การได้กลับมา ขับ รถยนต์ รุ่นที่ เราเคยชอบ หรือประทับใจนั้น สำหรับผมเอง นอกจากเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว
อีกแง่มุมหนึ่ง ยังถือเป็นการตรวจเช็ค ไปในตัวอีกว่า สัมผัสเดิม ที่เราคุ้นเคยมาก่อนนั้น มันเหมือนเดิม
หรือว่าแตกต่างไปจากครั้งแรกที่เราเคยขับ หรือไม่

เรื่องนี้ ถ้ามีโอกาสทำได้ ก็ควรจะทำ เพราะมีอยู่บ้างเหมือนกัน ที่เมื่อผมมีโอกาสได้ลองขับ รถยนต์ รุ่นใหม่ๆ
ซึ่งดีกว่า รถคันเดิมที่เราเคยประทับจิต พอกลับมาลองรถรุ่นโปรดกันอีกครั้ง บางสัมผัส อาจจะไม่เหมือนเดิม
อัตราเร่งที่เราเคยบอกว่าดี ช่วงล่างที่เราเคยบอกว่ามันนุ่มกำลังดี เบรกที่เราเคยคิดว่า มั่นใจ และให้ระยะหยุดรถ
จนสนิทนิ่ง ได้สั้นจนน่าพอใจนั้น อาจจะแตกต่างไป จนทำให้คุณคิดกับรถรุ่นโปรดนั้น ไม่เหมือนเดิมไปเลยก็ได้
คือ ถ้าไม่ได้ชอบมากไปกว่าเดิม มันก็อาจจะด้อยค่าลงไปในสายตาของคุณกันเลยก็ว่าได้

ค่อนข้างโชคดี ที่ในระยะนับย้อนหลังไป 2 ปีมานี้ กว่า 90 เปอร์เซนต์ ของรถยนต์ที่ผมนำมาทดลองขับ หลังจากนั้น
ผมจะมีโอกาส จับรถยนต์รุ่นเดียวกัน เครื่องยนต์ อาจจะเหมือน หรือต่างกัน แต่ในตัวถังเดียวกัน อย่างน้อยๆ ก็รุ่นละ
2 คัน เป็นอย่างต่ำ บางรุ่น ปาเข้าไป 6-7 คัน ขับกันจนเบื่อหน้าไปข้างนึงเลยทีเดียว ก็มี

และครั้งนี้ ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ผมจะได้ทำแบบนี้ ซ้ำอีก เพียงแต่ว่า รถคันที่ผมเคยชื่นชอบ มาในรูปโฉมใหม่
ที่ถูกยกระดับให้ดูสวยขึ้น แต่กลับมี เครื่องยนต์ เล็กลงกว่าเดิม….??

มันยังไงกันเนี่ย?

สาวน้อยหุ่นเจ้าเนื้อคันนี้ เคยแวะเวียนเข้ามาในชีวิตผมครั้งแรก ครบ 3 คันรวด ช่วงราวๆ กลางค่อนปลายปี 2008  
ครั้งนั้น ผมออกจะฉงนอยู่เล็กๆ ว่า ในที่สุด Volvo ก็เริ่มทำรถในแนวขับสนุก ที่ไม่ใช่แค่แรงอย่างเดียว
ได้ดีเหมือนชาวบ้านเขาเป็นบ้างแล้วหรือนี่ ออกจะเสียดายอยู่นิดหน่อยว่า เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ที่ให้มา
แม้ว่ามีพละกำลังค่อนข้างสมตัว แถมยังเปิดโอกาสให้ลูกค้า เลือกชุดแต่ง ได้ในลักษณะ Buffet Package
แม้ว่าตัวรถในรุ่นพื้นฐาน ราคาเริ่มต้นจะอยู่ในระดับ 2.4 ล้านบาท แต่ ด้วยราคาของแต่ละชุดอุปกรณ์ตกแต่ง
ที่แพงเอาเรื่อง เมื่อรวมกับค่าตัวของรถเปล่าๆ เข้าไปแล้ว คุณอาจจะต้องจ่ายแพงกันถึง 3 ล้านบาท ต้นๆ
กันเลยทีเดียว เพื่อจะแลกมากับรถคันที่ตกแต่งทุกอย่างจนสมบูรณ์พร้อม  

ดังนั้น หลายๆคน จึงเริ่มไม่เหลียวแล Volvo C30 กันอีก ทั้งที่ในภาพรวมแล้ว มันขับสบายกว่า MINI
และทำให้คนรอบข้างผมหลายๆคน ลืม MINI กันไปเลย ก็ตามที

ซึ่งผิดกับ สถานการณ์ยอดขายของ C30 ในต่างประเทศ อย่างมากโข เพราะนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี
2006 Volvo ขาย C30 ไปได้ 1,596 คัน พอย่างเข้าปี 2007 อันเป็นปีแรกที่ ขายกันครบปี ทำตัวเลขได้มากถึง
46,726 คัน จากนั้น ในปี 2008 ตัวเลขจะเริ่มลดลงมาเล็กน้อย ตามสภาพวิกฤติเศรษฐกิจโลก อยู่ที่ 39,966 คัน
หรือหายไปเกือบ 40,00 คันเลยทีเดียว

แต่พอมาปี 2009 ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และมีคู่แข่งในตลาด เป็นตัวเปรียบเทียบมากขึ้น แถมยังมี
อาการเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก มากระทบอีก ทำให้ตัวเลขยอดขายของ C30 ตลอดทั้งปีนั้น ลดลงถึง
18.9 เปอร์เซนต์ เหลือ 32,409 คัน ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม สรุปแล้ว นับตั้งแต่ เปิดตัว จนถึง สิ้นปี 2009 Volvo ขาย C30 รุ่นแรก ออกไปแล้วมากถึง 120,697 คัน
ตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า รถรุ่นนี้ ต้องมีคุณงามความดีบางอย่าง ที่ทำให้สามารถสะสมยอดขายตลอด 5 ปี
ได้มากขนาดนี้ ส่วนหนึ่ง มีผลมาจาก การปรากฎตัว ในภาพยนตร์เรื่องดัง ประกบคู่กับ Vampire หนุ่มรูปหล่อ ยอดขาย
ก็เลยพุ่งกระฉูดอย่างที่เห็นด้วย ก็น่าจะเป็นไปได้เยอะอยู่

เพื่อไม่ให้ยอดขายร่วงไปกว่านี้ บริษัทแม่ใน สวีเดน ก็เลยตัดสินใจ เปิดตัวรุ่นปรับโฉม Minorchange หรือ Facelift
ซึ่งแปลเป็นไทยกันตรงตัวว่า รุ่นยกกระชับผิวหน้า ที่เริ่มเหี่ยว อุดมไปด้วยรอยตีนกา ให้เต่งตึงขึ้นมาจนหน้าตาใสปิ๊ง
ตาหวานแหวว เหมือนนางเอกในหนังสือการ์ตูนตาหวานของญี่ปุ่น กันเลยเสียอย่างนั่้น เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2009 หวัง
กระตุ้นยอดขายกัน

เราคนไทย ก็รอกันอีกเพียงไม่นานหลังจากนั้น เพราะ พี่ตุ้ม ฉันทนา วัฒนารมย์ หญิงแกร่ง แม่ทัพใหญ่
ของ Volvo Cars Thailand รีบประชุมๆๆๆ สั่งรถรุ่นใหม่ สเป็กใหม่ เข้ามาขายกันค่อนข้างฉับไว
เปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 16 มีนาคม 2010 ที่ผ่านมา และส่งเข้าอวดโฉมต่อสาธารณชนครั้งแรก กลางงาน
Bangkok International Motor Show เมื่อ ปลายเดือนมีนาคม 2010 คราวนี้ Volvo Cars Thailand
เขาเลือกจะหาทาง หั่นค่าตัวรถรุ่นนี้ลงมาจากเดิมอีกสักหน่อย เพื่อให้ป้ายราคาหน้าโชว์รูม ดูเชื้อเชิญ
ลูกค้าให้เข้ามายลโฉมกันมากขึ้น 

ภายใต้ตัวรถที่มีความยาว 4,266 มิลลิเมตร กว้างไม่รวมกระจกมองข้าง 1,839 มิลลิเมตร แต่ถ้ารวม
กระจกมองข้าง จะอยู่ที่  2.039 มิลลิเมตร สูง 1,447 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร
มีการปรับปรุงเส้นสายด้านหน้าใหม่ทั้งหมด เปลือกกันชนหน้า กระจังหน้า ชุดไฟหน้าออกแบบ
ขึ้นใหม่ จนสวยงามร่วมสมัย กว่าเดิม ตั้งแต่รุ่น 2.0 G จนถึงรุ่น R-Design-II จะมีชุดไฟหน้าแบบ
Bi-Xenon พร้อมระบบปรับมุมองศาตามการเลี้ยวอัตโนมัติ ABL (Active Bending Lights)
และระบบปรับระดับ ขึ้น-ลง อัตโนมัติ

ส่วนบั้นท้าย มีการปรับเปลี่ยนงานออกแบบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เปลือกกันชนหลัง ดีไซน์ใหม่
ในรถรุ่นที่เรานำมาทดลองขับกัน เป็นรุ่น R-Design-II ถือเป็นรุ่นสูงสุด มีการตกแต่งเพิ่มเติม ทั้ง
ล้ออัลลอย 7 x 17 นิ้ว สวมยาง 205/50 R17 ฝาครอบกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวในตัว เป็นสีเงิน
มีชุด Aero Part มาให้รอบคัน และทั้งหมดนั้นหนะ แค่ภายนอกเท่านั้น ยังไม่รวมถึงภายในรถ

ถึงเวลาที่เราจะเข้าไปในนั่งห้องโดยสาร กัน เสียที กุญแจของรถคันนี้ เป็นแบบ รีโมทคอนโทรล
พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer  ซึ่งมีหน้าตาเหมือนกุญแจ ของ S40 และ V50 ทุกประการ เป๊ะ!

เหมือนกันราวกับแกะ ไม่เว้นแม้แต่การติดตั้งฟังก์ชัน Smart Exntry มาให้ แค่เดินเข้าใกล้รถ แล้วดึง
มือจับเปิดประตู หรือกดปุ่มบนมือจับประตู ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ก็สามารถ ล็อก-ปลดล็อก ประตูทุกบานได้
และสามารถปรับตั้งให้ ปลดล็อกได้ เฉพาะประตูฝั่งคนขับบานเดียว หรือ ปลดล็อกได้ทุกบานพร้อมกัน
อีกทั้งยังสั่งเปิด ฝากระโปรงหลัง ได้จากกุญแจชุดเดียวกันนี้

การติดเครื่องยนต์ จะใช้กุญแจ เสียบบิดในสวิชต์หมุนติดเครื่องยนต์ตามปกติ หรือ หมุนมือบิด ที่แถมมาให้
เสียบเข้ากับรูกุญแจ ได้ทันที สวิชต์มือบิดนั้น สามารถถอดออกได้ ในยามที่ต้องการสัญญาณจากกุญแจ
มาช่วยในการติดเครื่องยนต์ หากแบ็ตเตอรีของ กุญแจรีโมท ใกล้หมดลง ในอนาคตอันห่างไกล

เมื่อเปิดประตูเข้าไป นอกจากจะได้พบกับบรรยากาศเดิมๆ ที่เคยคุ้นตา ทั้งบานประตูอันหนักอึ้ง
จนต้องกะจังหวะ ในการเปิด-ปิด ให้ดีๆ มิเช่นนั้น มันอาจจะดีดตัว กลับมาหนีบร่างคุณเอาไว้
ให้เจ็บช้ำเล่น ก็เป็นได้ (แต่ดีแล้ว ประตูหนักดี หลายคนชอบ เพราะว่า มันหนักแน่นดี ดีกว่าประตู
เบาๆ กลวงๆ โหวงๆ) ผมว่า ผมได้พบความจริงข้อหนึ่ง ที่ทำให้ผม เข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมผมถึง
ควรใช้ชีวิตกับรถคันนี้ มากกว่า Sport Coupe ทั่วไปคันอื่นๆ

ประเด็นที่ว่า ก็คือ การลุกเข้า-ออกจากห้องโดยสาร ถ้าเป็น VW Scirocco คุณจะพบความยากลำบาก
ในการดันตัวเอง ลุกขึ้นยืน เมื่อต้องออกจากรถ แต่ C30 ผมกลับไม่พบปัญหานี้เลย ลุกเข้า – ออก สบายๆ
ราวกับว่า กำลังเปิดประตู รถเก๋งรุ่น S40 ทั้งที่เห็นได้ชัดเจนอยู่เต็มสองตาว่า ตำแหน่งเบาะนั่ง เมื่อปรับ
ให้อยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว จะเตี้่ยกว่าเบาะของ S40 และ V50 อย่างชัดเจน

เบาะนั่ง ของรถคันที่เราทดลองขับ ตกแต่งมาในแบบ R-Design ซึ่ง ก็ยังคงมีสีสัน แปลกๆ แต่นั่งสบายตัว
ทั้งหัว ไหล่ ตูด ไม่ได้ต่างกับ C30 1.8 F E85 คันเดิมที่เคยลองขับแต่อย่างใด ทั้ง ฝั่งผู้โดยสาร และฝั่งคนขับ
มีระบบปรับตำแหน่งเบาะ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า และสามารถเลือกให้ระบบ จำตำแหน่งที่ปรับเอาไว้ ร่วมกับ
ตำแหน่งของกระจกมองข้าง พับ และปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมกัน ได้ถึง 3 ตำแหน่ง

นอกจากนี้ พื้นที่เหนือศีรษะ ก็ไม่ได้ต่างกันกับ รถในตระกูลนี้ ทุกรุ่น คือ มีพื้นที่โล่ง พอใช้ได้ นั่งได้เต็มก้น
แต่ เข็มขัดนิรภัย ยังต้องเอื้อมมือไปดึงมาใช้งาน ซึ่งก็ไม่สะดวกเท่าที่ควร ถ้ามีแขนดึงออกมา อย่าง BMW
หรือ Mercedes-Benz ได้ก็คงจะดี

แผงประตู ทั้ง 2 ฝั่ง ยังคงมีช่องสำหรับวางแขน ซึ่งวางได้อย่างสบายดีเหมือนเคย ให้สัมผัสที่มั่นใจ
กระชับ และปลอดภัย..คุ้นๆว่า มันควรจะเป็นสโลแกน ถุงยางอนามัย นี่หว่า?

การเข้า – ออก จากเบาะแถวหลัง ยังใช้วิธีเดิม คือ ยกคันโยก บริเวณไหล่ของเบาะนั่ง คู่หน้า เพื่อ พับพนักพิง
โน้มไปข้างหน้า แล้วกดสวิชต์ไฟฟ้า เลื่อนชุดเบาะขึ้นไปข้างหน้า ช่วยอีกแรง อาจใช้เวลานานไปหน่อย
แต่ก็ ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าคุณไม่ได้รีบร้อนจะออกจากบ้านมากนัก การเข้า – ออก จากเบาะหลัง ทำได้
พอใช้ได้ เหมือนกับทั้ง VW Scirocco และ BMW 120d อย่าเผลอเหบียบสายเข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด
พร้อมระบบดึงกลับ และผ่อนแรงปะทะ โดยอัตโนมัติ Pre-tensioner & Load Limiter เข้าก็พอ ไม่เช่นนั้น
คงได้สะดุดหัวคว่ำ คะมำกันในรถนั่นแหละ

เบาะคู่หลัง รองรับผู้โดยสารได้อีก 2 คน หุ่นขนาดผม ยังเข้าไปนั่งได้อย่างสบายๆหัวไม่ติด นั่งได้เต็มก้น
ดูเหมือนว่า Volvo จะออกแบบพื้นที่ด้านหลังมาค่อนข้างดีกว่าที่คาดเอาไว้ อันที่จริง VW Scirocco ก็สามารถ
เข้าไปนั่งบนเบาะหลังได้เช่นกัน แต่ พื้นที่เหนือศีรษะ อาจจะเหลือน้อยกว่า C30 นิดนึง เท่านั้นเอง

พื้นที่วางขา ทำได้สบายๆ ไม่มีปัญหาใดๆเลย สำหรับการเดินทางไปด้วยกัน 4 คน ตามแนวทางที่ C30 ถูก
ออกแบบให้รองรับเอาไว้ มาแล้ว ที่วางแขนด้านหลัง ตรงกลาง พับลงมาได้ และแน่นอน ชุดพนักพิงเบาะ
สามารถแยกฝั่งพับลงมาได้ ทั้ง ซ้าย – ขวา เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง

กระจกบังลมหลัง ยังคงทำหน้าที่เป็นฝากระโปรงหลังในตัว เหมือนรถรุ่นเดิม
เมื่อเปิดขึ้นมาแล้ว คุณจะพบเห็นอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

ในรีวิวของ C30 ครั้งก่อน ผมเคยชี้ให้เห็นจุดด้อยของรถรุ่นนี้ไปว่า ถ้าในขณะที่คุณกำลังขับรถไปในเมือง
ไปจอดรถตามห้าง แล้วต้องเก็บของไว้ที่ฝากระโปรงหลัง มันมีความเสี่ยงสูงมาก ต่อการโดนมิจฉาชีพ
มาทุบกระจกฝากระโปรงหลัง แล้วคว้าเอา ทรัพย์สมบัติของคุณ ไปได้ง่ายดายอย่างหน้าตาเฉยเป็นที่สุด

อีกทั้ง ถ้าคุณคิดจะ จับมือถือแขน กับคู่รักของคุณ ขณะนั่งอยู่ในรถ ก็คงจะหาความเป็นส่วนตัวยากหน่อย
เนื่องจาก ไม่ว่าคุณจะลืมยกที่วางแขน ของเบาะคู่หลัง เก็บขึ้น หรือไม่ก็ตาม โอกาสที่ คนขับรถ คันที่ตามมา
ด้านหลัง จะเห็นหมดเกลี้ยง ว่าคุณสองคน ทำอะไรกันในรถ ก็มีโอกาสสูงมาก

มาคราวนี้ Volvo ก็เลยทำแผงพลาสติก ปิดบังเอาไว้เสียเลย ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แผงพลาสติกที่ว่านี้ ถูกออกแบบ
ให้มีช่อง ใส่ของ พร้อมฝาปิด สำหรับการเก็บกระเป๋าเอกสาร หรืออะไรก็ตามแต่ ให้พ้นจากสายตาของโจรโฉด
ทั้งหลาย แต่ถ้าอยากจะยกออก เพื่อความสะดวกในการแบกสิ่งของขนาดใหญ่กว่าปกติ จนต้องพับเบาะหลัง
ลงมาด้วยนั้น ก็ไม่ยากเย็นอะไร มีสติกเกอร์คำแนะนำ แปะเอาไว้ บนแผงพลาสติกให้อ่านและทำตามเรียบร้อยแล้ว
ถือเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่น่าปรบมือให้ จริงๆ

เมื่อก้าวขึ้นมานั่งบนรถ ผมก็พบว่า หลายสิ่งหลายอย่าง ช่างคุ้นตา คุ้นมือ อะไรเช่นนี้

แน่ละสิ! แผงหน้าปัด ยังคงมีหน้าตาเหมือนเดิม เป๊ะ เหมือนกันหมด ทั้ง Volvo S40 V50 C30 รุ่นก่อน และ C70
เลยนั่นแหละ! เป็นแผงหน้าปัด ที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนตัว แบบหนึ่ง เลย เนื่องจากว่า จัดวางอุปกรณ์ เรียบง่าย
ลงตัว สะดวกในการคลำใช้งาน ขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง สวิชต์ มีมาให้เท่าที่จำเป็นต้องใช้งาน

C30 คันที่เรานำมาทดลองขับดันนั้น เป็นรุ่นย่อย R-Design II ซึ่งถือเป็นรุ่นท็อป มีอุปกรณ์ เพิ่มเข้ามาจากรุ่นธรรมดา
ทั้งพวงมาลัย Mult-Function 3 ก้าน ทรงสปอ์ต หุ้มหนัง อวบอ้วน เส้นรอบวง ใหญ่กว่าฝ่ามือผมเล็กน้อย แต่จับถนัด
บังคับเลี้ยวได้ดี

มีระบบ BLIS (Blind-Spot Information System) อันเป็น กล้องอินฟาเรด และไฟสัญญาณเตือน สีส้มอำพัน ติดตั้งไว้
ใต้กระจกมองข้าง ทั้ง 2 ฝั่ง จับสัญญาณรถคันที่แล่นตามมาด้านข้าง เมื่อมีรถยนต์ จักรยานยนต์ รถบัส ฯลฯ เข้าใกล้
ในขณะที่รถของเรากำลังแล่นอยู่ กล้องจะส่งสัญญาณ ให้ระบบ ขึ้นไฟเตือน ที่ฐานกระจกมองข้าง ซึ่งถือเป็นระบบ
แจ้งเตือน ที่ผมชื่นชอบมากเป็นการส่วนตัว และอยากเห็นผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ หาทาง นำไปใส่เอาไว้ในรถของตน
กันได้แล้ว

สวิตช์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า เป็นแบบ One-Touch ทั้ง 2 ฝั่ง กระจกมองข้างพับและปรับด้วยไฟฟ้านั้น ถ้าจะพับเก็บ
หรือกางออก ต้องกด ปุ่ม L กับ R พร้อมกันทั้ง 2 ปุ่ม ผมก็คลำหาอยู่ตั้งนาน ตามประสาคนที่ไม่ได้ขับ Volvo มานานแล้ว

สวิชต์ไฟหน้า สวิชต์ เปิดไฟตัดหมอก และสวิชต์ เปิดฝาถังน้ำมัน ติดตั้ง รวมกัน อยู่ที่ ฝั่งขวาใต้ชุดมาตรวัด

ชุดมาตรวัด หน้าตายังคงเหมือน C30 รุ่นแรก S40 และ V50 อีกเช่นกัน แบ่งเป็น 2 จอ มองข้อมูลค่อนข้างสะดวก
ไม่ลายตามากนัก หากต้องเหลือบมอง ขณะขับรถด้วยความเร็วสูง ตำแหน่งไฟสัญญาณเตือนต่างๆ จัดเรียงเอาไว้
เป็นระเบียบ อยู่ด้านข้าง มาตรวัดทั้ง 2 ฝั่ง แสงสว่าง ใช้โทนสีเขียวอ่อน ดูสบายตา  เช่นเดิม ด้านบนสุด ตรงกลาง
เป็นจอแสดงข้อมูล ทั้งอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเฉลี่ย และแบบ Real-Time หรือเรียกว่า Instantly คำนวน
ระยะทางที่น้ำมันในถัง จะพารถแล่นไปต่อได้ รวมทั้งแจ้งเตือน อุปกรณ์ต่างๆภายในรถ แบบเดียวกับ Volvo รุ่นอื่นๆ

นอกจากนี้ยังมี ระบบ IDIS ซึ่งจะวิเคราะห์สถานการณ์ การขับขี่อยู่ตลอดเวลา ถ้าจำเป็น ระบบจะชะลอการส่งข้อมูล
บางอย่างจากระบบสื่อสารภายในรถเป็นการชั่วคราว เช่น โทรศัพท์ในรถ ทันทีที่สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ สาย
เรียกเข้าหรือข้อความแจ้งเตือน ที่เกี่ยวข้องจะปรากฏให้คนขับได้ทราบ หรืออาจตั้งให้ระบบ IDIS แจ้งสายเรียกเข้า
ในทุกสถานการณ์ก็ได้  ถือเป็นชุดมาตรวัดที่ดีที่สุด อีกชุดหนึ่งที่เคยเจอมา

แผงควบคุมตรงกลางยังคงเหมือนเดิม เป็นแบบ ลอยตัว เรียกว่า Stand-alone free-floating Centre stack เช่นเดียวกับ
Volvo  S80 S40 V50 C70 และ XC60 ใหม่ ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจมาจาก ชุดเครื่องเสียง B&O (Bang & Olufsen)
พื้นผิวอะลูมีเนียมที่ใช้อยู่ ก็เป็น อะลูมีเนียมแท้ๆ ไม่ใช่พลาสติกหล่อขึ้นรูปแต่อย่างใด!

ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่า มีลวดลายแบบใหม่ ซึ่งจะมีมีเฉพาะในรุ่น R-Design เท่านั้น เป็นลายคลื่นหยดน้ำ
ประดับทั้งบนแผงควบคุมกลาง และตามมือจับประตู หากเป็นรถรุ่นมาตรฐาน ก็จะเป็น แผงอะลูมีเนียม
ไม่มีลวดลายแต่อย่างใด

ถัดจากช่องแอร์ ลงไป จะเป็นชุดเครื่องเสียง แบบ High Performance ประกอบด้วย วิทยุ RDS, เครื่องเล่น CD / MP3
และ WMA พร้อม CD-Changer  6 แผ่นในตัว แอมพลิไฟเออร์ High Performance กำลังขับ 4×40 วัตต์ ลำโพงแบบ
High Performance 8 ตัว, ช่องต่อ AUX ที่กล่องเก็บของคอนโซลกาง ใต้ที่วางแขน สำหรับเครื่องเล่น iPod® และ USB
รวมทั้งสวิชต์ควบคุม บนพวงมาลัยฝั่งขวา

ขอยืนยัน เหมือนกับที่เคยเจอมาในรถรุ่นอื่นๆของ Volvo กันอีกครั้งว่า คุณไม่จำเป็นต้องอัพเกรดชุดเครื่องเสียง
ไปเป็น Premium Performance แต่อย่างใด เพียงแค่ ชุดที่ติดรถมาให้นี้ ก็ประเสริฐเลิศหล้าที่สุดในกลุ่มรถยนต์ระดับ
Premium Compact ด้วยกันแล้ว ผมไม่เคยผิดหวังกับชุดเครื่องเสียงของ Volvo รุ่นใหม่ๆ เลย ในแทบทุกคันที่เคย
พบมา เสียงเบส มีมิติ กลมกลืน และมีการกักเก็บเอาไว้อย่างดี เสียงใส ก็ไม่เสียดแทงแก้วหู เสียงกลางปรับมา
ในระดับกำลังดีแล้ว

แต่ถ้ายังอยากจะปรับระดับเสียง เพิ่มเติม ก็สามารถ กดเข้าไปดูในเมนูได้ เลือกปรับ Equalizer เองได้
ทั้งลำโพงด้านหน้า และลำโพงด้านหลัง แยกปรับได้อิสระจากกัน !! ทีนี้ ก็ปรับกันเข้าไปสิครับ
ปรับผิดนิดเดียวเสียงก็จะผิดเพี้ยนจากที่ตั้งใจไปไกลเหมือนกันนะ

ชุดเครื่องเสียง มีระบบ Bluetooth เชื่อมการทำงานกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ อาจจะต้องใช้เวลา รอสักนิด
แต่ก็ทำงานได้สะดวกดี เสียงในการพูดคุย ในรถ ถือว่าดีใช้ได้

ถัดลงไป เป็นเครื่องปรับอากาศ Digital แบบ ECC (Electronics Climate Control) แยกฝั่งปรับอุณหภูมิได้ทั้ง
ซ้าย-ขวา พร้อมระบบควบคุมคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสาร IAQS (Interior Air Quality System) ซึ่งจะ
ตรวจสอบระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ของอากาศที่เข้ามาในรถได้โดยอัตโนมัติ ช่องอากาศเข้าจะปิดก่อนที่
ระดับคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เครื่องปรับอากาศ ทำความเย็นได้เร็วมากๆ
ในเวลาไม่กี่นาที สวิชต์ควบคุมหลัก อยู่ที่ ปุ่มหมุนด้านล่างทั้ง 2 ปุ่ม

การทำงานของ ทั้ง เครื่องปรับอากาศ ละชุดเครื่องเสียง แสดงผลผ่านจอ มอนิเตอร์ ตรงกลาง ใต้ช่องใส่ CD
นกจากนี้ยังมีระบบ Park tronic เซ็นเซอร์ ช่วยกะระยะในการถอยเข้าจอด ด้านหลัง ติดตั้งมาให้ ตั้งแต่รุ่น
2.0 G ขึ้นไป

อีกสิ่งพิเศษ ที่ไม่ค่อยพบได้ในรถยนต์ทั่วๆไป คือ เบาะนั่งคู่หน้า มีช่องลับ เอาไว้สำหรับเสียบ เศษเงิน เหรียญ
หรือของอะไรก็ตาม ที่มีขนาดเล็กๆ เหมาะแก่การคงอยู่อย่างลับๆ เงียบๆ ไม่กระโตกกระตากให้ใครรู้…

ฮั่นแน่! คุณผู้อ่านกำลังนึกถึง ถุงยางอนามัย ใช่ไหมละ!!! รู้ทันน่า!!

รู้ได้ไง?

ก็พวกเรา the coup team คิดเห็นแบบนี้เหมือนกันเป๊ะเลยหนะสิครับ!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

ด้วยเหตุนี้ เราเลยขอเรียกช่องลับแบบนี้ว่า “ช่องซ่อนถุงยางฯ”!!!

นี่เป็นการตอกย้ำว่า Volvo เป็บริษัทรถยนต์ที่ส่งเสริม และใส่ใจในการคุมกำเนิด และวางแผนประชากร
สมกับเป็นู้ลิตรถยนต์ ากดินแดน Free Sex เสียจริงเลยทีเดียวเชียว ถ้าไม่เชื่อว่าผมพูดจริง
ก็ลอง ดูสัญลักษณ์ ของ Volvo สิครับ ดูแล้ว คุณนึกถึงอะไรได้บ้างละ?

คริคริ

ช่องวางแก้ว มี 2 ตำแหน่ง สำหรับเบาะคู่หน้า กล่องคอนโซล มีขนาดใหญ่โต พร้อมช่องเสียบ USB
และ AUX มาให้ รูปทรง หน้าตา เหมือนกับชุดเดิมใน C30 S40 V50 ชัดๆ

ด้านทัศนวิสัย ก็ยังคงเหมือนเดิม ด้านหน้า ดูโปร่งตาใช้ได้  ไม่มีปัญหาอะไร

แต่ฝั่งขวามือ เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar มีขนาดใหญ่ บดบังรถที่แล่นสวนกัน บนทางโค้งขวา
ของถนนแบบสวนกัน 2 เลน ได้มิด พอกันกับ VW Scirocco นั่นละ

ขณะที่ฝั่งซ้ายมือ ปัญหาเดิมๆ ก็ยังคงอยู่ นั่นคือ การออกแบบแผงประตูให้รับกับแผงหน้าปัด
จนขอบด้านล่าง บนบังกระจกมองข้างฝั่งซ้ายไปหน่อย ซึ่งคงต้องรอพบทางแก้ไขในรถรุ่นต่อไป
ทว่า กระจกมองข้าง 2 ฝั่ง มองเห็นชัดเจนดี ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เว้นเสียแต่ว่า ถ้าปรับมุมกระจก
ให้เอียงออกไปทางด้านอกตัวรถมากกว่า บอบด้านในของกรอบกระจกมองข้าง ก็จะบดบังกินพื้นที่
เข้ามายังขอบนอกของกระจกมองข้าง มากหน่อย

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลัง โปร่งตากว่าที่คิด หายห่วงไปได้เยอะ ถ้าจะต้องถอยรถเข้าจอดในซอง
ถือเป็นรถยนต์ Hatchback Sport Coupe ที่มีปัญหาเรื่องทัศนวิสัยด้านหลังน้อยที่สุด ในตลาดก็ว่าได้

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

ก่อนหน้านี้ C30 เวอร์ชันไทย มีเครื่องนต์ให้เลือก 2 ขนาด ทั้งแบบ 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2.4 ลิตร
2,435 ซีซี 170 แรงม้า (BHP) และ เครื่องนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,798 ซีซี 125 แรงม้า (BHP)
เติมน้ำมันเอเพลิง เบนซิน แก็สโซฮอลล์ E85 ได้

แต่ ใน C30 Minorchange เวอร์ชันไทย ทางเลือกเครื่องยนต์จะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ ให้เหลือเพียง
แบบเดียว เป็นเครื่องยนต์ หน้าตาคุ้นๆ ว่าเคยเห็นหน้ากันมาตั้งแต่ Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตร
Ford Focus 2.0 ลิตร 5 ประตู ไปจนถึง Volvo S40 ที่เพิ่งนำมาทำรีวิวกันเมื่อ ปลายปี 2009
และจะว่าไปแล้ว ก็เป็นเครื่องยนต์สหกรณ์ ที่วางกันอยู่ใน Volvo ทั้ง S40 V50 C30 C70
ซึ่งใช้พื้นตัวถัง หรือแพล็ตฟอรฺ์ม ร่วมกับ Mazda 3 และ Ford Focus นั่นเอง

รหัสรุ่นของเครื่องยนต์ตัวนี้ ในฝั่งของ Volvo คือ B4204S3 เป็นเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบ DOHC
16 วาล์ว 1,999 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 87.5 x 83.1 มิลลิเมตร อัตราส่วนกำลังอัด 10.8 : 1
เรียงลำดับสูบตามการจุดระเบิด 1-3-4-2 จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีด SFI (Sequential Fuel Injection)
รอบเดินเบา ตั้งเอาไว้ที่ 700 รอบ/นาที กลังสูงสุด 145 แรงม้า (BHP) หรือ 147 (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 185 นิวตันเมตร หรือ 18.85 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที รอบเครื่องยนต์สูงสุด 6,450 รอบ/นาที

ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ผ่านเกียร์อัตโนมัติ Powershift Dual Clutch 6 จังหวะ Volvo เรียกมันว่า เกียร์ รุ่น MPS6-2
ซึ่งจะว่าไปแล้ว มันเป็นเกียร์ลูกเดียวกัน กับใน Volvo S40 และ Ford Focus TDCi ที่มีขายในบ้านเรานั่นแหละ…

รายละเอียด เคยกล่าวไปแล้ว ในรีวิว S40 ดังนั้น ขอไม่พูดถึงอะไรมากมายไปกว่านี้ เนื่องจากเป็นเกียร์
ลูกเดียวกันเป๊ะเลย อัตราทดเกียร์ มีดังนี้

เกียร์ 1……………………..3.583  <—- ทดเท่ากันกับ Focus TDCi
เกียร์ 2……………………..2.048
เกียร์ 3……………………..1.370
เกียร์ 4……………………..1.029
เกียร์ 5……………………..1.161
เกียร์ 6……………………..0.971
เกียร์ถอยหลัง………………4.843 <—- ทดเท่ากันกับ Focus TDCi
อัตราทดเฟืองท้าย…………4.533 ที่เกียร์ 1-4 / 3.238 ที่เกียร์ 5-6 และ R

ที่น่าสงสัยคือ หากเราจับเวลา หาอัตราเร่งกันแล้ว ตัวเลขจะออกมาพอกันกับ พี่น้องคันอื่นๆ ซึ่ง
ใช้เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังเดียวกันนี้หรือเปล่า เราก็เลยจับเวลากันในตอนกลางคืน เปิดแอร์
และนั่งกัน 2 คน ผมน้ำหนัก 95 กิโลกรัม ส่วนคนจับเวลา คือน้องกล้วย BnN ใน The Coup Team
ของเรา 48 กิโลกรัม เป็นมาตรฐานดั้งเดิมที่ใช้กันมาหลายปีแล้ว  ตัวเลขที่ได้ มีดังต่อไปนี้

ถ้าจะให้เทียบกัน แค่เฉพาะ C30 ด้วยกันเอง ตัวเลขสมรรถนะของรุ่น 2.0 ลิตร นั้น มีบางอย่างน่าสนใจ
เพราะตัวเลขอัตราเร่ง จากจุดหยุดนิ่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น รุ่น 2.0 ลิตร ทำตัวเลขออกมาด้อยกว่า
รุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ที่เลิกทำตลาดไปแล้ว เพียงแค่ 1.4 วินาที เท่านั้น อีกทั้งยังมีตัวเลขอยู่ในระดับ
พอๆกันกับ รุ่น 1.8 ลิตร เกียร์ธรรมดา อีกเสียด้วย ต่างกันแค่ 0.07 วินาที

ขณะที่ตัวเลขอัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง นั้น รุ่น 2.0 ลิตร ทำตัวเลขออกมาด้อยกว่า รุ่น 2.4 ลิตร
ต่างกันประมาณ 1.4 วินาที เหมือนกันราวกับนัดไว้ไม่มีผิด ขณะเดียวกัน ก็ทำตัวเลขได้ด้อยกว่ารุ่น
1.8 ลิตร เกียร์ธรรมดา แค่ 0.4 วินาที

อีกทั้งยังถือว่า ตัวเลขที่ออกมาของ C30 2.0i ยังป้วนเปี้ยน ใกล้เคียงกันกับ Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตร
Minorchange ที่เปลี่ยนมาใช้ ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า หรือ ลิ้นเร่งไฟฟ้า แล้ว

แต่ เมื่อลองมองดูตัวเลขอัตราเร่งจาก 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ C30 2.0i เทียบกันกับ S4 2.0i
คุณจะเห็นความแตกต่างกันชัดเจนว่า C30 2.0i ทำเวลาดีกว่า S40 มากถึง 1 วินาที แถมยังทำ อัตราเร่ง
จาก 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดีกว่า S40 อีก  0.5 วินาที โดยประมาณ  เราไม่อาจบอกได้ถึงสาเหตุ
ที่แน่ชัด ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะถ้าว่ากันตามหลักการแล้ว ถ้ารถรุ่นเดียวกัน น้ำหนักพอกัน
ต่างกันไม่เยอะนัก ตทดลองในสภาพถนนแบบเดียวกัน สภาพอากาศใกล้เคียงกัน ตัวเลขควรจะออกมา
ในระดับ พอๆกัน แตกต่างกันไม่น่าจะมากมายแบบนี้

ถ้าจะมองว่า ส่วนหนึ่งอยู่ที่ น้ำหนักตัวของรถทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็คงจะไม่ใช่แล้ว เพราะหากอ้างอิงตามตัวเลข
จาก ทาง สำนักงานใหญ่ของ Volvo ที่สวีเดน ยิ่งค้นข้อมูล ก็ยิ่งสงสัย เบื้องต้น ดูกันที่ C30 ก่อน ถ้าเป็น
รถรุ่นเดิม ในปี 2009 น้ำหนักตัว จะอยู่ที่ 1,477 กิโลกรัม แต่พอเป็นรุ่นใหม่ 2010 ทาง Volvo แจ้งไว้ใน
ตารางเทียบข้อมูลทางเทคนิค ว่า ตัวเลขน้ำหนักตัวเปล่า ลดลงเหลือ 1,471 กิโลกรัม มันหายไปไหน
7 กิโลกรัมหว่า หรือเพราะว่า ชิ้นส่วนด้านหน้าที่เปลี่ยนใหม่ มีน้ำหนักเบากว่าเดิม อันนี้ก็อาจจะ
เป็นไปได้

แต่ Volvo S40 2.0 ลิตร คันที่ทดลองขับกันนั้น น้ำหนักจะอยู่ที่ 1,471 กิโลกรัม เท่ากัน (ซึ่งต้องแก้ไข
ข้อมูล ที่อยู่ในรีวิว S40 กันเสียแล้ว) ปกติแล้ว น้ำหนักที่แตกต่างกันนั้น ถ้าแค่ 10 กิโลกรัม ไม่ค่อยมีผล
เป็นนัยยะสำคัญ แต่ถ้าต่างกันมากขนาด 40-50 กิโลกรัม ก็น่าจะมีผลอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย ทว่า ทั้ง C30
และ S40 รุ่น 2.0 ลิตร นั้น ดันมีน้ำหนักเท่ากัน เป๊ะ เลยแบบนี้ เราจึงยังนึกไม่ออกว่า จะมีเหตุใด ที่จะ
ทำให้ตัวเลขแตกต่างกันอย่างนี้ มากไปกว่า ประเด็นของการปรับจูนกล่องสมองกลของเครื่องยนต์ ECU
หรือไม่ก็คือ น้ำมันที่ทาง Volvo เติมมาให้เราในรถรุ่น 2.0 ลิตร นั้น น่าจะแตกต่างจาก น้ำมันที่เติมมาให้
ใน C30 แน่ๆ ซึ่ง เมื่อเวลามันห่างกันมานานเกินกว่า ครึ่งปีแล้ว คงจะยากที่เราจะไปย้อนค้นสืบต้นตอ
กันว่า น้ำมันที่ทาง Volvo เติมให้เรา ก่อนส่งมอบ S40 มาให้นั้น เติมมาจากปั้มไหน? เรารู้แต่ว่า C30
นั้น ทาง Volvo จับเติม Shell มาให้ตามที่ทางเราแจ้งความจำนงค์ไปในตอนแรก ตัวเลขก็เลยน่าจะ
อกมาเป็นอย่างที่เห็นอยู่

ส่วนบุคลิกในการขับขี่จริงนั้น แทบไม่ต่างจาก S40 รุ่น 2.0 ลิตรเลย กล่าวคือ แม้อัตราเร่งจะดูเหมือน
พุ่งขึ้นไปอย่างเนิบๆ แต่พอสัมผัสได้ว่า มีแรงบิดหมุนฉุดลากรถให้พุ่งไปข้างหน้าอยู่ แต่ตัวเลขที่ออกมา
ก็อืดกว่า เพื่อนพ้องร่วมแพล็ตฟอร์มเดียวกัน ที่ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกันเป๊ะ แต่ใช้เกียร์ คนละลูกกัน
อัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะออกมาอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ แม้ว่าจะช้ากว่าเพื่อนฝูง ก็ตาม

ส่วนหนึ่ง เพราะ วิศวกร พยายามทดเกียร์ ให้มีระยะห่างพอๆกัน พอดี ก็ดูความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์
ดูสิครับ มันพอจะบอกอะไรได้บ้างนิดหน่อยละว่า เกียร์ 1 หนะ มากำลังดี แต่หมดเร็ว ตัดเปลี่ยนเกียร์
ขึ้นจังหวะ 2 เร็วไป หน่อย กระนั้น เมื่อมาพิจารณาดูดีๆ อัตราทดในลักษณะนี้ ก็คล้ายกับอัตราทดเกียร์
ในรถแข่ง และดูเหมือนว่าวิศวกรของ Volvo จะพยายามเรียกพละกำลังจากเครื่องยนต์ (ซึ่งมีอยู่ไม่มากนัก
เครื่องเองก็เร่งรอบไม่ได้จัดเท่าไหร่เลย) จากช่วงออกตัว และเร่งแซง ในช่วงต่ำกว่า 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เป็นหลัก สังเกตดีๆ เกียร์ 2 นั้น จะถูกเซ็ตมาให้ ทำงานในช่วง 40-80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้คน
มักใช้เร่งแซง ในเมือง หรือเร่งพุ่งออกไป ขณะรถกำลังขับแบบคลานๆ เหมือนกับเพื่อเป็นการหลอกว่า
ฉัน มีแรงนะ ทั้งที่เอาเข้าจริง เรี่ยวแรง ก็มีแค่ในระดับหนึ่ง

แน่นอนว่า รุ่น 2.0 ลิตร มีตัวเขสมรรถนะ ด้อยกว่ารุ่น 2.4 ลิตร อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ถึงกับด้อยกว่ากันมากมาย
จนเกินยอมรับได้ ขณะเดียวกัน ตัวเลขที่ออกมา ก็แสดงให้เราได้รู้แล้วว่า ถ้า C30 ได้เครื่องยนต์ที่แรงกว่านี้
ผมว่า คู่แข่งอย่าง Volkswagen Scirocco อาจถึงกับต้องเหลียวมองค้อนขวับ กันเลยทีเดียว 

การทำงานของเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ลูกนี้ ผมยังไม่พบเจอปัญหาอะไรมากมายไปกว่า สิ่งที่ผมสามารถ
พบเจอได้ตั้งแต่ Honda City ของตัวเอง Honda Accord ไปจนถึงรถอีกหลายๆรุ่น ก็คือ ถ้าจอดบนทางชัน
ปล่อยเท้าออกจากเบรก แม้ว่าจะเข้าเกียร์ D รถก็ไหลถอยหลังลงมาได้เอง เพราะแรงบิดจากเครื่องยนต์
มีไม่มากพอท่จะประคับประคองรถให้จอดนิ่งสนิทไว้ บนทางลาด ซึ่งประเด็นนี้ โดยส่วนตัวผม มองว่า
เป็นเรื่องปกติ ที่เจอได้ในรถเกียร์อัตโนมัติ สมัยนี้ หลายๆรุ่น การเปลี่ยนเกียร์ ก็ทำได้ราบรื่นดี ตามปกติ
ที่ผมเคยเจอมา อาจจะมีเพียง อาการกระตุก “กึก!” ความรุนแรงระดับ น้อยถึงปานกลาง ตอนที่เปลี่ยน
คันเกียร์ จาก P มา D อยู่ 1-2 ครั้ง เท่านั้น นอกนั้น ก็ไม่เจออาการอะไรผิดปกติ ใดๆ ข้อนี้ขอย้ำเลยว่า
เรียนมาให้ทราบด้วยความสัตย์จริง 

ส่วนการตอบสนองในด้านอื่นๆ สำหรับ C30 แล้ว ยังคงทำผงานได้น่าประทับใจไม่แตกต่างจากเดิม
ไม่ว่าจะเป็น ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต คอยล์สปริง ช็อกอัพ ไฮโดรลิก
ด้านหลังแบบ อิสระ พร้อมคอยล์สปริง ช็อกอัพ ไฮโดรลิก พร้อมเหล็กกันโคลง ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
ที่ ถูกปรับเซ็ตมาให้หนึบและแน่น แข็งกว่าวอลโวทุกรุ่นที่ผมเคยเจอมา แต่ยังคงหลงเหลือบุคลิก นุ่มนวล
กำลังดี และนิ่งเอาไว้ให้สัมผัสอย่างชัดเจน

ถ้าคิดจะสาดโค้งตัว S เล่นๆ ลงมายัง ทางลงพระราม 6 จะฝั่งขาเข้า หรือขาออก ก็ตาม  ณ ความเร็ว
ระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง หากเป็นรถรุ่นก่อน ซึ่งใส่ยางแก้มหนา พร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้ว คุณจะพบว่า
ตัวรถจะมีอาการหน้าดื้อ เล็กๆ น้อย แต่ยังควบคุมรถได้อยู่หมัด แถมติดความนุ่มนวลมาให้

ส่วนในรถรุ่นเดิม ที่มีการตกแต่งด้วยล้อ 18 นิ้ว รถจะแข็งขึ้น อาการหน้าดื้อลดลงชัดเจนจนแทบจะ
หายไปเกือบหมดสิ้น อย่างไรก็ตาม การขับผ่านเนินลูกระนาดทั้งหลาย แม้ว่าจะติดนุ่มมาให้นิดนึง
เหมือน Mazda MX-5 และไม่แข็งเป็นบ้าเป็นหลังอย่างที่ MINI Cooper & Cooper S เขาเป็นกัน
กระนั้น หลายๆคนก็ยังไม่อยาก จ่ายค่าเปลี่ยนยางที่แพงเกินไป

พอมาเป็นรถรุ่น Minorchange หากคุณสั่งชุดแต่ง R-Design คราวนี้ Volvo จะให้ล้ออัลลอย มาเป็น 17 นิ้ว
ซึ่งดูเหมือนว่า จะเป็นการพบกันครึ่งทางได้อย่างดี ตามแนวทาง “มัชชิมาปฏิปทา” ในพระพุทธศาสา เพราะ
สำหรับคนที่อยากได้การเข้าโค้งที่มั่นใจเท่า รถที่ใส่ล้อ 18 นิ้ว แต่ยังอยากได้ความนุ่มนวลจากล้อขนาด 16 นิ้ว
แก้มหนา เอาไว้อยู่เช่นเดิม และไม่อยากเปลี่ยนยางแพงเกินจำเป็นไปนัก นี่คือทางเลือกที่เหมาะสมมากๆ
เพราะทั้งการสาดเข้าโค้ง หรือจะขับผ่านลูกระนาด ชัดเจน แบบไม่ต้องคิดมากเลยว่า อาการของรถที่ใส่
ล้อ 17 นิ้ว จะนุ่มลงกว่า ล้อ 18 นิ้ว นิดนึง แต่เข้าโค้งได้มั่นใจกว่าล้อ 16 นิ้ว ชนิดที่ไม่แพ้ ล้อ 18 นิ้วเลย

อ่านดีๆ นะครับ อย่าเพิ่ง งุนงง กับย่อหน้าข้างบนนี้

ยิ่งได้พวงมาลัยแร็คแอนด์ พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ไฮโดรลิค ชุดเดิม ที่ให้ความนิ่งในการเดินทาง
ได้เป็นเยี่ยม แถมยังบังคับเลี้ยวได้ เฉียบคม มีระยะฟรีนิดนึง พอประมาณ และมีความหนืดหนักแน่น
อันเป็นปกติของพวงมาลัย Volvo รุ่นเล็กในยุคหลังๆที่ผมชื่นชม (ต่างจาก Volvo รุ่นใหญ่ๆ) แถมยัง
บังคับเลี้ยวได้คล่องแคล่ว ว่องไว และมีน้ำหนักหนืดกำลังดี ในแบบที่ รถสปอร์ตคอมแพกต์ จากยุโรป
ทั่วๆไปควรจะเป็นกัน ทั้งในความเร็วต่ำ ก็เลยช่วยยืนยันและย้ำความประทับจิต ตรึงมิดแน่นหนา
อยู่ในใจเหมือนตะปู ที่ถูกตอกลงไปจนหัวเรียบติดเสมอกับพื้นผิวของฝาผนังบ้าน

การเก็บเสียง เหมือนเดิม ไม่แย่ลง และไม่ดีขึ้นไปจากรถรุ่นก่อนหน้า เสียงกระแสลมไหลผ่าน
จะเริ่มังขึ้น เมื่อความเร็วสูงเกิน 140 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่นอกจากนั้น ก็เหมือนกับ Volvo
รุ่นใหม่ คันอื่นๆทั่วๆไปตามปกติ ที่ถือว่า เสียงลมเล็ดรอดเข้ามา ไม่มากไม่น้อย กำลังดี พอให้รู้ว่า
ตอนนี้ ขับเร็วไปแล้วนะ

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

ครั้งก่อนๆ เราทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกันด้วยน้ำมันเบนซิน Shell V-Power 95 แต่ในเมื่อ Shell เขาเลิกขายไปแล้ว
และแทนที่ด้วย แก็สโซฮอลล์ V-Power 95 ที่ผมแทบไม่เห็นความแตกต่าง ในการเติมน้ำมันแต่ละครั้งเลยแต่อย่างใด

ก็เลยทำให้ต้องระเห็จมาเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron Gold จาก ปั้ม Caltex อันเป็นสถานีบริการน้ำมันเพียงแห่งเดียว
ในย่านพหลโยธิน จนถึงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่ยังมีน้ำมันเบนซิน 95 ขายอยู่

พี่ตุ้ม ฉันทนา หญิงแกร่ง แห่ง Volvo ตอกย้ำให้ผม มั่นใจว่า การเปลี่ยนมาใช้ Caltec นั้น ผมเลือกไม่ผิดแล้ว
เพราะพี่ตุ้ม อธิบายให้ฟังว่า “ในบรรดาบริษัทน้ำมันทั้งหมดเนี่ย Chevron ถือเป็นบริษัทที่มี สูตร Additive ดีที่สุด
เพราะเขาเก่งในด้าน การทำ Additive มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว Caltex เอง ก็เกิดจาก Chevron มาจับมือกับ บริษัทน้ำมัน
Texaco ของ เท็กซัส สหรัฐอเมริกา อยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าเรื่องสารเพิ่มคุณภาพในน้ำมัน หรือ Additive เนี่ย Caltex
ถือว่าดีที่สุด”

“ทำไมพี่ตุ้ม รู้ลึกรู้ดี ทีวีพูล จังเลยแหะครับ?”

“เอ๋า! ก็พี่ เคยทำอยู่ Caltex มาก่อนนะ อย่าลืมสิ!”

ผ่างงงงงงงงงงงงงงง! จุดใต้ตำตอกันเห็นๆ เลยคราวนี้!

เราเติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron Gold จากตู้จ่ายเดิม เอาแค่หัวจ่ายตัดพอ Set 0 บน Trip Meter แล้วติดเครื่องยนต์
เปิดแอร์ นั่ง 2 คน เลี้ยวกลับไปยังถนนพหลโยธิน ไปเข้าซอยอารีย์ ลัดเลาะไปขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6
ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Cntrol  ล็อกเอาไว้ แล่นไปจนถึง
ปายสุดทางด่านอุดรรัถยา หรือสายเชียงราก ที่อยุธยา เลี้ยวกลับที่ปลายทางด่วน ขึ้นทางด่านมุ่งหน้าย้อนกลับมา
ตามเส้นทางเดิม

อีก 1 ชั่วโมงต่อมา เราก็มาลงทางด่วนกันที่ อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน ผ่าน ช่อง 5 โรงพยายาลพญาไท
ย้อนกลับมาเลี้ยวกลับรถ เพื่อเข้าปั้ม Caltex อันเป็นทั้งจุดเริ่มต้น และจุดสิ้่นสุด ของการทดลอง และเติมน้ำมันเบนซิน 95
Techron Gold ที่ตู้เดิม และหัวจ่ายเดิม เหมือนกับตอนเริ่มต้น เป๊ะ!

ต่อจากนี้ คือผลที่เราทำได้
ระยะทางบนมาตรวัด อยู่ที่ 91.9 กิโลเมตร

ปริมาณน้ำมัน เติมกลับ 7.20 ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เฉลี่ย 12.76 กิโลเมตร/ลิตร

เห็นตัวเลขที่รถคันนี้ทำได้แล้ว ออกจะมึนงงจนน่าส่ายศีรษะ อยู่เหมือนกัน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ
ซึ่งใช้เครื่องยนต์ และระบบส่งกำลังเดียวกัน อย่าง S40 แล้ว C30 จะกินน้ำมันกว่ากัน ถึงเกือบ 1 กิโลเมตร/ลิตร

 

หากดูจากตารางเปรียบเทียบกัน จะสังเกตพบว่า มาตรวัดระยะทางของ C30 นั้น วัดระยะทางออกมาต่างจาก S40
อยู่ 0.9 กิโลเมตร และปริมาณน้ำมันที่เติมกลับ ต่างกันเข้าไปเพียงแค่ 0.4 ลิตร เท่ากับว่า ตัวเลข ที่ออกมา ถ้าดูดีๆ
จะเห็นว่า ทั้ง C30 และ S40 จะกินน้ำมันพอๆกัน ใกล้เคียงกัน เพียงแต่ ด้วยการคำนวน ทำให้ตัวเลขที่ออกมา
แตกต่างกันเกือบ 0.9 กิโลเมตร/ลิตร

แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่ง อย่าง VW Scirocco แล้ว ปริมาณการเติมน้ำมันกลับ ก็พอๆหัน ไล่เลี่ยกัน แต่ตัวเลขเมื่อหารออกมา
Scirocco ดูจะทำได้ดีกว่า คือ 13.14 กิโลเมตร/ลิตร แต่ให้สมรรถนะที่แรงกว่า ชัดเจน แน่ละ Scirocco เขามี Turbo
แต่ C30 ไม่มีระบบอัดอากาศใดๆช่วยเลยนี่นา ถ้าจะเทียบกันแล้ว คู่นี้ สมรรถนะของเครื่องยนต์ Scirocoo เหนือกว่า
C30 อย่างชัดเจน แบบไม่ต้องคิดมากเลยทีเดียว

ไม่ต้องอื่นไกล เอาแค่เปรียบเทียบตัวเลขกับ C30 รุ่นก่อนๆที่ผมเคยลองขับมา ก็พบว่า อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อันเป็นอีกจุดเด่นหนึ่งของรถคันนี้ มันได้สูญหายมลายสิ้นไปแล้ว จากการเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์สหกรณ์ลูกนี้
เพราะขณะที่ พี่น้องคันอื่น เขาได้ตัวเลขกัน 14 กิโลเมตร/ลิตรขึ้นไป แต่รุ่น 2.0i กลับทำตัวเลขออกมาได้ 12.76
กิโลเมตร/ลิตร ดูเหมือนจะดีกว่ารถที่ใชข้เครื่องยนต์เดียวกัน เพียงรุ่นเดียวนั่นคือ Ford Focus Hatchback 2.0 ลิตร
นอกนั้น ด้อยกว่าใครเขาเกือบจะทั้งหมด!

********** สรุป **********
***** คิดถึงจัง เครื่อง 2.4 ลิตร เจอกันคราวหน้า พาเจ้า T5 230 แรงม้า มาขายด้วยละ! *****

ทุกครั้งที่ผมต้องรับรถ Volvo มาขับ ผมมักจะรู้สึกสบายๆ ไม่ค่อยกังวล อะไร
วันที่นำรถมาคืน ผมเอง ก็มักจะอิดออด ไม่ค่อยอยากคืน Volvo แต่ละคันกันสักเท่าใด เป็น
รถยุโรปที่ใช้ชีวิตด้วยแล้ว ไม่เครียด มีความสุข เพราะรู้อยู่แล้วว่า Volvo แต่ละคัน จะมีทั้ง
ความปลอดภัย ความหนักแน่น ความมั่นใจ และบรรยากาศสบายๆ พกพามาให้ เต็มแน่น
ทุกอณูทั้งคันรถ

แต่สำหรับ C30 นั้น ด้วยบุคลิกการขับขี่ ในรถรุ่นเดิมทั้ง 3 คัน ที่เคยทำรีวิวไปก่อนหน้านี้
ทำให้ผม พอจะรู้ว่า พื้นฐานเดิม ของ C30 เป็นรถในแนว สปอร์ต ขับสนุก และคล่องแคล่ว
กว่า พี่ๆทุกรุ่น (ยกเว้น เวอร์ชันแรง ที่ลงท้ายด้วยรหัส R ทั้งหลายแหล่ ซึ่งนั่นต้องปล่อยเขา
แรงในแบบสะใจกันไปเลย) แต่ยังคงบุคลิก “รถหนักๆแน่นๆ” ในแบบ Volvo เอาไว้ตามเดิม

พอมาเจอ รุ่น Minorchange ผมก็ไม่ได้คาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆมากนัก เนื่องจาก
ตัวรถ แทบไม่ได้มีการปรับปรุงบุคลิกอันใด ในเมื่อมันดีอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไป
ยุ่งกับมัน และนับเป็นเรื่องน่ายินดี ที่ Volvo ก็ไม่ได้ไปแตะต้อง ปรับปรุง ระบบกันสะเทือน
และระบบบังคับเลี้ยว อันหนักแน่น แม่นยำ คล่องแคล่ว กว่า Volvo รุ่นอื่นๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง
ยังเคยดีอยู่อย่างไร มาวันนี้ ในรุ่น Minorchange ก็ยังคงไว้ซึ่งความดีเด่น ทุกประการเหล่านั้น
ไม่มีผิดเพี้ยน

เอาละ ต่อให้ ตอนนี้ ผมจะนับให้ C30 ทุกรุ่น เข้าไปอยู่ในกลุ่มของ “25 รถขับดี ที่ J!MMY ไม่อยากคืน”
ไปเรียบร้อยแล้ว แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า C30 ใหม่ ไม่มีอะไรให้ต้องปรับปรุงกันเลย แต่อย่างใด

เพราะอย่างน้อย มีอยู่ประการหนึ่ง ที่ผมแอบเคืองนิดหน่อย

ประเด็นที่ทำให้ผมแอบเซ็งเล็กๆ ก็คือ การปลดเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.4 ลิตร 170 แรงม้า (BHP) ออกไป
แล้วแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร ที่เราเจอหน้ากันจนเบื้อเบื่อ เข้ามาทดแทน นั่นเอง
และนั่นเท่ากับว่า อย่างน้อย ข้อดี ด้านพละกำลังจากเครื่องยนต์ และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ในระดับที่ยอมรับได้นั้น มันด้อยลงไป

รถในแนว Premium Sport Hatchback นี้ สิ่งที่ลูกค้าอยากได้ คือมีทั้งเวอร์ชันประหยัดน้ำมัน อย่าง
เครื่องยนต์ 1.8 หรือ 2.0 ลิตร เอาไว้จับตลาดล่าง และตัวแรงสะใจอย่าง T5 เอาไว้จับตลาดกลุ่มลูกค้า
ที่รวย และชอบของแปลก ทั้งคู่ ต้องให้ข้าวของมาพร้อมสรรพ ในราคาที่ สมเหตุสมผล โจทย์มีแค่นี้
ไม่มีอะไรมากเกินไปกว่านี้

และในช่วงแรกที่เปิดตัว C30 รุ่นเดิม ก็ทำหน้าที่ได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว คือมีทั้งรุ่น 1.8F เกียร์ธรรมดา
ที่ขายได้แค่นิดๆหน่อยๆ เพราะไม่มีเกียร์อัตโนมัติ และรุ่น 2.4 ลิตร อันเป็นหัวหอกหลักในการขาย
ซึ่งถ้าดูปริมาณรถบนท้องถนน แม้จะมีไม่มากนัก แต่ก็ถือว่า Volvo ก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว

แต่พอมาเป็นรุ่นปรับโฉม Minorchange การที่ Volvo ในสวีเดน ตัดเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรออกไป
เพื่อให้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร DRIVe ได้ทำตลาด กลุ่มลูกค้าผู้รักสิ่งแวดล้อม มากกว่าแฟนตัวเอง
เต็มที่ ก็น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้ Volvo ในตลาดยุโรปได้

ทว่า ในตลาดเมืองไทยนั้น ลำพังแค่ การมีเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 170 แรงม้า (BHP) นั้น ก็ถือว่า พอจะ
กล้อมแกล้มขายไปได้ เนื่องจาก เป็นเครื่องยนต์ ที่่ทั้งให้อัตราเร่งกำลังดี ทำหน้าที่ได้เลิศตามสมควร
แถมความประหยัดน้ำมันมาให้ ดีผิดคาด อย่างน้อย ในรถรุ่นก่อน ผมก็แทบไม่มีอะไรให้บ่นหรือ
ก่นด่า ในเรื่องเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร บล็อกนี้เลย

แต่ในเมื่อ Volvo อยากจะเจาะตลาด ให้ลูกค้า สามารถ ซื้อหา C30 มาขับได้ง่ายขึ้น และซ่อมบำรุงได้ไม่ยากนัก
ทางออกก็เลยมาจบลงกับ การถอดเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร แสนดี ทิ้งไป แล้วสั่งให้โรงงาน ในเบลเยียม จับเครื่องยนต์
2.0 ลิตร สหกรณ์ ที่ใช้กันอยู่ในเมืองไทย ทั้ง Mazda 3 รุ่น 2.0 ลิตร Ford Focus รุ่น 2.0 ลิตร รวมทั้ง Volvo S40
และ V50 เวอร์ชันไทย มายัดลงไปใน C30 นี่ละ ทำราคาได้ง่ายสุด พูดกันตรงๆ ก็คือ เครื่องยนต์บล็อกนี้
มันเหมาะจะวางใน S40 กับ V50 แต่ สำหรับรถที่มีตัวถังโฉบเฉี่ยว ท้าสายตาผู้คนแทบทุกสี่แยกไฟแดงอย่าง C30
มันต้องการเครื่องยนต์ที่แรงกว่า และประหยัดกว่า เจ้า 2.0 ลิตร สุดแสนจะน่าเบื่อ นี่ต่างหาก! ถึงจะช่วยให้
ยอดขายมันเดินไปได้ดีกว่านี้

และนั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไมค่าตัว ของ C30 Minorchange คราวนี้ ในรุ่นล่างๆ ดูเหมือนจะถูกลง แต่อันที่จริงแล้ว
ก็ต้องถือว่า อยู่ในระดับเดิม แต่ได้เครื่องยนต์ ที่มีพละกำลังด้อยลงนิดหน่อยด้วยซ้ำ เรามาลองดูราคาของแต่ละ
รุ่นย่อย ทั้ง 4 กันดีกว่า

รุ่น 2.0 E เป็นรุ่นพื้นฐาน ที่มีถุงลมนิรภัยคู่หน้า แบบ Dual Stage ถุงลมนิรภัยด้านข้าง ม่านลมนิรภัย รวม 6 ใบ
ไฟตัดหมอก หน้าหลัง พร้อมฟังก์ชันตัการทำงานโดยอัตโนมัติ ไฟหน้า ฮาโลเจน ธรรมดาๆ กระจกมองข้าง
มีไฟเลี้ยว และไฟส่องสว่างข้างใต้มาให้ มีระบบเบรก ABS EBD และ EBA เบาะนั่ง ผ้า Leksand
เครื่องปรับอากาศ อัตโนมัติ ECC เหมือนรุ่นแพงสุด กระจกมองข้างพับ และปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า
พร้อมไล่ฝ้า Trip Computer หน้าจอ IDIS บนมาตรวัด ที่วางแขน เบาะคู่หน้า ชุดเครื่องเสียงธรรมดา
Performance Sound 4 x 20W ลำโพง 6 ชิ้น มีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ล้ออัลลอย 6.5 x 16 นิ้ว
ลาย Convector พวงมาลัย และหัวเกียร์หุ้มหนัง  ทั้งหมดนี้ มาใน ราคาเริ่มต้น 1,999,000 บาท

เอ้อ จะว่าไป ในราคานี้ ก็ได้ข้าวของมาเยอะดีเหมือนกันนี่นา แต่ถ้าจะเอาให้ครบใช้ได้จริง ก็คงต้อง
มองไปที่รุ่น 2.0 G ซึ่งจะเพิ่ม สิ่งที่ไม่มีในรุ่น 2.0 E ทั้ง ไฟหน้า Active Bending พร้อมหัวฉีดน้ำ
ล้างไฟหน้า เบาะคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ปรับด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง
พนักพิงเบาะหน้า พับได้ ปรับความสูงได้ พร้อมแผ่นหนุนรองหลัง ทำงานร่วมกับ กระจกมองข้าง
ปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำ 3 ตำแหน่ง เพิ่มกระจกแต่งหน้า ในแผงบังแดด คู่หน้า
เพิ่มกระจกมองหลังตัดแสงสะท้อนอัตโนมัติ Cruise Control เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง Parktronic
ชุดเครื่องเสียง High Performance 8 ลำโพง เพิ่มช่องต่อเชื่อม USB และ AUX  และแผ่นปิดห้องเก็บของ
แบบแข็ง ราคา อยู่ที่ 2,239,000 บาท

แต่พอเป็นรุ่น 2.0 R-Design I เพิ่มชุดแต่ง Aero Part รอบคัน ภายใน สี Off Black ตัดกับสี Calcite
พร้อมเบาะนั่งหุ้มหนังแท้ ลาย R-Design พวงมาลัย Sport แป้นคันเร่งและเบรกแบบ Sport ราคา
จะพุ่งไปเป็น 2,439,000 บาท (เพิ่ม 200,000 บาท)

รุ่น 2.0 R-Design II เพิ่มอุปกรณ์ จาก R-Design I แค่ มีกล้องและสัญญาณเตือนรถแล่นขนาบข้าง BLIS
กับกุญแจรีโมท Keyless Entry และเซ็นเซอร์ วัดระดับความชื้นในห้องโดยสาร ราคาขาย 2,539,000 บาท
(เพิ่มอีก 1 แสนบาท)

งานนี้ สงสัยต้องต่อรองกับพนักงานขายของแต่ละโชว์รูมกันหนักๆหน่อยแล้วละ เพราะราคาตั้ง
ที่เปิดมาในคราวนี้ รุ่นล่างหนะ ถือว่าถูก แต่ในรุ่นกลางๆ ถือว่าค่อนข้างสูงเหมือนกันนะเนี่ย เมื่อ
เทียบกับคู่แข่ง อย่าง VW Scirocco ที่ให้ข้าวของมา ด้อยกว่ากันนิดหน่อย ในระดับราคาเท่ากันเป๊ะ
แต่ถ้าเพิ่มเงินอีก ราวๆ 120,000 บาท คุณจะได้ Scirocco ที่ทั้งแรงกว่า และประหยัดน้ำมันกว่ากัน
นิดนึง แถมเป็นรุ่น HighLine Full Option ขับสนุกสะใจกว่านิดหน่อย มานอนกอดเล่นที่บ้านไปแล้ว

ถ้าเช่นนั้น มีสิ่งใดที่ทำให้ผม ยังยืนยันที่จะเลือก C30 Minorchange ต่อไป?

อ้ะ อ้ะ อย่าคิดว่าไม่มี! สิ่งหนึ่งที่ Scirocco ให้คุณไม่ได้ คือ ความสบายในการขับขี่ทางไกล จากทั้ง
ห้องโดยสาร ที่ ให้บรรยากาศโปร่งกว่ากันเล็กน้อย การบังคับที่คล่องแคล่ว พร้อมบุคลิกแบบหนักแน่น
ไว้ใจได้ กับสภาพถนนในประเทศไทย แม้ว่ารถจะหนักกว่า และเร่งได้ไม่ดีเท่า แต่ การเข้าโค้ง และ
การซับแรงสะเทือนต่างๆ ถือได้ว่าเป็นกลาง และมั่นใจได้ แถมสะใจเล็กๆ มากกว่าที่คาดคิดกัน

ยิ่งถ้าต้องเปรียบเทียบกับ Mercedes-Benz CLC อันมีบุคลิก คุณหนูพยายามร้าย แต่ได้แค่เกือบ..แล้ว
C30 ให้การขับขี่ในภาพรวม (แต่ไม่นับรวมเครื่องยนต์) ที่เอาชนะ CLC ไปได้ขาดลอย หรือ
แม้แต่ MINI Cooper กับ Cooper-S ซึ่ง หลายๆคน ทั้งเพื่อนฝูงรอบข้าง และ the coup team
ของเรา ก็ยังคงยืนยันเสียงแข็ง เป็นมั่นเหมาะเหมือนเดิมว่า ถ้าให้ต้องเลือกระหว่าง MINI
กับ C30 พวกเราจะเดินเข้าโชว์รูม Volvo ในทันที แบบไม่คิดมาก

ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนแล้วละว่า C30 มีดีพอตัว ที่จะทำให้หลายๆคน ปันใจจาก
รถยนต์ในพิกัดเดียวกัน คันอื่นๆได้ ไม่ยากเลย ดังนั้น ตอนนี้ ก็เหลือแค่ เครื่องยนต์แล้วละ
ที่ยังคงเป็นปัญหา ในการทำตลาดรถรุ่นนี้

ดังนั้น ผมจึงมี 3 เรื่องที่อยากจะฝากถึงพี่ตุ้ม ฉันทนา สุดเลิฟ และทีมงานของ Volvo กันสักหน่อย และอันที่จริง
จะว่าไปแล้ว มันก็เป็นคำแนะนำ ที่แทบไม่ได้ต่างอะไรกันจากในรีวิว S40 ช่วงต้นปี ที่ผ่านมา นั่นเลยละครับ

ข้อแรก ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า ลองหาทาง “ปั้น C30 ให้กลายเป็น รถ Sport Hatchback ที่สามารถ
เอาไปแต่งต่อได้” คือ ไม่ใช่แค่ ตกแต่งในแบบที่ Volvo กำหนดมาให้ หากแต่ พามันลงสนามแข่ง หรือ
อะไรก็ตาม ที่ทำให้ผู้คนเห็นว่า C30 เป็นรถที่นำไปแต่งต่อแล้ว เท่ ได้อีก โดยยังคงมี มี 2 ระดับความแรง
ให้เลือก คือ รุ่น 2.0 ลิตร แบบมาตรฐานที่ขายอยู่นี้ กับอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเท่าที่นั่งดูสเป็ก จากใน Website
สำหรับสื่อมวลชนของ Volvo แล้ว ผมไปเจอเครื่องยนต์เดียว ที่เหมาะจะสั่งเข้ามา เล่นๆ ขำขำ

2 ทางเลือกที่ผมเจอ นั้น ได้แก่ C30 D5 เวอร์ชันที่วางเครื่องยนต์ D5244T8 Diesel 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว
2,400 ซีซี พอดีเป๊ะ 180 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร พ่วงเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ รุ่น
AW55-51 ซึ่งดูเหมือนจะมีอยู่ในเมืองไทยมาก่อนหรือเปล่า ไม่แน่ใจนัก ดูแล้วเป็นเครื่องยนต์ ที่เหมาะสม
กับเมืองไทยมาก เพียงแต่ จะมีลูกค้าผู้หญิงจำนวนสักเท่าใด ที่อยากจะใช้รถ Sport Hatchback เครื่องยนต์
Diesel Turbo ก็ต้องเป็นโจทย์ ที่ท้าทายพอจะ ให้พี่ตุ้ม และทีมงาน ได้ขบคิดกันต่อไป

หรือถ้าไม่เช่นนั้น ก็ต้องเป็น C30 T5 ตัวแรงสุดที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 5 สูบ 2,521 ซีซี แรงสะใจถึง
230 แรงม้า (BHP) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร รับประกันว่า เอาชนะ Scirocco ได้แน่ๆ แต่ราคา
ก็จะต้องโดดออกไปแถวๆ 3 ล้านกว่าบาทแหงๆ เนื่องจาก ความจุกระบอกสูบ และกำลังสูงสุด
เกินขีดพิกัด ภาษีศุลกากร เข้าไปอีก (เขาตัดที่ 220 แรงม้า พอดี)

เฮ้อ.. เข้าใจแล้วละครับว่า งานนี้ งานเหนื่อยยากใช้การได้เลยทีเดียว แต่อย่างว่าครับ ทั้ง  2 รุ่นนี้
เอาเข้ามาสัก 30 คันก็ได้ เปิดตัวสร้างกระแส หมดแล้วหมดเลย ด้วยแคมเปญแรงๆ งบการตลาด
ไม่ต้องมากนัก ทำ Charity ประมูล หารายได้ ส่วนต่างจากราคารถ ที่เพิ่มขึ้น เข้าการกุศล ก็ยังได้
อีกต่างหาก

แหม ที่สมัยก่อน 850 R กับ T5R มาขาย ก็ยังขายได้เกือบหมดเลยนี่ C30 T5 หรือ C30 D5
ก็ไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่ เนาะ

อ้อ! แล้วอย่าลืม เรื่อง ค่าอะไหล่ กับการบริการหลังการขาย อันเป็นเรื่องที่ผมฝาก Volvo กันเป็นประจำ
ทุกครั้งที่ทำรีวิว ด้วยนะครับ ขอให้ถูกลงกว่านี้ อีกสักหน่อยเถอะ บรรดาคูปองส่วนลดต่างๆ ที่ส่งถึงมือ
ลูกค้ากันในแต่ละเดือนนั้น ผมนั่ง กางอ่านดู ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่า ราคาถูก เท่าคู่แข่งกันสักเท่าใดเลย

แล้วไหนๆ ก็ไหนๆ ฝากอีกเรื่องหนึ่งด้วยเลยแล้วกัน

เกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch ลูกนี้ หลายๆคน ยังเป็นห่วง ในเรื่องการซ่อมบำรุง ปัญหาที่เกิดขึ้นในรถบางคัน
อย่างที่หลายๆคน เคยอ่านผ่านๆตามาบ้างแล้วใน Webboard ของ Headlightmag.com ของเรา ความเข้าใจ
ของลูกค้า และการปรับตัวในการขับขี่รถรุ่นนี้ ยังเป็นสิ่งที่ Volvo ควรจะหาโอกาส อธิบายให้ลูกค้า และผู้สนใจ
ได้รับฟังเพิ่มเติม ส่วนในกรณีที่ รถคันไหน ใช้เกียร์ลูกนี้แล้ว มีปัญหา ผมรู้ดีว่า Volvo พยายามจะทำงานกัน
เต็มที่ในเรื่องนี้ ถึงขั้น ให้นายช่างฝรั่ง อย่างคุณ โทมัส มาขลุกอยู่กับปัญหานี้โดยตรง แต่ก็อยากจะขอให้ช่วย
เพิ่ม ความรวดเร็ว ในการประสานงาน และการแก้ปัญหามากกว่านี้อีกสักนิดนึงครับ เพราะที่เห็นอยู่นี้
มันช้าไปหน่อย ในมุมของผู้บริโภค อย่างผม และ ลูกค้าของ Volvo บางราย

ขอหน่อยน่า 3 เรื่องเอง

นะคร้าบบบบบ พี่ตุ้ม น่านะ นะนะนะนะนะ!

——————————————-///———————————————-

ขอขอบคุณ
คุณ ฉันทนา วัฒนารมย์ (พี่ตุ้ม)
และ คุณ ณัฎฐา จิตราคม (พี่ต่าย)

บริษัท วอลโว คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน 
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน
www.headlightmag.com
25 กรกฎาคม 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures 
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish
in www.Headlightmag.com
July 25th,2009

 

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่