริ่มให้คุณได้ แถมทำได้อย่างดีเสียด้วย แต่ E-Class ในฐานะเจ้าตลาด ก็ยังทำได้ดี ส่วน
S80 ก็ยังมีเครดิตดีกว่า ตรงที่ ค่าตัวถูกกว่ากันเยอะ แต่ได้่ีรถยนต์ที่มีออพชันพอกัน หรือเผลอๆจtมากกว่า แต่ถ้าคิดจะ
เลือกรถที่ขับเอาสนุกแล้วละก็ เดินเข้าโชว์รูม BMW ไปหา ซีรีส์ 5 ใหม่กันเลยเถอะ!

แล้วจะเลือกรุ่นย่อยไหนกันดีละ?

ปัจจุบัน ณ เดือนมิถุนายน 2011 S80 มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย คือ 2.5 FT Bussiness , 2.5 FT Superior และ 2.0 D3

รุ่นที่แพงที่สุด ก็คงจะเป็น 2.5 FT Superior ราคา 2,849,000 บาท จะมาพร้อมสารพัดอุปกรณ์ความปลอดภัย ที่อัดแน่น
ประดังประเดเข้ามา จนเจ้าตลาดทั้ง E-Class และ ซีรีส์ 5 อาจถึงขั้นค้อนขวับ เอาง่ายๆ เพราะว่ามากันครบถ้วน ไม่ว่า
จะเป็น ไฟหน้า Active Bending Headlight ระบบเตือนก่อนการชน Collision Warning พร้อมระบบเบรกอัตโนมัติ
Auto Brake มีระบบเตือนผู้ขับขี่เมื่อเริ่มเมื่อยล้า แสดงหน้าจอเป็นรูปถ้วยกาแฟ พร้อมระบบเตือนเมื่อขับรถออก
นอกเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ Lane Departure Warning กล้องและสัญญาณเตือนรถที่มาทางด้านข้าง BLIS ระบบ
Adaptive Cruise Control เซ็นเซอร์ช่วยถอยจอด ทั้งที่กันชนหน้า และหลัง ม่านบังแดด กระจกบังลมหลัง และที่
บานประตูคู่หลัง ฯลฯ อีกมากมาย

แต่ถ้าอยากจะได้ของดีราคาถูก เอาไว้ใช้งานในฐานะรถประจำตำแหน่ง ไม่คิดมากเรื่องอุปกรณ์ต่างๆที่จะถูกตัด
ลดทอนออกไปในระดับหนึ่ง การเลือกรุ่น 2.5 FT Bussiness ราคา 2,499,000 บาท ก็ถือว่าไม่เลว เพียงแต่คุณจะ
ต้องเข้าใจว่า ล้ออัลลอย จะลดขนาดจาก 17 นิ้ว เหลือแค่ 16 นิ้ว ค่าเปลี่ยนยางตามท้องตลาด แพงไม่หนีกันมาก
ไฟหน้า ก็จะได้แค่ Halogen มีสวิชต์ปรับระดับสูง – ต่ำมาให้ปรับกันเอง ระบบ Cruise Control ก็จะเป็นแบบ
มาตรฐาน ไม่มีระบบตั้งระยะห่าง และช่วยเบรกมาให้แต่อย่างใด ไม่มีเซ็นเซอร์กะระยะถอยจอดที่กันชนหน้า
ไม่มีม่านบังแดดมาให้เลย ไม่มีระบบ Collision Warning With Auto Brake มาให้ ถือว่า ออพชันที่หั่นออกไป
ก็ไม่ถึงกับทำให้รถรุ่นนี้ ขาดความน่าสนใจไปมากนัก ถ้าคิดอยากจะเก็บเงินไว้เติมน้ำมันแล้วซะอย่าง

อย่างไรก็ตาม รุ่นที่ดูจะคุ้มค่า คุ้มราคาที่สุดในตอนนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นรุ่น D3 ราคา 2,699,000 บาท.ด้วยเหตุผล
ที่ว่า ได้ข้าวของมาครบไม่แพ้รุ่น 2.5 FT Superior เลย จะขาดไปก็เพียงแค่ ไม่มีม่านบังแดดกระจกบังลมหลัง
และบานประตูคู่หลัง ไม่มีระบบเตือน Driver Alert กับระบบ Lane Departure Warning แค่นั้นเลย! นอกนั้น
สิ่งใดที่ รุ่น 2.5 FT Superior มีมาให้ รุ่น D3 ก็มีเหมือนกันเป๊ะ แต่จ่ายในราคาที่ถูกกว่าชัดเจน

ล่วงเลยมาถึงบรรทัดนี้ คุณผู้อ่านก็คงจะเถียงผมแหละครับว่า ตอนซื้อหนะ มันก็คุ้มดีอยู่หรอก แต่ตอนซ่อมเนี่ยสิ
จะคุ้มร้าย หรือเปล่า?

เออ…นั่นสิ…!?

ผมจะตอบได้เต็มปากไหมละเนี่ย?

แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่า  Volvo Cars Thailand ก็ยังไม่สามารถแก้ไขภาพลักษณ์ในเรื่องราคาอะไหล่ที่ค่อนข้าง
จะแพงในระดับพอกันหรือแพงกว่ากับค่ายยุโรปอื่นๆ ได้เลยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คือไม่เข้าใจเหมือนกัน
ว่าทำไม ยังไม่เห็นความพยายามในเรื่องนี้ ออกมาเป็นรูปธรรม ในระยะหลังๆเท่าไหร่นัก ทั้งที่นี่ก็เป็น
ปัญหาหนึ่ง ที่ทำให้หลายๆคน ยังไม่กล้าตัดสินใจซื้อ Volvo รุ่นใหม่ๆ

แต่สิ่งที่ผมได้เห็นจากความพยายามในการแก้ไขปัญหาของ Volvo Cars Thailand ให้แก่ลูกค้าที่โชคร้าย ในรอบ
2 ปีที่เปิดเว็บไซต์ headlightmag.com นี้มา ผมว่า สถิติ ที่เรื่องราวจะจบลงด้วยดี ตั้งแต่ความพยายามจะช่วยเหลือ
ซ่อม และแก้ไขปัญหา ขนาดที่ว่า นายช่างฝรั่ง ถึงขั้น ขลุกอยู่กับการเขียน และแก้ไขโปรแกรมกล่อง ECU กัน
อย่างเอาเป็นเอาตาย หรือจะเป็นกรณีที่น้ำมันดีเซล ที่ไม่สะอาดพอ เป็นเหตุให้ถึงขั้นต้องเปลี่ยนรถ XC60 D3
ใหม่ทั้งคัน ทั้งที่ออกรถไปได้เพียง 2 วัน ทำให้ผมคิดว่า ผมไม่ค่อยจะห่วงเท่าไหร่ ถ้าตราบใดที่ Volvo  ยังมี
ผู้บริหารอย่าง พี่ตุ้ม ฉันทนา และทีมงานที่ ดูเอาจริงเอาจังกับปัญหากันขนาดนี้ เกินกว่าที่ผมจะคาดคิดเอาไว้
เสียอีก

แต่ไม่ต้องกลัวครับ ถ้าวันไหน Volvo ทำอะไรไม่เข้าท่า อย่านึกว่า J!MMY จะไม่กล้าด่า….
เพราะ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง…ผมก็ไม่ปล่อยเอาไว้แน่ๆ…และจะเล่นกันแบบเต็มพิกัดชัวร์ๆ

ผมได้แต่ ภาวนาว่า อย่าให้วันนั้น มันเกิดขึ้นเลย!

——————————————–///————————————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks :

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ 
บริษัท Volvo Cars (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม

รวมบทความทดลองรถยนต์ในกลุ่ม Premium Midsize Saloon คลิกที่นี่

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
17 พฤษภาคม 2011

Copyright (c) 2011 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 17th,2011

 แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments Are Welcome Click here!