“ถ้าให้เปรียบกับ ศิลปิน Academy Fantasia แล้ว
X-Trail น่าจะเป็นรถที่อาจจะตกรอบ 10 คนสุดท้ายเป็นคันแรก
แต่อย่าลืมว่า มันก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว ด้วยการเอาชนะ ผู้คนอีกนับร้อยนับพัน
ด้วยความสามารถ ทั้งหมดเท่าที่มันมี เสียก็แต่เพียงว่า หน้าตายังไม่ค่อยโดนใจ
คนไทยส่วนใหญ่ แค่นั้น”
คำพูดของผู้การแพน Commander CHENG ที่แปลจากภาษาอังกฤษเป็นไทยในคราวนี้
เล่นเอาผมปล่อยวางช้อนส้อมลงบนจานข้าวหมูแดง ที่นั่งกินอยู่ตรงหน้าได้ในทันที…
นั่นละ คือข้อสรุปของรถคันนี้…ที่ลงตัวมากๆ
แต่ เดี๋ยวก่อน เปิดเรื่องกันมาไม่ทันจะครบ 10 บรรทัดเลย จะต้องสรุปกันแล้วเหรอ?
เร็วไปหรือเปล่า?
ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่า แพนจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับรถคันนี้เรียบร้อยแล้ว..!
เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ที่ รถคันสีเทาเข้ม คันนี้ มาอยู่ในมือเรา แค่ขับจาก
บ้านของแพน ในซอย ชินเขต 2 คลานกระดึ๊บๆ ไปตามถนน สวนกันสองเลน
ที่มีหน้าตา คล้ายทางหลวงแผ่นดิน ในประเทศสารขัณฑ์ ไม่ค่อยมีอันจะกิน แถม
ห่างไกลความเจริญ เพราะเต็มไปด้วยลูกระนาด เล็กบ้างใหญ่บ้าง คอยดักความเร็วผู้ขับขี่
ไม่ให้ห้อตะบึงกันเร็วเกินไปนัก เดี๋ยวจะไปปักหัวรถเข้ากับลูกเล็กเด็กแดง บ้านไหน
เขาเอาดื้อๆ ออกมาหา ข้าวหมูแดง กินกัน ในละแวกย่าน หลัง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ทำไมต้องเป็น หลัง ม.ธุกิจบัณฑิตย์?
ก็เพราะว่า นอกจาก แถวนั้น เป็นถิ่นที่เรามักพบเจอกัน
ในช่วงค่ำวันเสาร์ ของเกือบจะทุกสัปดาห์แล้ว
คราวนี้ เรารับรถเดโม คันนี้ กันที่หน้าบ้านของ แพน…!!
ผิดธรรมเนียมไปสักหน่อย แปลกไปไม่น้อย
แต่มีเหตุผลอันพอเข้าใจได้
เนื่องมาจากว่า น้องเบียร์ น้องสุดเลิฟคนหนึ่ง ที่เรารู้จักกันดี
(ว่าออกจะรั่วๆ ป้ำๆเป๋อๆ ชอบเบลอ หายวีนได้ง่าย ด้วยกาแฟแก้วเดียว
ชอบไม่รับโทรศัพท์ ในเวลาที่โลกกำลังจะคอขาดบาดตาย
หรืออะไรต่อมิอะไรมากมายก่ายกองไปหน่อยก็ตาม อิอิ)
เขาไปทำอีท่าไหน อย่างไร ดีลกันมาอย่างไร
ข้าพเจ้ามิอาจทราบได้ จริงๆ
รู้แต่ว่า เบียร์ สามารถจัดหา X-Trail ใหม่
มาให้เราได้ทดลองขับกันก่อน จัดคิว กันมาได้อย่าง
งุนงง และโกลาหล ท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึง
ของผม แพน และน้องๆ The Coup Team ของเรา เป็นยิ่งนัก…
เพราะมันเคยมีกรณีเกิดขึ้นมาว่า เมื่อ กันยายน ปีที่แล้ว
เรานัด เบียร์ มาคุยกัน มาประชุมกัน เย็นวันศุกร์
พวกเราหลายคน มาเตรียมพร้อมเต็มที่ หวังจะคุยงานกัน
แต่ วันนั้น น้องเบียร์ เบี้ยวนัด ทีมของเรา….
ผมก็เสียวสิครับ ขนาดนัดประชุมคุยงานกันธรรมดา
น้องเบียร์ ตี๋น้อยสุดเลิฟ ยังเบี้ยวพวกเราเฉยเลย แล้วไม่มีหรอก
ไอ้ที่จะโทรมาบอกกล่าวกันสักคำนึง แถมพอโทรกลับไป เจ้าตัวก็ยังไม่รับสาย
เป็นอย่างนี้ต่อเนื่อง เป็นสัปดาห์! หนักหนากว่านั้น ให้หลังไม่นาน
พ่อเจ้าประคุณท่าน ก็หายตัว ติดต่อไม่ได้ อีก 1 เดือนเศษๆ ก่อนจะโผล่มา
ในภายหลัง แล้วบอกกับผมว่า “แหะๆๆ เพ่จิม ขอโทษทีพี่ โทรศัพท์ Hutch ของป๋มเสียอ่ะ”
โอ้ยยยยย อยากจะบีบคอมันม๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่หมดจักรยาน เอ้ย จักรวาล
แล้วคุณๆ จะให้ผม ไม่หวาดเสียวกับความ เอาแน่เอานอนไม่ได้
ระดับโล่ห์(หมอน)ทอง ของประเทศ จากน้องผมคนนี้ ได้ยังไงกันละครับเนี่ยยยยย
แต่ในที่สุด…เบียร์ ก็ทำทุกอย่าง ตามสัญญา ที่ตกลง นัดแนะ กันไว้่
อย่างเรียบร้อย ดิบดี และไม่มีผิดพลาดขาดตกบกพร่อง อะไรทั้งสิ้น…
X-Trail คันสีเทาเข้ม เลี้ยวฟ้าบบบบ เข้ามาจอดถึงหน้าบ้านของแพน ตามเวลานัดเป๊ะ..
โอ้ยยย โล่งอก ใจอย่างบอกไม่ถูก!!!! (ฟิ้ววววววว)
พี่อยากกระโดดกอดเอ็งมาก ขอบคุณ ที่ทำตามสัญญาเป๊ะ
แต่ อย่าเลย เดี๋ยวเอ็งจะเหลิง…หรือไม่ ก็กระโดดหนีจากลูกแป
ที่พี่ตั้งใจจะเหวี่ยงตามไปให้เอ็งหลังจากนั้น…
(หึหึหึ งานนี้ จะเผาเบียร์ให้ไหม้เกรียม เอาให้หายแค้น!!! ฮี่ๆๆๆๆๆ)
ผมมีเวลาอยู่กับ SUV ที่มีหน้าตาเหมือนกับเอากระจังหน้าของ
รถกระบะ Frontier รุ่นสุดท้ายปี 2001 มาแปะเอาไว้ คันนี้ เพียงแค่ 12 ชั่วโมง….
บ่าย 2 โมงของคืนวันเสาร์ ที่ 23 ไล่ไปจนถึง เที่ยงคืน ทำการทดลองต่างๆ
รวมทั้งทำคลิป ให้เสร็จ จากนั้น ก็ช่วง บ่าย 3 โมง ถึง 5 โมงของวันอาทิตย์ ที่ 24
สำหรับการถ่ายภาพนิ่ง รวมแล้ว 12 ชั่วโมงพอดี ไม่มีเกิน มันช่างบีบคั้นหัวใจ
ไม่แพ้บีบไข่ (ต้ม) เป็นที่สุด
เอาวะ! ขนาด First Impression ของ Camry HYBRID กับ Lancer EX
เรายังใช้เวลาจัดการในวันเดียว จนเสร็จ มาแล้วเลย นับประสาอะไรกับแค่..X-Trail…
ลองดูสักตั้ง….ก็คงไม่ถึงตาย เนาะเบียร์ เนาะ
X-Trail รุ่นแรก เปิดตัวครั้งแรกในโลก ที่ญี่ปุ่น เมื่อ เดือนสิงหาคม 2000 ในยุคที่
รถยนต์ประเภท SUV กำลังเฟื่องฟู ถือได้ว่าเป็นรถรุ่นหนึ่ง ซึ่ง มาถูกที่ ถูกเวลา
และช่วยสร้างรายได้ให้กับ Nissan ช่วงที่ยังอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูของ Carlos Ghosn
เป็นอันมาก รถรุ่นแรกถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นตัวถัง FF-MS Platform ร่วมกับ
Nissan Primera P12 รุ่นสุดท้าย Nissan Sunny NEO และ Almera ในตลาดโลก
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ในแทบทุกประเทศที่เปิดตัว (ยกเว้นเมืองไทย)
รุ่นที่ 2 ซึ่งคุณกำลังมองเห็นอยู่นี้ ถูกพัฒนาขึ้น บนพื้นตัวถัง C-Platform ร่วมกับ
มินิแวน 7 ที่นั่ง Nissan LaFesta ไปจนถึง Crossover SUV ทั้ง Nissan Qashqai
และ Nissan Rogue สำหรับตลาดอเมริกาเหนือ เผยโฉมครั้งแรกในโลก ณ งาน
เจนีวา มอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนมีนาคม 2007 ก่อนจะเริ่มออกสู่ตลาดญี่ปุ่น หลังจากนั้น
ไม่กี่เดือน และถือว่าประสบความสำเร็จในตลาดโลกไม่แพ้กัน เพราะจากตัวเลขยอดขาย
นับตั้งแต่เปิดตัว Nissan ผลิตและส่งมอบ X-Trail รุ่นที่ 2 ให้ลูกค้าทั่วโลกไปแล้วถึงกว่า
140,000 คัน เฉพาะในญี่ปุ่นเพียงแห่งเดียว ก็ทำยอดขายไปได้ถึง 27,000 คัน และยังรั้ง
ตำแหน่ง SUV ที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ถึง 2 ปีติดต่อกัน
จนถึงทุกวันนี้ X-Trail กลายเป็นรถยนต์รุ่นหลักรุ่นหนึ่งของ Nissan ไปแล้ว
มีการส่งไปทำตลาดถึงใน 167 ทั่วโลก และมียอดขายสะสมแล้วมากถึงกว่า 800,000 คัน
ครองตำแหน่ง SUV ที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่นมาแล้วถึง 8 ปี เมื่อนับรวมตัวเลขจากรถรุ่นก่อน
เข้าไปแล้ว
ในเมืองไทยนั้น สมัยก่อน Nissan มีดำริจะนำ X-Trail เจเนอเรชันแรก เข้ามาขายในไทย นานแล้ว
ตั้งแต่ เพิ่งเปิดตัว ในญี่ปุ่น ช่วงปลายปี 2000 ไปหมาดๆ แต่จนแล้วจนรอด รถรุ่นนี้ ก็เป็นหนึ่งในรถยนต์
รุ่นที่โดนหางเลข จากความขัดแย้ง ในสมัยการบริหารของ กลุ่มพรประภา กับสำนักงานใหญ่ทางญี่ปุ่น
เมื่อทางไทย พยายามจะขอรถรุ่นนี้มาทำตลาด แต่ญี่ปุ่นเอง ก็ไม่ยอม ยื้อกันไปมา จนกระทั่ง หลังจากที่
Nissan ญี่ปุ่น เข้ามาถือหุ้น กิจการของ Nissan ในไทยแทนกลุ่มเดิม แถม ทางโรงงานของ Nissan ใน
อินโดนีเซีย ก็พร้อมขึ้นไลน์ประกอบ X-Trail รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ กันพอดี X-Trail รุ่นแรก
จึงมีโอกาสเข้ามาเปิดตัวในไทย
แต่ สถานการณ์ ณ วันเปิดตัว ก็ใช่ว่าจะสวยงามนัก เพราะก่อนหน้าจะถึงวันเปิดตัวในช่วงเดือน
มกราคม 2005 ได้ไม่นาน ราคาน้ำมันเบนซิน ทั้งในตลาดโลก และในไทย ก็พุ่งพรวดทะยานขึ้น
จนน่าตกใจ กระแสความนิยม ในรถยนต์ SUV เริ่มหดหายลง แต่ในเมื่อ การเตรียมงานต่างๆ
เสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง รถล็อตแรก ก็ลงเรือ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียบร้อย ทางฝั่งไทย ก็เลย
ต้องเดินหน้า จัดงานเปิดตัว และเริ่มทำตลาดรถรุ่นนี้กันต่อไป และตลอดอายุตลาด การที่รถรุ่นนี้
ประกอบในอินโดนีเซีย ก็ยิ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ที่ตอกย้ำความสำเร็จของรถรุ่นนี้ ชนิดที่
คนของ Nissan ในเมืองไทย แทบไม่มีวันลืมกันเลย
เมื่อยอดขาย ออกมาย่ำแย่อย่างที่เห็น Nissan เอง ก็ดูเหมือนจะถอดใจ
จากการทำตลาด X-Trail ไป ในช่วงนั้น
แต่ใครจะไปคาดคิดว่า จู่ๆ โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผลจากความพยายาม ขยายการส่งออก
X-Trail รุ่นใหม่ล่าสุด จากทาง โรงงานในอินโดนีเซีย ที่พยายามปรับปรุงงานประกอบ
ให้ดียิ่งขึ้น ก็เลยทำให้ แผนการนำ X-Trail กลับมาขายอีกรอบ ก็เริ่มต้นขึ้น อย่างเงียบๆ
และโดยไม่มีใครเชื่อมาก่อนเลยว่า ผู้บริหารขาวญี่ปุ่นใน Nissan จะลองเสี่ยงดวงดูอีกสักตั้ง
เพียงแต่การมาของ X-Trail ครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อเป็นผู้เล่นตัวหลักในตลาด หากแต่เป็นเพียง
การอุดช่องว่างทางการตลาด เพื่อเติมเต็มและเผื่อความต้องการของลูกค้าเอาไว้เป็นหลัก
ก็เท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ คราวนี้ X-Trail รุ่นใหม่ เวอร์ชันไทย จึงมีเพียงรุ่น ขับล้อหน้า
เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน CVT ที่ยกมาจาก Teana 2.0 ใหม่
นั่นเอง
เหตุผลที่ Nissan เลือกทำตลาด X-Trail ด้วยรุ่นขับล้อหน้าเพียงอย่างเดียว ในคราวนี้ ก็เพราะ
มองเห็นแล้วว่า ตลาดส่วนใหญ่ ที่ซื้อรถยนต์ SUV ในไทย มักไม่ค่อยมีทางเลือกมากนัก
สำหรับคนที่อยากได้ SUV แต่ ไม่ได้เอาไปลุยป่าลุยทุ่งที่ไหน และมักใช้งานในเมืองเป็นหลัก
บางที แค่รุ่นขับล้อหน้า ก็น่าจะเพียงพอต่อลูกค้าในกลุ่มนี้แล้ว อีกทั้งยอดขายส่วนใหญ่ของ
รถปรเภทนี้ ใน อินโดนีเซีย และไทย ก็มีแนวโน้มคล้ายกันคือ ยอดขายของรุ่นขับล้อหน้า
จะดีเกินหน้าเกินตา รุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นปกติ ดังนั้น Nissan เลยคิดว่า ไม่จำเป็นต้องนำ
รุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ามา…
มิติตถัวถังของ X-Trail ยาว 4,630 มิลิเมตร กว้าง 1,785 มิลลิเมตร สูง 1,685 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร
หากเปรียบเทียบกับรถรุ่นก่อน ซึ่งมีความยาว 4,455 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร
สูง 1,675 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,625 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า รถรุ่นใหม่ ยาวขึ้นกว่าเดิม
อย่างชัดเจน ถึง 175 มิลลิเมตร ส่วนหนึ่ง มาจากบั้นท้าย ที่ถูกเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้น
เพิ่มความกว้างอีก 20 มิลลิเมตร เพิ่มความสูงอีก 10 มิลลิเมตร แต่เพิ่มระยะฐานล้อ
ออกไปอีกเพียงแค่ 5 มิลลิเมตร (-_-‘)
รูปลักษณ์ของ X-Trail ใหม่ ยังคงยืนหยัดอยู่บนแนวทาง เหลี่ยมสันไปทั้งคัน เหมือนเดิม
เพราะผลสำรวจวิจัยจากลูกค้าทั่วโลกส่วนใญ่ ระบุว่า ชอบและซื้อรถรุ่นแรก เพราะการออกแบบ
ภายนอกที่เป็นอย่างเดิม นี่แหละ ดังนั้น ทีมวิศวกร ตึงพยายามรักษาความเป็น “X-Trailness”
เอาไว้ให้ได้ แต่ พยายามเพิ่มเติมสิ่งที่ขาดหายไป และลดข้อบกพร่องต่างๆให้น้อยลง
ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังใหม่ที่แข็งแกร่งแน่นหนามากขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วย
ลดเสียงกับการสั่นสะเทือน NVH (Noise Vibration & Harshness) ลง (เหรอ?)
นอกจากนี้ได้มีการนำเอาการคำนวณเชิงตัวเลขสำหรับกลศาสตร์ของไหล CFD หรือ
Computational Fluid Dynamics มาใช้เพื่อวิเคราะห์และออกแบบตัวถังอีกด้วย
กุญแจ ที่แถมมาให้กับตัวรถ แทบไม่ต่างอะไรกับ Nissan TIIDA เลย คือมีกุญแจมาให้
แบบมาตรฐาน แล้วก็รีโมทคอนโทรล สั่งล็อก กับปลดล็อกประตู ธรรมดา พื้นฐาน เบสิก
เมื่อเปิดประตูคู่หน้าออกมา พบว่า แผงประตูด้านข้างนั้น มีอะไรแปลกๆนิดหน่อย
ท่อนบน จะหุ้มด้วยวัสดุนุ่ม แต่พอถึงบริเวณวางแขน แม้จะวางได้สบาย พอดีๆ
แต่ กลับใช้พลาสติกรีไซเคิล ที่แข็งๆ มาให้ โอเค พยายามมองในแง่ดี โดยปกติแล้ว
คนเรามักจะมีเหงื่อ กันเรื่อยๆ ถ้าขืนใช้ผ้าหุ้มในบริเวณเท้าแขนดังกล่าว ผ้าหุ้ม
ในบริเวณนั้น จะเสื่อมสภาพค่อนข้างเร็ว อีกทั้ง X-Trail เป็นรถเพื่อสันทนาการ
เป็นหลัก ดังนั้น เกม กีฬาใดๆ อาจก่อความเลอะเทอะ และถ้าคราบเหล่านั้น
มาเปื้อนผ้าหุ้มละ ก็ทำความสะอาดลำบาก…นี่พยายามคิดและมองแต่ด้านดี
กันสุดๆแล้วนะเนี่ย… มีช่องใส่ของ และขวดน้ำขนาดพอประมาณ ไว้อำนวยความสะดวก
ตำแหน่งความสูงของเบาะนั้น หากเป็นคนชอบรถสูงๆ เบาะนั่งสูงๆ คุณน่าจะชอบ
เพราะตำแหน่งของเบาะนั่ง จะใกล้เคียงกับ ทั้ง Ford Escape และ Mazda Tribute
แค่เพียงหันก้นไปหย่อนไว้บนเบาะรองนั่ง หมุนตัว เหวี่ยงขาขึ้นมา ก็ปิดประตูได้เลย
อย่างไรก็ตาม เมื่อปรับในตำแหน่งต่ำที่สุด เบาะคนขับของ CR-V ใหม่ จะอยู่ในตำแหน่ง
เตี้ยที่สุด และเหมาะแก่การขับรถทางไกล มากกว่ากันนิดหน่อย
เบาะคนขับ จะปรับระดับสูงต่ำได้ ด้วยก้านโยก การปรับเอน หรือปรับเลื่อนขึ้นหน้า
ถอยหลัง ของเบาะคู่หน้า จะใช้ระบบกลไก ไม่มีระบบไฟฟ้ามาเกี่ยวข้อง
พื้นที่เหนือศีรษะ สูงโปร่ง กำลังดี และไม่มีปัญหาใดๆในประเด็นนี้
เข็มขัดนิรภัย เป็นแบบ ELR 3 จุด คู่หน้าเป็นแบบ Pretensioner & Load Limiter
ดึงกลับเมื่อมีสิ่งกีดขวาง
การวางแขน บนแผงประตูนั้น ทำได้สบายดีก็จริง แต่ ฝากล่องเก็บของ หุ้มหนัง
ซึ่งทำเป็นที่วางแขนในตัวนั้น กลับไม่สามารถใช้งานจริงจังอะไรได้เลยทั้งสิ้น!
มันทำหน้าที่เป็นแค่ฝาปิดกล่องเก็บของ..และ แค่นั้น เท่านั้น
ประตูคู่หลัง นั้น เป็นเรื่องที่ต้องทำใจกันจริงๆ เพราะจากรีวิว ของรถรุ่นก่อน
ที่ผมเคยทำเอาไว้เมื่อปี 2005 บัดนี้ เวลาผ่านไป ปัญหาเดิม ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
ช่องทางเข้าของประตูคู่หลัง ค่อนข้างจะเล็กไปหน่อย แม้ว่าจะมีการขยายระยะฐานล้อ
ให้ยาวขึ้นจาก 2.625 เป็น 2,630 มิลลิเมตร แต่นั่นก็แค่ 5 มิลลิเมตร และไม่ได้ช่วยให้
ทางเข้ามันใหญ่โตขึ้นไปจากเดิมเท่าใดเลย
หมายความว่า ทันทีที่คุณจะเอาขาก้าวออกจากประตูคู่หลัง รถ ขาอีกข้างหนึ่ง ยังไงก็ต้อง
ไปติดกับแผงพลาสติกบุผนังเสาหลังคา B-Pillar เสียก่อน ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้
เช่นเดียวกับรถกระบะ 4 ประตูหลายๆรุ่นตอนนี้
แผงประตู มีช่องใส่ของขนาดเล็กมาให้ และยังคงวางแขนได้ดี เพราะตำแหน่งวางแขน
ยังคงอยู่ที่เดิม เพียงแต่ มีการออกแบบที่ต่างไปจากรุ่นเดิมนิดหน่อยเท่านั้น
โชคดีนิดหน่อยที่ หุ่นขนาด ผู้การแพน ของเรา ยังพอจะก้าวเข้าออกได้อยู่
พอจะทำให้รู้ว่า เป็นรถที่ทำออกมา เพื่อคนทั่งโลกจริงๆ แต่ทางที่ดี ขยายระยะฐานล้อ
ออกไปอีกสักหน่อย ก็คงไม่มีใครว่าอะไรหรอก
กระจกหน้าต่างของประตูคู่หลัง ยังคงเลื่อลงมาได้ไม่สุดขอบล่าง เหมือนเดิม
เบาะหลังมีการปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นเล็กน้อย เบาะรองนั่ง นั่งได้เต็มก้นมากขึ้น
และนั่งสบายกว่า เบาะหลังของ CR-V ใหม่ รุ่นก่อนปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์
ที่วางแขน พับเก็บได้ วางแขนได้พอดี มีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือเยอะพอสมควร
พนักพิงเบาะ ปรับเอนได้จนสุด ในตำแหน่งเบาะฝั่งขวา ด้านใน ที่เห็นอยู่ในรูป
มีช่องแอร์ พร้อมที่วางแก้ว แบบกดเปิด เลื่อนเก็บได้ 2 ตำแหน่ง สำหรับผู้โดยสาร แถวหลัง
เข็มขัดนิรภัย แถว หลัง เป็นแบบ ELR 3 จุด ทั้งฝั่งซ้าย และขวา
ส่วนตรงกลางเป็นแบบ ELR 2 จุด ตามปกติทั่วไป
ถ้าแพน ยังคงนั่งในท่าแบบนี้ได้สบายๆ ผมว่า พื้นที่นั่งด้านหลังของ X-Trail
ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาของใครหลายๆคน ที่มีสรีระเล็กกว่าผู้การแพนของเราแล้วหนะครับ
นอกจากนี้ เบาะหลังยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40
เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง โดยต้องยกเบาะรองนั่ง หงายก่อน
แล้วจึงดึงสลักปลดล็อก ที่ด้านบนสุดของ พับพนักพิง ต้องดึงให่้สุดจริงๆ
เพื่อที่จะได้พับพนักพิงตามลงมาได้ แถมช่องว่าง หลังที่วางแขนตรงกลาง
ยังสามารถเปิดโล่งทะลุไปยังห้องเก็บของด้านหลังได้ เหมือนรุ่นที่แล้ว
ห้องเก็บสัมภาระด้านหลังมีขนาด 603 ลิตร ตามมาตรฐาน VDA ของเยอรมัน
ฝาประตูด้านหลัง ใช้กลอนไฟฟ้า แบบเดียวกับ TIIDA และรถรุ่นอื่นๆของ Nissan นับจากนี้
พื้นที่ ห้องเก็บของด้านหลัง มีแผ่นรองพื้นห้องสัมภาระแบบล้างทำความสะอาดได้ อันเป็น
เอกลักษณ์ของ X-Trail มาตั้งแต่รถรุ่นก่อน อีกทั้งยังมีพื้นผิวเป็นลอน Nissan อ้างว่าเพื่อลดโอกาส
ป้องกันไม่ให้สิ่งของลื่นไหล ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ถ้าข้าวของมันจะลื่นไหลไปในขณะที่รถเคลื่อนตัว
ก็คงจะไปห้ามอะไรได้ยาก หากไม่มีสายยึดรั้งเกี่ยวเอาไว้ และที่พิเศษกว่า X-Trail รุ่นที่แล้ว นั่นคือ
คราวนี้ เพิ่มลิ้นชักเก็บของพร้อมแผ่นกั้น สามารถเคลื่อนย้ายได้ อยู่ใต้บอร์ดเก็บสัมภาระ สารพัดประโยชน์จริงๆ
แผงหน้าปัด คราวนี้ ปรับแนวคิดในการออกแบบ ไปจากเดิมเล็กน้อย
โดยยังคงพื้นฐานแนวคิดเดิมคือ ต้องใช้งานได้สะดวก เรียบง่าย
แต่ดูดี คันเกียร์จับกระชับมือมากขึ้น
พวงมาลัย แบบ 3 ก้าน หน้าตาเหมือนกับเคยพบเจอกันมาแล้วใน Nissan TIIDA
หรือ รถตู้ Nissan Serena ที่มีผู้นำเข้ารายย่อยสั่งเข้ามาขายอยู่ไม่กี่สิบคัน ปรับระดับได้
แค่สูง-ต่ำ แต่ไม่สามารถปรับระยะใกล้-ห่างจากตัวผู้ขับขี่ได้ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่ง
ที่เป็นจุดด้อย ทั้งที่คู่แข่ง อย่าง Honda CR-V ทำได้
อีกทั้งไม่มีสวิชต์ ควบคุมเครื่องเสียง Multi Function
และไม่มีระบบล็อกความเร็วคงที่ Cruise Control มาให้
ไฟอ่านแผนที่ เป็นแบบ แยกฝั่งซ้าย-ขวา กระจกแต่งหน้า
ในแผงบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง ไม่มีไฟแต่งหน้ามาให้
ชุดมาตรวัดความเร็ว ย้ายมาอยู่ที่ตำแหน่งปกติ เหมือนรถยนต์ทั่วไป แต่ติดตั้งในตำแหน่งที่
ค่อนข้างจะเตี้ยไปสักหน่อย ซึ่งส่งผลให้ผู้ขับต้องลด และละสายตา ออกจากถนน หากต้องการ
อ่านข้อมูลบนมาตรวัด ถ้ายกตำแหน่งให้สูงขึ้นกว่านี้อีกสักนิดได้ก็น่าจะดี แต่ก็ต้องปรับปรุง
ให้พวงมาลัยมีความสูงที่เหมาะสม ตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตัวเลข ค่อนข้างอ่านง่าย สบายตา
จอแสดงข้อมูล วงกลมตรงกลาง ฝั่งซ้ายเป็นมาตรวัดปริมาณน้ำมัน ฝั่งขวา เป็นมาตรวัดความร้อน
อ่านข้อมูลค่อนข้างยาก เพราะมันกลืนกันไปหมด มีจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
และแสดงระยะทางที่น้ำมันในถังจะเหือพอให้รถแล่นต่อไปได้ รวมทั้ง Trip Meter 2 Trip
เมื่อตำแหน่งของชุดมาตรวัด ย้ายจากตรงกลางแผงหน้าปัดทั้งแผง มาไว้ตรงหน้าคนขับ
เหมือนรถยนต์ปกติทั่วๆไปแล้ว พื้นที่ด้านบนสุด ของแผงควบคุมกลาง เลยถูกปรับเปลี่ยนเป็น
ช่องเก็บของพร้อมฝาปิดขนาดใหญ่เบ้อเร้อ ช่องแอร์ ถูกย้ายมาไว้ในตำแหน่งประกบด้านข้าง
ทั้ง 2 ฝั่ง ของแผงควบคุมกลาง ด้านบนสุด ปล่อยเอาไว้ เป็นช่องวางของเล็กๆ แบบไม่มีฝาปิด
ถัดลงมา เป็นวิทยุ AM/FM หน้าตาเหมือนๆ ชุดเครื่องเสียงแบบมาตรฐาน ที่คุณจะพบได้ใน
Nissan TIIDA พร้อมเครื่องเล่น CD ซึ่งเล่นได้แค่ ครั้งละ 1 แผ่น ไม่สามารถเล่นแผ่น MP3 ได้
มีลำโพงมาให้แค่ 4 ชิ้น คุณภาพเสียง? พอรับได้ ทนฟังได้ ไม่เลวร้าย และไม่ได้ดีเลิศเลอ แต่
ถ้าอยากได้เสียงดีกว่านี้ ต้องปรับปรุงกันใหม่ สถานเดียว
ต่ำลงมาเป็นช่องเก็บของขนาดเล็ก พร้อมฝาปิด…เริ่มรู้สึกว่า ช่องเก็บของแบบนี้ บนหน้าปัด
มันชักจะเยอะไปสักหน่อย เหมือนว่า บริหารจัดการพื้นที่ได้ไม่ลงตัวนัก จากนั้นไล่ลงไป
เป็นสวิชต์ไฟฉุกเฉิน ซึ่งควรจะเลื่อนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง ที่ใช้งานได้ง่าย และสะดวกต่อ
การมองหาของผู้ขับขี่ประเภทป้ำๆเป๋อๆ มากกว่านี้อีกสักหน่อย
เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ มือบิด ดูเหมือนจะออกแบบมาดี และให้สัมผัสการทำงานที่ดี
แต่พลาสติกที่ใช้ และการประกอบ ยังดูมีช่องโหว่อยู่นิดๆ กระนั้น ก็ให้ความเย็นฉ่ำได้เร็ว
และทันใจดี ตามแบบฉบับ ของ แอร์ที่ติดตั้งในรถนิสสัน ทุกรุ่น
ช่องแอร์ที่ด้านข้างแผงหน้าปัด ทั้งฝั่งซ้าย และขวา ถูกออกแบบให้ทำมุมเยื้องเข้าหาตัว
ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารเล็กน้อย แต่ยังคงมีช่องวางแก้วติดตั้งไว้ด้านบน เหนือช่องแอร์
เหมือนเดิม เพียงแต่ ฝาเปิดนั้น ใช้วิธี เปิดกางออกฝั่งซ้าย-ขวา ไม่ได้เปิดกางเหมือน
ฝาข่องเก็บของทั่วไป คาดว่าคงเพราะไม่อยากให้ ฝาที่เปิดออกไป กระทบกับเสาหลังคา
คู่หน้า A-Pillar ในขณะที่รถกำลังแล่น
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่าเสียดาย ที่ไม่อาจจะพบได้ในรถรุ่นใหม่คือ ช่องเก็บของอเนกประสงค์
แบบ 2 ชั้น ที่เคยมีในรถรุ่นเดิม พอมาเป็นรุ่นใหม่ ช่องที่ว่านี้ ถูกตัดออกไป เหลือเพียงช่องเก็บของ
พร้อมฝาปิด แบบปกติ ที่ค่อนข้างลึกเอาการ (เพราะระบบเครื่องปรับอากาศ ย้ายไปไว้ ด้านหลัง
ของแผงควบคุมกลางนหมดแล้วนั่นเอง)
ในเวอร์ชันไทย ก่องเก็บของอเนกประสงค์ ที่เคยทำตัวอเนกประสงค์สมชื่อ
จนน่าประทับใจ มาในรุ่นนี้ กลับลดทอนจุดเด่นนั้นลงไป อย่างน่าเสียดาย
กลายเป็นเพียง กล่องใส่ CD ขนาดใหญ่ พอจะใส่ ก้องถ่ายรูป DSLR-Like
ได้ 1 เครื่อง ส่วนที่วางแก้วตรงกลาง แม้จะมี 2 ช่อง แต่มีที่เขี่ยบุหรี่ ซึ่งเป็น
ถังขยะในตัวได้ มาให้ 1 ชิ้น ถอดทำความสะอาดง่าย ติดตั้งไว้ด้านข้าง เบรกมือ
แบบมาตรฐาน
มาดูทัศนวิสัยรอบคันกันบ้าง
ด้านหน้า นั้น เห็นชัดเจนดี ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไรแต่อย่างใด
มองมาทางฝั่งขวา
เสาหลังคาคู่หน้า A-Pillar ไม่ได้มีการบดบัง รถคันที่แล่นสวนมา จากโค้งทางขวา มากนัก
ซึ่งเป็นปกติ ของเสาคู่หน้า ที่ค่อนข้างจะตั้งชันแบบนี้ ว่าถ้าหากจะยังบดบังอีก ก็คงจะไม่ดีแน่ๆ
สรุปก็คือ มองทุกอย่าง ยังชัดเจนดีอยู่ การบดบังไม่เยอะเลย กระจกมองข้าง มีขนาดใหญ่กำลังดี
ปรับด้วยไฟฟ้า แต่พับเก็บด้วยมือ….เอ่อ รถราคา แตะหลักล้าน เลยผ่านมาแล้ว น่าจะใส่มาให้
สักนิดก็ยังดีนะครับพี่
ทางฝั่งซ้ายมือ
การมองเห็นต่างๆ ก็ยังคงชัดเจนดี การบดบัง แทบไม่มี กระจกมองข้าง ก็เห็นได้ชัดเจน
แทบไม่มีจุดบอดอะไรมากมายนัก นับว่า ทัศนวิสัยด้านหน้าของ X-Trail ค่อนข้างดีกว่า
คู่แข่งคันอื่นๆ ในตลาด ทั้งหมด
แต่พอเป็นทัศนวิสัยด้านหลังเนี่ยสิ
เสาหลังคา D-Pillar ขนาดใหญ่โตนั้น บังรถจักรยานยนต์มิดทั้งคัน
มองไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยสะดวกในการถอยหลังเข้าจอดเท่าใดเลย
รถรุ่นเดิม ทัศนวิสัยด้านหลัง ก็ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนักอยู่แล้ว
พอมารุ่นใหม่ ประเด็นนี้ กลับทำคะแนนได้ไม่ดีนัก เรื่องนี้ก็คงต้อง
รอการปรับปรุงในรถรุ่นต่อไป กันอยู่ดี หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
ขุมพลังของ X-Trail ใหม่ เปลี่ยนทั้งบล็อก และขนาดความจุกระบอกสูบลดลงจากเดิม
ที่วางเครื่องยนต์ QR25DE 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,500 ซีซี พร้อมระบบ แปรผันวาล์ว
CVTC 180 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 25.0 กก.-ม.ที่ 4,000 รอบ/นาที
ถูกลดขนาดลงมา เป็นรหัส MR20DE บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,997 ซีซี
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอีเล็กโทรนิคส์ ECCS พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVTC
อัตราส่วนกำลังอัด 10 :1
กำลังหล่นฮวบ จากเดิม เหลือเพียง 136 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที
แต่แรงบิดสูงสุดเนี่ยสิ 20.0 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที
เครื่องตัวนี้ ในญี่่ปุ่น เอาไว้วางใน รถตู้ Nissan Serena นั่นเอง
อืมม…ตัวเลขแรงม้า อาจไม่น่าสนใจ แต่แรงบิดเนี่ย ก็น่าจะใช้ได้อยู่
ส่งกำลัง สู่ล้อคู่หน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ อัตราทดแปรผัน xTronic CVT-M6
ตัวอักษร M6 ที่เพิมเข้ามา หมายความว่า มีคันกียร์ใน Mode +/-
ให้ผู้ขับขี่ สามารถเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้ (หรือถ้าในเชิงเทคนิค
ควรจะเรียกว่า “เลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ ที่สมองกล ถูกโปรแกรม
ให้ล็อกอัตราทด ของพูเลย์เอาไว้)
อัตราทดเกียร์ D-Range 2.349 – 0.394
เกียร์ 1 สำหรับ M-Mode 1.772
เกียร์ 2 สำหรับ M-Mode 1.300
เกียร์ 3 สำหรับ M-Mode 1.020
เกียร์ 4 สำหรับ M-Mode 0.813
เกียร์ 5 สำหรับ M-Mode 0.664
เกียร์ 6 สำหรับ M-Mode 0.570
เกียร์ถอยหลัง 1.750
ครับ เวอร์ชันไทย ของ X-Trail ใหม่ จะมีให้เลือกแค่
เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร พร้อมเกียร์ CVT วางลงในรูปแบบ
ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ยกชุดมาจาก Nissan Teana 2.0
ใหม่ รุ่น J32 ไม่มีผิด!
เราจับเวลากันโดยใช้มาตรฐานเดิม คือ ทำในตอนกลางคืน เปิดแอร์ นั่ง 2 คน
โดยมีผม หนัก 95 กิโลกรัม และเจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา
หนัก 48 กิโลกรัม รับหน้าที่จับเวลา และบันทึกตัวเลข
ผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน มีดังนี้ครับ
จากตารางตัวเลข สรุปได้ชัดเจนแล้วนะครับว่า X-Trail ใหม่ มีอัตราเร่ง ทั้งการออกตัว
จากจุดหยุดนิ่ง และ ในช่วงเร่งแซง ที่ดีกว่า Honda CR-V รุ่น 2.0 ลิตร ทั้งแบบขับล้อหน้า
หรือขับเคลื่อน 4 ล้อ
แถมตัวเลขที่ออกมา ก็น่าแปลกใจนิดนึงว่า เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี กลับสามารถเรียก อัตราเร่ง
0 – 100 กิโลเมตร/ ชั่วโมง ได้ ไล่เลี่ยกับเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี ตัวเดิม เลยทีเดียว ส่วนหนึ่ง
คงต้องยกความดีความชอบ ให้กับ การเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ xTronic CVT
ซึ่งทำให้เกิดความต่อเนื่องในการดึงพละกำลังของเครื่องยนต์ มาหมุนลงล้อ ได้อย่าง
ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ลดการสูญเสียกำลังในระบบขับเคลื่อนลงไปน่าจะพอสมควรอยู่เหมือนกัน
มิเช่นนั้น ตัวเลขที่ออกมา คงไม่อาจจะสู้กับคู่แข่งในระดับเดียวกัน และใช้เครื่องยนต์
พิกัดความจุกระบอกสูบเดียวกันได้แน่
อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งของ X-Trail ใหม่ นั้น ต้องบอกกันเอาไว้ก่อนว่า รถรุ่นใหม่ ใช้เครื่องยนต์
ที่มีความจุกระบอกสูบ น้อยกว่ารถรุ่นเดิม จาก 2,500 ซีซี เหลือ 2,000 ซีซี แถมยังเปลี่ยน
จากตระกูล QR มาเป็นตระกูล MR ดังนั้น ถ้าคาดหวังความจี๊ดจ๊าด หรือแรงดึงแบบหลังติดเบาะ
แล้วละก็ ลืมไปได้เลย
อัตราเร่ง แม้จะดูเหมือนแทบไม่ได้ดึงให้รถพุ่งพรวดออกไป แต่ ด้วยการทำงานของเกียร์ CVT
อย่างไรก็ตาม อัตราเร่งแซง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ทำได้ 9.7 วินาทีเศษๆ อย่าเพิ่งไปมอง
เปรียบเทียบว่า อัตราเร่งจะด้อยกว่ารุ่นเก่า เพราะเมื่อ มานั่งมองว่า เครื่องยนต์ แค่ 2,000 ซีซี
จะต้องแบกลากตัวรถที่มีน้ำหนัก ตัวเปล่า 1,460 กิโลกรัม รวมน้ำหนักตัวคนขับกับผู้โดยสาร
อีก 1 คน ประมาณ 150 กิโลกรัม ไหนจะน้ำหนักของน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์
น้ำหล่อเย็น และของเหลวอีกสารพัด คาดว่า น่าจะทำให้ตัวรถมีน้ำหนักประมาณ 1,800 – 1,900 กิโลกรัม
ฉะนั้น ได้อัตราเร่งแค่นี้ ก็บุญถมถืดแล้ว หากเทียบกับรุ่นเดิม ซึ่งใช้เครื่องยนต์ใหญ่กว่า
จริงอยู่ว่าตัวเลข อาจจะทำได้ดีกว่าชาวบ้าน แต่เมื่อคุณนั่งอยู่หลังพวงมาลัยของ X-Trail อย่าแปลกใจ
ที่ว่า หากคุณต้องการจะเร่งแซง ที่ความเร็วเดินทาง ระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป ต่อให้เหยียบคันเร่ง
ลึกไปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง เครื่องยนต์ก็แทบจะไม่ค่อยสนองตอบต่อความต้องการเท่าใดเลย มีทางเดียวที่จะ
เรียกพละกำลังออกมาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คือ้องเหยียบคันเร่ง ให้จมมิดติดเหล็กรถ สมองกลถึงจะ
เริ่มรู้ว่า คุณต้องการพละกำลังจากเครื่องยนต์อย่างมาก และถึงจะเริ่มประสานงานกัน ส่งกำลังลงสู่ล้อคู่หน้า
อีกทั้ง ถ้าต้องการเรียกพลังกำลังเวลาเร่งแซงนั้น ผมกลับมองว่า เกียร์ โหมด บวก ลบ ของ X-Trail
ไม่สามารถตอบโทย์นี้ได้ดีนัก เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อัตราเร่ง เร็วขึ้นไปกว่าการเข้าเกียร์
อยู่ในตำแหน่ง D เพียงอย่างเดียว แต่อย่างใด ดังนั้น ถ้าคุณต้องการอัตราเร่ง ในภาวะฉุกเฉิน
กรุณา เหยียบเต็มตีน ตั้งแต่ออกตัวไปเลย น่าจะช่วยให้เครื่องยนต์ เรียกพละกำลังออกมา
ให้คุณได้ใช่งานสมดังใจมากกว่า
ขณะเดียวกัน ต้องทำใจไว้นิดนึงด้วยว่า ความจริงของโลก ยังมีอยู่ สิ่งที่ต้องแลกมา จากการเหยียบมิด
ทั้ง 2 ย่อหน้าข้างบน มี 2 ประการ นั่นคือ เกียร์อาจจะหมุนรอบจัดเร็วจี๋ จนจะสึกหรอไว
ก่อนวัยอันควรหรือไม่ กับอีกประการหนึ่งคือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็จะลดลงไป
อย่างที่ไม่ควรจะเป็น
แต่ถ้านั่งกันเต็มคันรถ ก็ชวนให้แปลกใจว่า นอกจากบุคลิกตอนกดคันเร่ง เพื่อเร่งแซง
หรือออกตัว นอกจากจะเหมือนกับ Teana 2.0 เป๊ะแล้ว ยังให้ตัวเลขออกมาไม่ได้แตกต่างกัน
มากมายอย่างที่คิดอีกด้วย ถ้านั่งเต็มคันรถ มี 14 วินาทีเศษๆ แต่ถ้านั่งกัน 2 คน มี 11.7 วินาที
นับว่า เป็นเรื่องน่านำไปคิดต่อ อีกสักหน่อย อยู่เหมือนกัน
แถมในช่วงการทำความเร็วสูงสุด ถ้าคุณเหยียบคันเร่งจมมิดตั้งแต่ออกตัว
ยังไงๆ คุณก็จะทำตัวเลขได้แค่ 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่เข็มวัดรอบ
จะหยุดที่ระดับ 6,250 รอบ/นาที อันเป็นระดับสูงสุดเท่าที่เครื่องยนต์
จะยอมทำงานให้คุณ
แต่ถ้าเกิดถอนเท้าออกมา แล้วค่อยๆ ไล่ขึ้นไปใหม่ ก็มีโอกาสที่ตัวเลข
จะไปหยุดเอาแถวๆ 178 กิโลเมตร/ชั่วโมง อันเป็นความเร็วสูงสุด
อย่างแท้จริง แต่ต้องทำใจว่า รอบเครื่องยนต์ ก็จะอยู่ที่ระดับ 5,100 รอบ/นาที
อืมม แปลกดี…
พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฟฟ้า EPS มีน้ำหนักเบา แถมยังให้การ
ตอบสนอง ที่ ไม่ต่างอะไรกับพวงมาลัยใน Nissan TIIDA เลย เหมือนกันเป๊ะ
เบาะ ในความเร็วต่ำ แต่นิ่ง ในความเร็วสูง นิ่งชนิดที่ว่า ผมสามารถปล่อยมือออกจากพวงมาลัย
ได้สบายๆ ทั้งที่ใช้ความเร็วในระดับ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง กระนั้น ขอเพิ่มความหนืดในช่วง
ความเร็วปานกลางจนถึงสูงกว่านี้อีกสักนิด น่าจะดีครับ รถแบบนี้ พวงมาลัยไม่ควรเบาแบบนี้
แต่สิ่งที่น่าชมเชย มากที่สุดของรถคันนี้ อยู่ที่ระบบกันสะเทือน
ระบบกันสะเทือนด้านหน้า ยังคงเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัต ส่วนด้านหลัง
เป็นแบบ มัลติลิงค์ มีเหล็กกันโคลงมาให้ครบทั้งด้านหน้า และด้านหลัง
แม้จะมีการปรับแต่งช่วงล่างมาให้เน้นแนวนุ่มนวล ขับสบายเรื่อยๆเป็นหลัก
และบุคลิกของรถตอนเข้าโค้ง ก็ยังคล้ายคลึงกับรุ่นเดิม คือ ตัวรถจะเอียงตัว
ค่อนข้างมาก ตามแรงหนีศูนย์กลาง ที่เกิดขึ้น ทว่า การเกาะถนนนี่แหละ
ที่ทำให้ รถรุ่นเก่า กับรถรุ่นใหม่ แตกต่างกัน นิดหน่อย และต้องจับสัมผัสให้ดีๆ
เพราะว่า ในโค้งหลายรูปแบบที่เจอมา คุณสามารถเข้าโค้งได้ที่ความเร็วระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้
โดยไม่ต้องไปหวั่นไหว กับลักษณะโค้งข้างหน้า ซึ่ง ในรถรุ่นเก่า คุณอาจจะต้องถอนเท้าขวาออกมา
จากคันเร่งก่อนเข้าโค้ง แต่ในรถรุ่นใหม่ แม้ตัวรถยังเอียงค่อนข้างเยอะ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของ
SUV ประเภทนี้ ทว่า การเกาะถนน หรือ Road Holding ถือว่าทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมชัดเจน
ถ้าในโค้งที่ค่อนข้างจะยาว พอสมควร บนทางด่วน สายเชียงราก ช่วงที่มุ่งหน้า
เข้ากรุงเทพฯ แถวๆ เลยทางลงศรีสมาน มาแล้ว โค้งนั้น ผมใส่เข้าไป
เต็มๆ ด้วยความเร็ว 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อย่างสบายๆ และรถก็ยังนิ่งอยู่
โดยไม่มีอาการวูบวาบอะไรเลย เนี่ย คุณคิดว่า ช่วงล่าง จะดีขึ้นกว่าเดิม ไหมละครับ?
บุคลิกของระบบกันสะเทือน ใน X-trail ใหม่นั้น มันใกล้เคียงกับ บรรดา SUV
จากยุโรปทั้งหลาย ที่ผมเคยลองขับ มันนุ่มกว่า CR-V รุ่นที่ 3 นิดนึง ในช่วงความเร็วต่ำ
แต่ น่าจะพอสบายกำลังดี ในแบบที่ ลูกค้าซึ่งไม่ใช่พวกขับรถ Hard Core นัก น่าจะชอบ
และแน่นอนว่า ให้สัมผัสที่ดีกว่า Chevrolet Captiva อยู่นิดนึง ไม่เยอะนัก
การเซ็ตให้นุ่มนวล และแน่นหนึบขึ้นแบบนี้ ทำให้การขับผ่านลูกระนาด และหลุมบ่อเล็กๆ
ตามถนนสายต่างๆในกรุงเทพฯ ทำได้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมนิดหน่อย อีกทั้งยังนิ่งมากกว่าที่คิด
หากเดินทางด้วยความเร็วสูง
แม้แต่ เนินจัมพ์ บริเวณคอสะพาน ต่างๆ ของทางด่วน สายเชียงราก ซึ่งเคยเกิดอุบัติเหตุ
หลายๆราย แต่ X-Trail ก็พาเรา เดินทางข้ามผ่านไป ด้วยความเร็วระดับ 140-150 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ได้อย่างสบายๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ช่วงรีบาวนด์ ของรถประเภทนี้ มักจะยุบตัวแล้วมีจังหวะดีดกลับ
ประมาณ 1-2 ครั้ง แต่กับ X-Trail ใหม่ พอจัมพ์ลงเนินเหล่านี้ ครั้งเดียว และแทบไม่ต้องมีครั้งที่ 2
รถก็กลับมาสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ระบบห้ามล้อแบบดิสก์เบรกแบบมีรูระบายความร้อนทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกัน
ล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD มาให้ มีเรื่องให้ต้องปรับแก้กันนิดหน่อย กล่าวคือ
การหน่วงความเร็ว แม้จะดีใช้ได้ แต่ในช่วงความเร็วต่ำ แค่แตะเบรกเบาๆ ยังไม่ได้ลงน้ำหนัก
ลงไปที่แป้นเบรกเต็มที่นัก รถก็เบรกซะหัวทิ่มกันเลยทีเดียว ไม่แน่ใจว่านี่เป็นอาการเฉพาะ
รถคันนี้หรือเปล่า ถ้าใช่ ก็ไม่ยาก แค่ส่งไปปรับตั้งกันใหม่ ก่อนนำไปใช้งานต่อ ก็เสร็จแล้ว
แต่ถ้า รถที่ะส่งมอบให้ลูกค้า ก็ยังมีอาการแบบนี้กันเลยละ? สงสัยคงต้องให้ ช่างนิสสัน
ปรับตั้งอีกสักหน่อย ให้เข้าที่แล้วละครับ
ยางที่ติดรถมา เป็นยางขนาด 215/65 R16 พร้อมล้ออัลลอย 6.5 J x 16
ซึ่งก็จัดอยู่ในเกณฑ์พอรับได้ พอใช้งานได้ ใช้ไปเรื่อยๆ จนยางหมดอายุ
แล้วค่อยเปลี่ยน ก็น่าจะเพียงพอ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ยางแพงๆอะไร
มากมายนัก เพื่อรองรับ สมรรถนะของรถ
ด้านการเก็บเสียงนั้น ถ้าคุณนั่งอยู่ในตำแหน่ง คนขับ หรือผู้โดยสารตอนหน้า
คุณจะไม่ค่อยได้ยินเสียงรบกวนอะไรเท่าใดนักหรอกครับ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณ
ตัดสินใจย้ายไปนั่งบนเบาะหลัง ทีนี้แหละ คุณจะเริ่มได้ยินเสียงรบกวน
อันไม่พึงประสงค์ต่างๆนาๆ เล็ดรอดขึ้นมาจากบริเวณซุ้มล้อด้านหลัง ค่อนข้างเยอะ
กว่าที่ควรจะเป็น เสียงยางบดกับพื้นถนน สะท้อนขึ้นมาให้ผู้โดยสารด้านหลัง
ได้ยินเป็นระยะๆ นี่ยังไม่นับ กับ เสียงของพื้นห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
ที่มักจะกระดกตัวขึ้น แล้วก็กระแทกกลับลงไปที่เดิม ดัง “ปัก!”
แทบจะทุกครั้ง ที่รถต้องแล่นผ่านลูกระนาด ไม่ว่าจะเป็นในความเร็วต่ำๆ
แบบค่อยๆคลาน หรือในความเร็วที่สูงขึ้นอีกนิดนึง ก็เป็นเช่นเดิม
ทางแก้ปัญหา ง่ายนิดเดียว Nissan ควรจะทำแม่เหล็ก หรือ ล็อกอะไรสักอย่าง
อยู่ใต้แผ่นปิดปูพื้นห้องเก็บของด้านหลังนี้ เพื่อให้มันไม่สามารถกระดกตัว
ขึ้นนั่นพอจะช่วยบรรเทาปัญหาไปได้เปลาะหนึ่ง ในเบื้องต้น
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
เรายังคงใช้วิธีการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กันด้วยวิธีดั้งเดิม
เหมือนกับรถทุกคัน ที่ผ่านมือผม นั่นคือ เราจะเริ่มจากการเลี้ยวเข้า
สถานีบริการน้ำมันเชลล์ สาขาปากซอยอารีย์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า BTS
ถนนพหลโยธิน เพื่อเติมน้ำมันเบนซิน 95 V-Power จนเต็มถัง
ในกรณีของ SUV นั้น เราเติมเข้าไปแค่ หัวจ่ายตัด ก็เพียงพอแล้ว
ไม่เติมเพิ่ม หรือเขย่ารถกันแต่อย่างใด ครั้งนี้ สักขีพยานของเรา
ยังคงเป็น เจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา น้ำหนักตัว
48 กิโลกรัม กับผม 95 กิโลกรัม ยังคงเป็น คนขับ และสักขีพยาน
เหมือนเดิม และตามเคย
ถังน้ำมัน ของ X-Trail มีความจุ ที่แจ้งมา อยู่ที่ 65 ลิตร
เมื่อน้ำมันเต็มถังแล้ว เราก็เซ็ต 0 ตรง Trip Meter (X-Trail ให้มา 2 Trip Meter)
เลี้ยวออกจากปั้ม ลัดเลาะเข้าซอยอารีย์ ไปโผล่ ตรงโรงเรียนเรวดี แล้วก็เลี้ยวเข้า
ถนนพระราม 6 มุ่งหน้าขึ้นทางด่วน สายเชียงราก
วันนี้ รถค่อนข้างโล่ง ทางสะดวก รักษาความเร็วคงที่ไว้ได้ดีก็จริง
แต่ยอมรับว่า เมื่อยขาขวา ที่จะต้องเลี้ยงคันเร่ง ให้ความเร็วรถ อยู่ในระดับ
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่งกัน 2 คน ตามมาตรฐานเดิมของเรา
รถระดับนี้ ราคา 1 ล้านบาท เศษ อย่างน้อยๆ น่าจะติดตั้งระบบควบคุม
ความเร็วคงที่ อัตโนมัติ Cruise Control มาให้ นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เรา
อยากจะเห็นใน รุ่นปรับโฉม Minorchange ซึ่งก็คงยากจะเป็นจริงได้อยู่
เมื่อไปถึงปลายสุดทางด่วนสายเชียงราก ที่อยุธยา เราก็เลี้่ยวกลับรถ
มุ่งหน้าย้อนขึ้นทางด่วน ขับกลับมาตามเส้นทางเดิม มุ่งหน้ามาลงที่
อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลียวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน มุ่งหน้ากลับไปยัง
ปั้มเชลล์ เพื่อไปเติมน้ำมันเบนซิน 95 V-Power ที่หัวจ่ายเดิม อย่างที่เห็น
เอาละ เรามาดูระยะทางกันว่า ชุดมาตรวัดจะแจ้งตัวเลขไว้เท่าไหร่
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด 90.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับทั้งหมด 8.57 ลิตร!
ดังนั้น ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย
ที่เราทำได้ในครั้งนี้คือ 10.59 กิโลเมตร/ลิตร…
เอ้าว? ทำไมมันด้อยกว่ารถรุ่นเก่ากันละ?
เรื่องนี้ พอจะมีคำอธิบายอยู่ครับ
ลองนึกดูว่า รถยนต์ ที่มีความสูงมากกว่ารถเก๋งทั่วไป
แถมรูปลักษณ์ยังมาในลักษณะ กล่องเหลี่ยมๆ ออกจะต้านลม
ถ้าวางเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี กับ 2,000 ซีซี ประกบกัน โอกาสที่
รุ่นเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี จะประหยัดพอกัน หรือประหยัดกว่า
เครื่องยนต์ที่เล็กกว่า ก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
นั่นเพราะ เราต้องไม่ลืมวิธีคิดง่ายๆที่ว่า
ให้เด็ก ลองลากกล่องโทรทัศน์
กับผู้ใหญ่ ลากกล่องโทรทัศน์ กล่องเดียวกัน
ถ้าคุณนึกภาพตามออกได้ คุณก็คงจะเข้าใจว่า
ทำไม X-Trail ใหม่ ถึงมีตัวเลขความประหยัด
ตกต่ำลงอย่างนี้
มันก็คล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้น กับทั้ง Camry 2.0 กับ 2.4
และ Accord 2.0 กับ 2.4 ที่ผมเคยทำรีวิวไปนั่นละครับ
รถที่มีน้ำหนักตัวเปล่า 1,460 กิโลกรัม ต้องแบกลากคนขับ และผู้โดยสาร
น้ำหนักประมาณ 150 กิโลกรัม รวมน้ำมันเต็มถัง 65 ลิตร และของเหลว
ในระบบทั้งหมด ดูแล้วมีสิทธิ์จะพุ่งไปถึง 1,800 กิโลกรัม โดยประมาณ
เครื่องยนต์ แค่ 2.000 ซีซี แถมยังมีตัวถังที่ออกจะต้านลมด้วยธรรมชาติ
ของรูปทรงแบบนี้ ก็น่าจะได้ตัวเลขไม่ดีไปกว่า 12 กิโลเมตร/ลิตร อยู่แล้ว
จากที่พวกเราทายตัวเลขกันในเบื้องต้น
แต่ขณะเดียวกัน ผมไม่แน่ใจว่า น้ำมันในถัง ที่ทาง Nissan
เติมเต็มมาให้เรานั้น เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใด ก่อนที่เรา
จะเริ่มทำการทดลองจับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง กัน
เพราะคิดว่า Nissan น่าจะเติม แก็สโซฮอลล์ 95 มาให้
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ต่อให้ เติม น้ำมันเบนซิน 95
จนเต็มถัง ตัวเลขความประหยด มันก็จะไม่อาจเพิ่มขึ้น
ได้มากกว่านี้ เกินไปถึง 11-12 กิโลเมตร/ลิตร ได้หรอกครับ
********** สรุป **********
TIIDA วางเครื่องและเกียร์ของ Teana แต่ยกสูง และ ของเล่น น้อย
“พี่จิมมี่ หลังจากขับมาแล้ว คิดว่ารถคันนี้มีข้อดีตรงไหนบ้างเนี่ย”
ผมส่งได้แต่ส่งแววตาฉงนกลับไปหาน้องเบียร์ เจ้าของคำถาม
และผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบน้องเค้าไปว่าอย่างไร
สมองซีกหนึ่งของผมอยากจะตอบออกไปว่า
“ถ้าต้องพูดกันตรงๆ ในโลกเรานี้มีรถยนต์หลายคันที่อาจจะมีคุณสมบัติบางด้าน
หรือหลายๆด้านดีกว่าคู่แข่ง แต่กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าคู่แข่ง
ถึงเป็นเรื่องน่าเศร้า แต่มันก็เป็นความจริง ที่ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน”
แต่ในสมองอีกซีกหนึ่ง….อีกประโยค ก็ผุดแว่บขึ้น ตามมาติดๆเลยว่า
“เอ่อ…แล้วรถคันนี้ มันจะมีข้อดีอะไรให้เราเขียนถึงกันบ้างวะเนี่ย?
อ่ะ เรามานั่งดูกันดีกว่า ทำไมเราถึงเรียกรถคันนี้ว่า
เป็น TIIDA ยกสูง วางเครื่อง Teana 2.0 และยาวขึ้น?
ทุกวันนี้ TIIDA เริ่มได้รับการยอมรับจากผู้คนมากขึ้น หลังจากที่มีคนซื้อไปใช้
แล้วพบว่า รถคันนี้ มีข้อดีหลายอย่าง ทั้งความคล่องตัวในการขับขี่ บนถนนกลางเมือง
ด้วย ช่วงล่างที่โอเค พวงมาลัยไฟฟ้าที่เบาแต่นิ่งและไว้ใจได้ในความเร็วสูง แถมยังมี
เครื่องที่แรงและประหยัดกว่าที่คิด วางในโครงสร้างตัวถังที่มีห้องโดยสารที่ยาวสุดในตลาด
นั่งสบาย ผิดกับรูปลักษณ์ที่มองจากภายนอก อีกทั้งมีความคุ้มค่า ทว่า Option น้อยไปหน่อย
อีกทั้งยังต้อง มีคนที่เปิดใจให้กับรูปร่าง ที่ยากจะหาคนชอบใจในสบตาแรกที่พบเห็น
จึงจะค้นพบความดีที่ซ่อนอยู่ ลึกมาก
นั่นละ TIIDA หรือ ไอ้ติ๋ม รถที่ผมเคยเขียนถึง
และเป็นรถที่ ผู้การแพน ของเราซื้อมาใช้ในท้ายที่สุด
แต่ คุณลองจินตนาการดูสิครับ ถ้า TIIDA จะถูกขยายความยาวห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
เพิ่มมากขึ้น แล้วเปลี่ยนเอาเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร กับเกียร์ CVT ของ Teana 2.0 สวมเข้าไป
แล้วยกพื้นรถให้สูงขึ้น ยกเบาะที่สูงอยู่แล้ว ให้สูงขึ้นอีกนิด เพิ่มความกว้างตัวรถเข้าไปอีกนิด
นั่นละครับ คือ X-Trail เจเนอเรชันที่ 2 ที่คุณเห็นอยู่นี้ นั่นเอง
ทีนี้เราลองมานั่งนับ ข้อดี ของ X-Trail รุ่นที่ 2 เวอร์ชันไทย กันดีกว่า
ผมกับแพน นั่งคิดกันอยู่พักใหญ่ ก็ได้ความว่าดังนี้
– ข้อดี? อัตราเร่งไง ไวกว่า ทุกคันในพิกัด SUV ระดับ 2.0 ลิตรเลย
ไล่กันตั้งแต่ CR-V 2.0 จะขับหน้า ขับหลัง ก็ตาม Captiva ทุกรุ่น
ทั้งเบนซิน หรือดีเซล พ่อ X-Trail ของเรา กินเรียบ! ไม่เว้นแม้แต่
Escape 2.3 ลิตร ที่คาดว่า ถ้าออกตัวพร้อมกัน คงโดน X-Trail ทิ้งหายไปเป็นทุ่ง
– ความต่อเนื่องของเกียร์ CVT มีส่วนทำให้อัตราเร่งของ X-Trail ไหลลื่น
อย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่า งานนี้ Nissan พยายาม ดึงเอาข้อดีของ เกียร์ CVT
มาใช้ให้เกิดประโชน์ เป็นรูปธรรมได้มาก จนเหลือเชื่อว่า จะทำให้เครื่องยนต์
แค่ 2,000 ซีซี ที่มีแรงม้าแค่ 136 ตัว ทำอัตราเร่งจาก จุดหยุดนิ่ง ถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ได้ในเวลาที่ด้อยกว่า เครื่องยนต์ 2,500 ซีซี กับเกียร์อัตโนมัติแบบเดิมๆ ไปเพียงแค่ 0.5
วินาที ทั้งที่แรงม้าน้อยกว่ากันตั้ง 44 ตัว!!!!
– อีกประการหนึ่ง อยู่ที่ แรงบิดสูงสุด มากถึง 20 กก.-ม. แม้ว่าจะมาในรอบสูง 4,400 รอบ/นาที
แต่เมื่อทำงานกับเกียร์ CVT ก็สมัครสมานสามัคคีกันดี ในช่วงรอบเครื่องยนต์ปานกลาง
อันเป็นบุคลิกประจำตัวของเครื่องยนต์ Nissan อยู่แล้ว ที่กว่าพละกำลังจะมาถึงเต็มที่
ต้องรอให้รอบเครื่องยนต์ ไต่ขึ้นไปจนถึงช่วง 2,000 ปลายๆ – 4,000 ปลายๆ รอบ/นาที
– ความสบายในการโดยสาร ตำแหน่งเบาะนั่ง ตำแหน่งขับขี่ ถูกจัดวางเอาไว้ อย่างเหมาะสม
แม้ว่า ตำแหน่งขับ อาจจะสู้ CR-V ได้ยังไม่เต็มที่นัก แต่เบาะหลัง นั่งสบาย กิน CR-V
รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ได้ขาดลอย (แต่ ว่ากันว่า CR-V รุ่น ไมเนอร์เชนจ์แล้ว เบาะหลังน่านั่งขึ้น?)
– ความเนกประสงค์ ในห้องโดยสาร และห้องเก็บสัมภาระ ที่ยังคงมีมาให้เหมือนรุ่นที่แล้ว
แม้จะมีอะไรขาดๆเกินๆไปนิดๆหน่อยๆ แต่พอใช้งานจริงแล้ว ก็ถือว่าสะดวกโยธิน
และตอบโจทย์ คนที่ใช้รถในเมือง อยากได้รถที่มีหน้าตาแบบ SUV แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อรถ
ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาขับขี่ แต่อย่างใด
ถ้าถือว่า ทำตามโจทย์เหล่านี้ X-Trail ใหม่ ก็ตอบได้ครบถ้วนเลยนะ
แล้วข้อที่ควรปรับปรุงละ?
ก็เยอะไม่แพ้ข้อดีหรอกครับ
– ข้อแรกเลย อัตราเร่ง ที่ดีกว่าใครเพื่อนในตลาดนั้น มาจากการกระทืบคันเร่ง
จนจมมิดติดเหล็กรถ และแช่เอาไว้ นานพอกับการทำสปา แช่เท้าลงไปในน้ำอุ่น
ให้ปลาตัวเล็กๆตอดกันสบายๆ กันนั่นละ นั่นหมายความว่า ถ้าคุณกดคันเร่งลงไป
แค่ ครึ่งเดียว หรือ 2 ใน 3 อย่าหวังเลยว่า ระบบส่งกำลัง จะตอบสนองคุณอย่างฉับไว
เหมือน พนักงาน เซเวน อีเลฟเวน ตอนโดนไม้เทนนิสช็อตยุง ปลุกให้ตื่นกระทันหัน
กลางดึก
เพราะ ถ้าเหยียบลงไปแค่นั้น รถจะตอบสนองคุณ เหมือนกับ
นักเรียนหัวโจก ที่แก้มก้น ด้านชาต่อไม้เรียว จะตีให้เจ็บขนาดไหน
ก็ยากที่จะตอบสนองตามใจคุณ
คงต้องฟาดก้นกันด้วยไม้หน้าสาม นั่นละ รับประกัน งานนี้ เลือดพุ่ง
พุ่งพอกับ X-Trail คันนี้ ตอนที่คุณเหยียบคันเร่งจนจมมิดนั่นละครับ
(ทำไมบทความรีวิวคราวนี้ คนเขียน ซาดิสม์จังแหะ?)
แถมที่สำคัญ ยิ่งเหยียบเยอะ รถก็ยิ่งกินน้ำมันเยอะขึ้น
เป็นเรื่องปกติที่พึงต้องท่องเอาไว้เสมอ กับรถทุกคันในสากลโลกนี้
– อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในการวิ่งทางไกล ทำได้ไม่ดีเลย เมื่อเทียบกับรถรุ่นก่อน
แต่อย่างที่บอกสาเหตุไปแล้ว เพราะว่า เครื่องเล็ก แต่ต้องแบกน้ำหนักมากๆ
จะให้ประหยัดกันได้แค่ไหนเชียว เนอะ
– ยังไงๆ ผมว่า ควรจะมีรุ่น ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาให้เป็นทางเลือก
เผื่อเหนียวกันสักหน่อยก็ยังดี อาจจะทำออกมาเป็นรุ่นพิเศษ
หมดแล้วหมดเลย ก็ได้อยู่ แม้จะรู้กันดีว่า ขายได้ไม่เยอะนักก็ตาม
อย่างน้อย อาจจะได้ลูกค้า โดยไม่คาดคิด ก็เป็นได้
– เข้าใจดี ว่าจะต้องทำราคาให้ได้ เพื่อที่จะแข่งขันในตลาดได้
แต่…พี่คร้าบ พี่จะหวง จะงก Option ไปถึงไหนคร้าบบบ รู้กันอยู่แล้วนี่ว่า
สำหรับคนไทยหนะ จะซื้อรถทั้งทีเนี่ย ถ้าราคาแตะล้าน แล้วของเล่น
ติดรถ แทบไม่มี ก็อย่าหวังเลยว่า ลูกค้าเขาจะเหลียวมอง…
ดูเข้าสิ พวงมาลัย 3 ก้านเนี่ย จะใส่สวิชต์ Multi Function มาให้อย่าง
TIIDA หรือ Teana เขาหน่อยก็ไม่ได้ ชุดเครื่องเสียง ให้มาทั้งที
เล่น MP3 ไม่ได้ เนี่ย ให้มาทำไม? จะให้เอามาเปลี่ยนเอง ก็บอกกันดีๆก็ได้
Cruise Control เนี่ย ใส่มาให้หน่อย จะทำให้รถมันแพงขึ้นไปกว่ากันสักกี่ล้านเชียว?
ไฟตัดหมอกที่เปลือกกันชนหน้า แม้บางคนอาจจะบอกว่าไม่จำเป็น
แต่ กับรถระดับนี้ มันควร เป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาให้ได้แล้ว
ถ้าใส่ของมาให้ 3 อย่างนี้ ราคาจะตั้งไว้ 1,150,000 บาท ก็เชื่อว่า มีคนสนใจ
(เดินเข้าไปสอบถามและขอส่วนลด เผื่อจะจองกันบ้าง)
แต่ ทุกวันนี้ ป้ายราคาของ X-Trail ใหม่ มีให้เลือกเพียงรุ่นเดียว
แปะเอาไว้ที่ 1,065,000 บาท ซึ่งก็ถือว่า ถ้าให้ ของเล่นมา ไม่มากมายนัก
แล้วแบบนี้ จะขายใคร?
คำตอบหนะ…คนที่คิดจะซื้อ…มีนะ…ไม่ใช่จะไม่มีเลยสักหน่อย
– กลุ่มคนที่อยากได้ X-Trail มาตั้งแต่รุ่นก่อน แล้วยังคงรออยู่ว่าเมื่อไหร่ รุ่นใหม่จะมา
(ซึ่ง ตอนนี้ ก็มาถึงแล้ว) คนกลุ่มนี้ แม้จะมีน้อยมากๆ แต่เชื่อว่า ยังจะมีคนเดินไปแลก
รถตรวจการอเนกประสงค์ SUV หรือ PPV คันเก่าของเขา กับ X-Trail ใหม่ (ซึ่งผมก็
ไม่แน่ใจว่า พวกเขาจะคาดหวังอะไรจากรถคันใหม่นี้กันบ้าง? แต่ที่แน่ๆ รถรุ่นนี้
อาจจะตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ ได้ไม่หมดนัก)
– กลุ่มคนที่กำลังมองหา SUV สักคัน เอาไว้ใช้ขับในเมือง เป็นรถครอบครัว ทั่วๆไป (เพียบ)
ที่มีจิตใจ เปิดกว้าง และไม่มองรถที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นหลัก (หายากนะกลุ่มหลังนี้)
– คนกลุ่มที่ 2 แต่เกลียด Honda CR-V Chevrolet Captiva หรือ Ford Escape
เลยเถิดไปถึง Toyota Fortuner Mitsubishi Pajero Sport Isuzu MU-7 และ Ford Everest
คันใดคันหนึ่ง สองคัน หรือหลายคันในชื่อทั้งหมดนี้ เข้ากระดูกดำ (กลุุ่มนี้ จะ
ไม่ค่อยมอง Nissan เป็นตัวเลือกแรกๆนักหรอก แต่พวกเขามักจะเอาไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย
หรือไม่เช่นนั้น ก็จะไม่มองเลยตั้งแต่แรก)
นั่นหมายความว่า ถ้าจะซื้อ X-Trail ใหม่ ผมอยากให้คุณ ไปลองขับก่อน แล้วนำประสบการณ์
หลังพวงมาลัย มาถามตัวเองอีกครั้งว่า รับได้จริงๆ หรือไม่ กับ SUV ที่อาจจะมี อุปกรณ์มาตรฐาน
ค่อนข้างน้อยกว่าคู่แข่งในตลาด และเลือกที่จะมองหารถซึ่งมีสมรรถนะ ดีกว่าคู่แข่งชัดเจน
แต่ต้องเหยียบคันเร่งจมมิดติดพื้นรถ เพื่อเรียกพละกำลังจากเครื่องยนต์มาใช้ โดยทำใจยอมรับได้
กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่มากขึ้นกว่าคู่แข่งทั้งหลาย เป็นเงาตามตัว
ถ้าเป็นไปตามนี้ X-Trail ก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คุณควรเก็บไว้พิจารณา
จะมองไว้ หรือตัดทิ้งไป ก็สุดแท้แล้วแต่ คุณจะใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองนะครับ
ว่าแต่…ลูกค้าเป้าหมาย ที่เราเพิ่งกล้าวถึงกันข้างบนนี้ จะมีสักกี่คนที่จะโหวต X-Trail ใหม่
ให้อยู่ในรายชื่อผู้เข้าประกวดในใจ โดยไม่โหวตมันทิ้งออกจากบ้าน Academy Fantasia ไปก่อนเพื่อน ?
นั่นสิ ผมก็ยังนึกไม่ออกเลยจริงๆ…
——————————————–///————————————————-
ขอขอบคุณ
ฝ่ายการตลาด และ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ CRM
บริษัท Nissan Automobile (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
และ น้องเบียร์
บริษัท Adapter จำกัด
สำหรับการประสานงาน รวมทั้ง
อำนวยความสะดวก ในการจัดการด้านต่างๆ
กับรถทดลองขับคันนี้ ตลอดระยะเวลา 2 วัน
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
25 มกราคม 2010
Copyright (c) 2009 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
January 25th,2010