เมื่อครั้งที่ผมไปร่วมงานเลี้ยงจิบน้ำชายามบ่าย เพื่อแถลงผลประกอบการ
ของ Mercedes-Benz Thailand ช่วงต้นปี 2013 ผมได้รับรู้เรื่องราว
ของ Mercedes-Benz E300 Diesel Bluetec Hybrid ว่าตอนนั้น
มีการสั่งรถยนต์ตัวอย่าง นำเข้ามา เพื่อทดลองขับขี่ในสภาพการใช้งานบน
ถนนเมืองไทย ก่อนการจำหน่ายจริง อยู่พักใหญ่
ยิ่งเมื่อได้ฟังจากปากของผู้บริหารคนไทยในเวลานั้นว่า ได้ลองขับขี่รถคันนี้
เพื่อใช้งานจริงแล้ว สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ประหยัดมากถึง
22 กิโลเมตร/ลิตร! ดีที่สุดเท่าที่เคยพบมาใน Mercedes-Benz เลยละ!
แน่นอนครับ ได้ยินได้ฟังแล้วก็เนื้อเต้นตัวสั่นในทันใด จู่ๆก็เกิดอยากลอง
สัมผัสกับรถคันนี้ ขึ้นมาทันที
นาฬิกาเดินล่วงเลยข้ามมายังเดือนพฤศจิกายน 2013 แม้ว่าผมจะได้
ลองขับ รถคันนี้ ในระยะทางยาวๆ เต็มที่ จากอาคารรัจนากร บนถนน
สาทร ยิงกันยาวๆ จนถึง จังหวัดกระบี่ แต่นั่นก็เป็นเพียง การขับขี่
เพื่อเดินทางไกล
ข้อสงสัยเรื่องการใช้งานในชีวิตประจำวัน ตามรูปแบบการขับขี่ที่ผม
กำหนดขึ้นกับรถยนต์ทดลองขับทุกคัน ยังคงคาใจต่อเนื่อง มาอีกราวๆ
4 เดือนเศษๆ กว่าที่จะได้มีโอกาส พารถคันที่ผมหมายปองว่าอยากจะ
ลองมานาน กลับมาใช้ชีวิตด้วยกันที่บ้าน…
ในเรือนร่างของรุ่นปรับโฉม Minorchange…ที่มีหน้าตาแตกต่างไปจาก
E-Class แบบอนุรักษ์นิยม ที่ผมและคุณผู้อ่านอีกมากมาย คุ้นเคยกันมา
ตลอดช่วงอายุของเรา
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ E-Class W212 เผยโฉมครั้งแรกในโลก เมื่อวันที่
15 ธันวาคม 2008 ผมยังจำความรู้สึกแรกที่เห็นภาพถ่ายรถยนต์ Saloon
รุ่นสำคัญที่สุดของค่ายรถยนต์ตราดาวจากเมือง Stuttgart ได้อย่างดี
แม้จะรู้สึกไม่ค่อยชื่นชอบการเปลี่ยนแปลงจากแนวเส้นตัวถังรอบคัน
ที่โค้งมนลงตัวไปทั้งคัน ของ รุ่น W211 มาเป็นรูปทรงเหลี่ยมสัน ดู
ภูมิฐาน ผสานความเพรียวบางแบบ Crisp Look แต่ต้องยอมรับเลยว่า
ใบหน้าแบบ 4 ตา ซึ่งถูกขัดเกลาจนเฉียบคม ดุจเพชร ขนาดเล็ก-ใหญ่
4 เม็ด ถูกจัดเรียงไว้ร่วมกันอย่างสวยงาม และลงตัว จนทำให้ผมลืม
ความขัดตาเคืองใจจากแนวเสาขอบหน้าต่างบานประตูคู่หลัง รวมทั้ง
แถบเส้นที่ลากผ่านซุ้มล้อคู่หลัง ไปชั่วขณะ
ใบหน้า 4 ตา แบบล่าสุดนั้น มันสวยงาม ติดตาตรึงใจ เสียจนผมถึงกับ
แอบเริ่มตั้งคำถามในใจว่า หากถึงเวลาที่ Daimler AG. จะต้องปรับโฉม
แบบ Minorchange ให้กับ E-Class ตามอายุตลาด หลังจากขายกัน
มานานถึง 3 ปี พวกเขาจะปรับเปลี่ยนงานออกแบบไปในทิศทางใด….
คำตอบถูกเตรียมไว้แล้วครับ และเมื่อชาวโลกได้เห็นคำตอบนั้น ยอมรับ
ว่า ผมคนนึงละ ที่ถึงกับอึ้งอย่างคาดไม่ถึง ว่าพวกเขา จะกล้าฉีกแนวทาง
ดั้งเดิมออกไปได้มากมาย อย่างสวยงามถึงขนาดนี้….
นับตั้งแต่เผยโฉมครั้งแรกผ่านทาง Internet เมื่อ 15 ธันวาคม 2008 ตามด้วย
การเปิดผ้าคลุมครั้งแรกในโลก ณ งาน Detroit Auto Show (NAIAS) เมื่อ
10 มกราคม 2009 เปิดรับจองวันที่ 12 มกราคม 2009 และเริ่มออกสู่ตลาด
อย่างเป็นทางการ 3 มีนาคม 2009 Daimler AG. จำหน่าย E-Class ใหม่
รหัสรุ่น W212 ไปแล้วรวมทุกตัวถังมากกว่า 600,000 คัน จากทุกประเทศ
ทั่วโลก ในจำนวนนี้ตัวถัง Saloon 4 ประตู ยังคงได้รับความนิยมสูงสุด
รองลงมาคือตัวถัง Estate ที่มีลูกค้าอุดหนุนไปไม่ต่ำกว่า 100,000 คันแล้ว
นอกนั้น ตัวถัง Coupe และ เปิดประทุน ก็ตามมา ลดหลั่นคละเคล้ากันไป
อย่างไรก็ตาม เส้นสายตัวถังยังเป็นสิ่งที่ลูกค้า อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่
ในขณะเดียวกัน ทีมออกแบบของ Mercedes-Benz เอง จะต้องเตรียมพร้อม
ปูทาง ให้ รถยนต์ทุกรุ่น ก้าวไปสู่ แนวเส้นสายการออกแบบล่าสุด ที่พวกเขาเพิ่ง
เริ่มใช้กับ A-Class , CLA-Class, B-Class ,S-Class ทั้ง Saloon และ
Coupe รวมทั้งรถยนต์ อีกหลายรุ่น ที่จะทะยอยคลานตามกันออกมา
ดังนั้นทีมออกแบบในเยอรมันี จึงจัดการปรับโฉมหน้าของ E-Class ใหม่ รวมทั้ง
แก้ไขแนวเส้นสายที่ยังไม่ลงตัวเท่าที่ควร ในรถรุ่นเดิม ให้เข้าท่า และเอาใจลูกค้า
มากยิ่งขึ้นกว่าเก่า
E-Class รุ่นปรับโฉม ถูกเปิดเผยสู่สายตาชาวโลก อย่างเป็นทางการครั้งแรก
เมื่อ 13 ธันวาคม 2012 ออกมาครบทั้งตัวถัง Saloon และ Estate ก่อนที่
ตัวถัง Coupe และ Cabriolet เปิดประทุน จะตามมาเมื่อ 5 มกราคม 2013
Mercedes-Benz Thailand อาศัยจังหวะนี้ กู้ฟอร์มคืนมาจากเดิมทีเคยต้อง
พลาดท่า เงื้อง่า เพราะรอการเปิดตัวจนเสียเวลา เสียลุกค้า แถมโดนพ่อค้าชาว
Grey Market ตัดหน้าไปอีก เมื่อครั้งเปิดตัวรุ่น W212 ช่วง พฤศจิกายน
2009 คราวนี้คิดใหม่ทำใหม่ ชิงโอกาส นำรถมาเปิดตัวในเมืองไทยกันอย่าง
ฉับไว เป็นแห่งแรกใน Asia ที่งาน Bangkok International Motor
Show เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2013 หรือเพียง 3 เดือนหลังเปิดผ้าคลุม
แต่ในช่วงแรก เริ่มทำตลาดด้วยรุ่นนำเข้าสำเร็จรูปทั้งคัน CBU ก่อน
จากนั้น รุ่นประกอบในประเทศ จึงพร้อมส่งมอบลูกค้าบ้านเราในช่วง
ปลายปี 2013 ที่ผ่านมา
มิติตัวถังของ E-Class Minorchange ใหม่ ตัวถัง Saloon นั้น เท่ากันทั้งหมด
ด้วยความยาว 4,879 มิลลิเมตร กว้าง 1,854 มิลลิเมตร สูง 1,474 มิลลิเมตร
และ ระยะฐานล้อ 2,874 มิลลิเมตร
ความแตกต่างจากภายนอก เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมแล้ว เห็นได้ชัดว่า ขิ้นส่วน
ด้านหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ให้มีแนวทิศทางเดียวกันกับบรรดารถยนต์
Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ทั้ง A-Class CLA Class CLS Class ฯลฯ
ซึ่งทะยอยเปิดตัวให้เห็นกันไปแล้ว ก่อนหน้านี้
ชุดไฟหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ ให้เชื่อมกลับเข้ามาอยูในโคมเดียวกัน แต่มี
การออกแบบให้ หลอดไฟข้างใน แยกออกจากกัน ในแบบ 4 Eyes คล้ายกับ
มีอยู่ 4 ตา เหมือนเช่น E-Class หลายรุ่นที่ผ่านมา โคมไฟหน้าเป็นแบบ LED
Intelligence Light System ถือเป็นการนำหลอด LED มาใช้ เต็มรูปแบบ
เป็นครั้งแรก ในตระกูล E-Class (ถ้าไม่นับพวก ไฟ Daylight ในรุ่นก่อนๆ)
นอกจากนี้ ยังมี ระบบปรับไฟสูงแบบอัตโนมัติ และระบบไฟมุมข้าง ส่องสว่าง
ขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light) ซึ่งจะทำงานทุกครั้งที่คุณเลี้ยวพวงมาลัย
ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่นเลี้ยวพวงมาลัยไปทางซ้าย ไฟก็จะติดสว่าง
เพื่อส่องพื้นถนนข้างหน้า เฉพาะฝั่งซ้ายเท่านั้น เป็นต้น
กระจังหน้า จะมีให้เลือก 2 แบบ หากเลือกรุ่น Elegance คุณจะได้กระจังหน้า
แบบ 3 แถบ มาตรฐาน รุ่น E200 Saloon จะเป็นแถบสีเทา แต่ถ้าเป็น E300
Diesel Bluetec Hybrid Elegance จะเป็นแถบสีเงิน ทั้ง 2 รุ่น ติดตั้งสัญลักษณ์
รูปดวงดาว ขนาดเล็ก ติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงหน้ารถ เหนือกระจังหน้า
แต่ถ้าเลือกรุ่น Avantgarde หรือ AMG Dynamics ในบ้านเรา กระจังหน้าจะ
เป็นแบบ สีดำ 2 แถบ พร้อมสัญลักษณ์ รูปดาว 3 แฉกขนาดใหญ่ แปะหราไว้
ตรงกลางเหมือนกับบรรดา รถสปอร์ต หรือเปิดประทุนของ Mercedes-Benz
รุ่นอื่นๆ หลายคน อาจไม่คุ้นชิน เมื่อขึ้นไปนั่งบนเบาะคนขับ แล้วไม่พบ
สัญลักษณ์รูปดาว บนฝากระโปรงหน้า ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ
ส่วนชุดไฟท้าย เปลี่ยนมาเป็นแบบ LED Fiber Optic มีลวดลายที่สวยงาม
ในยามค่ำคืน กรอบของชุดไฟท้าย ยังคงคล้ายคลึงกับรถรุ่นเดิม แต่ถ้าดูดีๆ
จะพบว่า ชิ้นส่วนตัวถังบริเวณเสาหลังคาคู่หลัง C-Pillar มีการเปลี่ยนแปลง
ยกชุด โดยมุ่งเน้นไปที่การแก้ไข แนวเส้นเหนือซุ้มล้อคู่หลัง จากเดิมซึ่ง
ดูแข็งทื่อ และฉวัดเฉวียน
แต่ในรุ่นล่าสุด นอกเหนือจากเส้นคาดข้างตัวถังหลักแล้ว ยังมีเส้นย่อย
ลากขึ้นมาลอยๆ จากใต้มือจับบานประตูคู่หลัง ต่อเนื่องไปจรดชุดไฟท้าย
ออกแบบขึ้นใหม่ เพื่อลดความวุ่นวายของเส้นสายด้านหลัง และพยายาม
จะแก้ปัญหาบั้นท้ายให้ดูลงตัว ไม่ขัดสายตาของผู้พบเห็นมากขึ้น
ถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะปกติแล้ว Mercedes-Benz จะไม่ค่อยยุ่งกับ
การเปลี่ยนเปลือกตัวถังบริเวณเสา C-Pillar ให้กับรถยนต์รุ่นปรับโฉม
แบบ Minorchange หรือ Facelift มาก่อน
นอกจากนี้ เปลือกกันชนหลัง Recycle ก็จะแตกต่างกันไปตามรูปแบบการ
ตกแต่ง หากเป็นรุ่น Elegance จะยังคงใช้เปลือกกันชนแบบเรียบๆ แต่ถ้า
เป็นแบบ Avantgarde , ANG Dynamic ก็จะเป็นแบบที่เห็นในภาพชุดนี้
เสาอากาศติดตั้งอยู่เหนือกระจกบังลมหลัง เป็นครีบฉลาม ตามสมัยนิยม
E300 Diesel Bluetec Hybrid ทั้ง 2 คัน ที่เห็นอยู่นี้ ตกแต่งแบบ Avantgarde
พร้อมกับชุดอุปกรณ์ตกแต่ง AMG Dynamic ประกอบไปด้วย กระจังหน้าโครเมียม
2 แถบสีดำ ตราสัญลักษณ์ Mercedes-Benz ขนาดใหญ่บนกระจังหน้า มีชุดแต่ง
AMG bodystyling ประกอบด้วย เปลือกกันชนแบบสปอร์ต พร้อมช่องดักอากาศ
แบบพิเศษ ตกแต่งด้วยโครเมียม เปลือกกันชนหลัง พร้อมปลอกท่อไอเสีย ฝังใน
เปลือกกันชน และสเกิร์ตด้านข้าง
ส่วนล้ออัลลอยเป็นของ AMG ขนาด 18 นิ้ว สวมเข้ากับยาง Bridgestone
Potenza RE050A ขนาด 245/40 R18 97Y มีมาให้ครบทั้ง 4 ล้อ แต่
ไม่มียางอะไหล่อีกต่อไป คราวนี้ Mercedes-Benz เริ่มทำตัวเหมือน BMW
และผู้ผลิตรถยนต์อีกหลายค่าย ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ปะยาง Tirefit มา
ให้เป็นการทดแทน ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับการใช้งานในบ้านเรามากนัก
การเปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสารนั้น ทุกรุ่นจะ ยังคงใช้กุญแจรีโมทคอนโทรล
Infared พร้อมระบบกันขโมย Immobilizer มีทั้งปุ่มปลด และสั่งล็อก ปุ่มเปิด
ฝากระโปรงหลัง เป็นมาตรฐาน คราวนี้ มีระบบ Keyless GO มาให้ เพียงแค่
พกรีโมทกุญแจไว้กับตัว แล้วเดินมาเอื้อมมือจับเปิดประตูได้เลย หรือเอานิ้ว
แตะที่หลุมสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนมือจับ 4 ตำแหน่ง เพื่อสั่งล็อกประตู ก็ทำได้แล้ว
แต่การติดเครื่องยนต์ ในรถทดลองขับ ยังต้องเสียบรีโมทกุญแจเข้าไป แล้ว
บิดสวิชต์หมุนที่คอพวงมาลัยกันตามเดิมอยู่ดี ทั้งที่ในโบรชัวร์ เวอร์ชันไทย
บอกว่า มีปุ่มติดเครื่องยนต์ Push Start แถมมาให้เสียบแปะเข้าไปเองแล้ว
ภายในห้องโดยสาร ดูเผินๆ ไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมมากนัก โครงสร้างเบาะยังคง
เหมือนเดิม แต่อาจมีลวดลายบนพนักพิงเบาะที่แตกต่างไป เบาะนั่งคนขับ และเบาะ
ผู้โดยสารด้านหน้า ปรับเอน เลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลัง รวมทั้ง ปรับตำแหน่งดันหลัง
ได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำตำแหน่งที่ปรับไว้บนแผงประตูด้านข้าง
เฉพาะฝั่งคนขับ หน่วยความจำ จะเชื่อมโยงการจดจำทั้งตำแหน่ง กระจกข้าง และ
พวงมาลัย แบบปรับระดับได้ด้วยระบบไฟฟ้า เป็นพิเศษ พนักพิงศีรษะคู่หน้าแบบ
NECK-PRO head restraints ช่วยลดอาการบาดเจ็บเมื่อถูกชนจากด้านหลัง ดันหัว
อยู่นิดๆ แต่ยังไม่มากมายนัก สามารถปรับระดับการดันหัวได้
จากประสบการณ์ที่เคยขับรถรุ่นนี้ ลงปักษ์ใต้ เบาะนั่งของ E-Class ยังไม่ก่ออาการ
เมื่อยหลังมากเท่าไหร่ ถ้าคุณขับรถถึงสุราษฏร์ธานี แต่พอเข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ อาจมี
อาการเมื่อยตรงกลางหลังได้นิดๆหน่อยๆ นอกนั้น ก็ให้สัมผัสที่ไม่แตกต่างไปจาก
รุ่นเดิมนัก เบาะรองนั่ง มีความยาวกำลังดี ไม่สั้นนัก แต่ถ้ายาวเพิ่มอีกนิดก็คงดี
ตำแหน่งวางแขน ทั้งบนแผงประตูด้านข้าง และฝาปิดกล่องคอนโซลกลาง อยู่ใน
ระดับที่เหมาะสมตามหลักสรีระศาสตร์ ใครขึ้นมานั่ง ก็วางแขนได้สบายทั้ง 2 ฝั่ง
เพียงแต่ว่า ตำแหน่งพวงมาลัยกับมาตรวัด จะเยื้องไปทางซ้าย อย่างชัดเจนมากๆ
ตามปกติของรถยนต์ยี่ห้อนี้อยู่แล้ว
เมื่อขึ้นมานั่งครั้งแรก อาจต้องปรับตัว กับสารพัดปุ่ม และสวิชต์ต่างๆ ที่อาจไม่ง่าย
ต่อการคุ้นชิน แต่เมื่อขับใช้งานไปสักพัก ก็จะคุ้นเคยกันไปได้บ้าง
ส่วนเบาะหลังนั้น ยังคงให้สัมผัสไม่ต่างไปจากรุ่นเดิม มีช่องวางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง
ซ่อนอยู่ในพนักวางแขนแบบพับเก็บได้ ตรงกลางเบาะ ซึ่งการเปิดกางใช้งาน ก็ก่อ
ให้เกิดเสียงกระแทกดังแต๊กๆ จน เกรงว่าจะพังเร็วกว่าวัยอันควร
ม่านบังแดด มีมาให้ทั้งที่กระจกหน้าต่าง ณ บานประตูคู่หลัง ทั้ง 2 ฝั่ง ส่วนกระจก
บังลมด้านหลัง ก็มีม่านบังแดด ปรับขึ้นลงได้ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า ที่แผงควบคุมกลาง
มีจุดยึดเบาะนิรภัยสำหรับเด็ก มาตรฐาน ISOFIX มาให้ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ทำงาน
ร่วมกับ เข็มขัดนิรภัยแบบ ELR 3 จุด ทั้ง 3 ตำแหน่ง
เบาะรองนั่ง สั้น เท่ากันกับรุ่นเดิมก็จริง แต่มีการออกแบบให้เพิ่มส่วนโค้งนูน
ออกมารองรับช่วงข้อพับขาได้ดีขึ้น จนใกล้เคียงกับเบาะรองนั่งด้านหลังของ
BMW 5-Series หนัง Artico ที่ใช้หุ้มเบาะ ช่วยเพิ่มสัมผัสในการนั่งโดยสาร
ให้ดีขึ้นกว่า W212 รุ่นเดิม พนักพิงหลัง ยังให้ความสบายแบบพอดีๆ ติดแข็ง
แต่ยังเหลือความนุ่มไว้นิดๆ และแน่นมากๆ
ตำแหน่งวางแขน ทั้งบนแผงประตู และพนักวางแขน วางได้จริงมีพื้นที่เหนือ
ศีรษะ เหลืออยู่ 4 นิ้วเรียงติดในแนวนอน ไม่ต่างจากรถรุ่นเดิมเลย ส่วนพื้นที่
วางขา ยังเหลือค่อนข้างมากอยู่ เมื่อเทียบกับคู่แข่งร่วมพิกัดเดียวกัน
สรุปง่ายๆ ครับ เบาะหลัง E-Class สั้นกว่า 5-Series นั่งสบายคนละแบบกับ
5-Series แต่มีพื้นที่วางขา เหลือเยอะ และไม่ก่อความึดอัดในการโดยสาร
ด้านหลัง เท่า 5-Series
เสาหลังคาคู่กลาง B-Pillar ติดตั้งขอเกี่ยว สำหรับแขวนเสื้อสูท และมีช่องแอร์
ด้านข้าง เพิ่มเข้ามาให้ทั้ง 2 ฝั่ง นอกเหนือจาก ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารหลัง
ที่ติดตั้งเป็นพัดลม ด้านหลังกล่องเก็บของคอนโซลกลาง มีสวิชต์ปรับอุณหภูมิ
Digital มาให้ เสียงของพัดลมนั้น สารภาพเลยว่า ทุกครั้งที่มีคนเปิดใช้งาน
เสียงพัดลมจะดังน่าเกลียด จนผมมักจะเผลอนึกไปเสมอว่า
“ใครเอาไดร์เป่าผมมาเปิดเล่นอยู่วะเนี่ย?”
ฝาประตูห้องเก็บของด้านหลัง สามารถเปิดได้ทั้งจากรีโมทกุญแจ สวิชต์ไฟฟ้า
บริเวณช่องเก็บของที่แผงประตูฝั่งคนขับ และสวิชต์ไฟฟ้า ใต้แถบโครเมียม
เหนือช่องใส่ป้ายทะเบียนหลัง นอกจากนี้ยังเพิ่มระบบ เปิด-ปิด ฝากระโปรง
ด้านท้ายอัตโนมัติ ด้วยการแหย่ขาเข้าไปที่เซ็นเซอร์
ข้อที่ควรปรับปรุงก็คือ มันยังคงดีดตัวขึ้นแรงมาก ชนิดที่หลายๆคน อาจเจอ
ขอบล่างของฝากระโปรงหลัง เสย Upper-cut เข้าที่ปลายคางกันได้ง่ายมาก
ปัญหานี้ ยังพบได้ใน C-Class และ S-Class ใหม่ ด้วยเช่นกัน มันควรจะ
ดีดตัวขึ้นช้ากว่านี้ สปริงกลไกที่ขายึดฝากระโปรงหลังนั่นละ ที่เป็นสาเหตุ
สำคัญ จะทำอย่างไรให้มันสามารถยกฝากระโปรงหลังขึ้นได้อย่างนุ่มนวล
ไม่ได้ดีดพรวดพราดยกขึ้นรวดเดียวจนน่าหวาดเสียวแบบนี้
ยังดีที่มีระบบสวิชต์ปิดฝาท้ายลงมาด้วยไฟฟ้า ติดตั้งมาให้ ซึ่งช่วยให้การ
ปิดฝากระโปรงหลัง เป็นไปอย่างนุ่มนวล ดูเป็นผู้ดีอยู่บ้าง
ห้องเก็บของด้านหลัง มีขนาดลดลงจาก E-Class Saloon รุ่นปกติ (540 ลิตร
ตามมาตรฐาน VDA เยอรมัน) เหลือ 505 ลิตร (VDA) เพราะมีพื้นที่บางส่วน
ต้องแบ่งปันให้กับ แบ็ตเตอรีเสริม ด้านหลัง เพิ่มขึ้นอีก 1 ลูก แต่ก็ยังสามารถ
วางถุงกอล์ฟขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ศพคนได้ อย่างน้อยๆ 2 ศพ ตามเดิม
แต่อีกความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อยกพื้นห้องเก็บของด้านล่าง
จะพบว่า ไม่มียางอะไหล่มาให้อีกต่อไปแล้ว เพราะจะเปลี่ยนมาใช้ยางแบบ
Run Flat ติดตั้งมาให้จากโรงงานแทน
แผงหน้าปัด ดูผ่านๆ ก็เหมือนกันกับ E-Class W212 รุ่นเดิม แม้แต่ตำแหน่ง
สวิตช์ไฟหน้า แบบมือบิด ที่ต้องดึงเข้าหาตัวเพื่อเปิดไฟตัดหมอก หน้า-หลัง
รวมทั้งสวิชต์เครื่องปรับอากาศ และชุดเครื่องเสียง ไปจนถึง แผงบังแดด มี
กระจกแต่งหน้า พร้อมฝาปิด และไฟส่องแต่งหน้า ฝังบนเพดานมาให้ครบ
ทั้ง 2 ฝั่ง และกระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ยังคงเหมือนกันกับรุ่นก่อน
ปรับโฉม นั่นเป็นความจริงอยู่
แต่ถ้าดูให้ดีๆ จะพบว่าทีมออกแบบ ได้ปรับปรุงรายละเอียดบริเวณกรอบหน้าจอ
มอนิเตอร์สี 7 นิ้ว รวมทั้งกรอบของช่องแอร์ทั้ง 4 ตำแหน่ง ให้ดูโค้งมน และ
และล้อมกรอบด้วยโครเมียมจนดูพรีเมียม กว่าเดิมเล็กน้อย วัสดุที่ใช้ก็ดีขึ้นนิดๆ
แผงประตูด้านข้างทั้ง 2 ฝั่งยังคงเป็นตำแหน่งติดตั้ง สวิชต์ปรับเลื่อน เอน และ
จำตำแหน่งเบาะนั่งคู่หน้า 3 ตำแหน่ง แบบปรับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า กระจกมองข้าง
ปรับและพับเก็บด้วยสวิชต์ไฟฟ้า สีเดียวกับตัวรถพร้อมไฟเลี้ยว ระบบไล่ฝ้าและ
ปรับให้มองมุมต่ำขณะถอยหลังได้ แค่กดสวิชต์ด้านซ้าย ของแผงสวิชต์ รวมทั้ง
กระจกหน้าต่างก็เป็นแบบไฟฟ้า เลื่อนขึ้น – ลงได้ ด้วยการกดครั้งเดียวในแบบ
One Touch พร้อมระบบดีดกลับอัตโนมัติ ทันทีที่มีสิ่งกีดขวาง ครบทั้ง 4 บาน
พวงมาลัย ในรุ่น AMG Dynamics เปลี่ยนมาเป็นแบบ สปอร์ต 3 ก้าน หุ้มด้วย
หนัง Nappa ปรับระดับสูง – ต่ำ และระยะห่าง ใก้ – ไกล ด้วยสวิชต์ไฟฟ้าขนาด
เล็กๆ ที่คอพวงมาลัยฝั่งซ้าย อยู่ในตำแหน่งใกล้กันกับ ก้านไฟเลี้ยวที่ควบคุม
ชุดใบปัดน้ำฝน รวมทั้งก้านสวิชต์ระบบ Cruise Control และระบบล็อกไม่ให้
ขับเร็วเกินกว่ากำหนดที่ปรับตั้งไว้ (ซึ่ง Mercedes-Benz ก็ยังคงจับเอาทั้ง 3
ก้านสวิชต์เหล่านี้ มารวมไว้ในตำแหน่งใกล้ๆกัน ทำให้สับสนในการใช้งาน มากๆ
เมื่อไหร่จะเปลี่ยนทิ้งไปเสียที ผมยังเคยเผลอเปลี่ยนไฟเลี้ยว ไปกดเซ็ตระบบ
Cruise Control มาแล้ว!!)
บนก้านพวงมาลัยทั้งฝั่งซ้าย และ ขวา มีสวิชต์ควบคุมการทำงานของทั้งชุด
เครื่องเสียง ระบบนำทาง โทรศัพท์ การเลือกปรับอุปกรณ์ภายในรถต่างๆ
แสดงผลบนหน้าจอ Multi Function ตรงกลางมาตรวัดความเร็ว
ชุดมาตรวัดเปลี่ยนจากแบบ 5 วงกลมซ้อน มาเป็นแบบ 3 วงกลม อ่านง่าย
สบายตา และลดความสับสนซับซ้อนลงไปได้เยอะ หน้าจอตรงกลางของ
มาตรวัดความเร็ว ยังคงเป็นจอ Multi-Information Display ใช้สวิตช์
ฝั่งซ้ายบนก้านพวงมาลัยบังคับควบคุม ในแบบการเลื่อนแถบ Menu เลือก
แสดงข้อมูลได้ ทั้งมาตรวัดอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ความเร็วเฉลี่ย
ระยะทางที่น้ำมันในถังยังเหลือพอให้แล่นต่อไปได้ ตั้งแต่ออกรถ หรือตั้งแต่
กดปุ่ม Reset เพื่อตั้งค่า เซ็ต 0 บน Trip Meter ที่มีมาให้แค่ Trip A
อย่างเดียว ไม่มีแถม Trip B ทั้งสิ้น มีมาตรวัดอุณหภูมิภายนอกรถ และ
จอแสดงข้อมูล แจ้งเตือนของระบบต่างๆ รวมทั้ง แจ้งบอกตำแหน่งเกียร์
นอกจากนี้ยังแสดงการทำงานของหน้าจอเครื่องเสียง ระบบ ช่วยเตือนแรงดัน
ลมยาง (Tyre Pressure Monitoring System) ระบบเตือนเพื่อให้นำ
รถเข้าศูนย์บริการ ASSYST PLUS ระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าจากการ
ขับขี่ ATTENTION ASSIST
และที่เพิ่มจาก E-Class รุ่นปกติทั่วไป นั่นคือ หน้าจอแสดงการทำงานของ
ระบบขับเคลือน Hybrid แบบ Real Time ตามที่เห็นในรูปข้างบนนี้อีกด้วย
คันเร่งยังคงเป็นแบบ Piano Type เหมือนเช่นเคย เบรกมือต้องเหยียบแป้น
ฝั่งซ้ายลงปจนสุด และปลดออกได้ ด้วยการดึงคันโยกฝั่งขวา ใต้สวิตข์เปิด
ไฟหน้า
มองมาที่แผงควบคุมตรงกลาง เครื่องปรับอากาศยังคงเป็นแบบควบคุมอุณหภูมิ
อัตโนมัติ (THERMATIC) แยกฝั่งซ้าย – ขวา พร้อมช่องแอร์และสวิตช์ควบคุม
อุณหภูมิสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง
ถัดขึ้นมาจะเป็นแถบแผงสวิตช์สีเงิน สำหรับเปิด-ปิด ทั้งไฟฉุกเฉิน ระบบช่วยหมุน
พวงมาลัยในการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (ถอยหลังเข้าจอดได้เอง เมือ่กดสวิตช์ของ
ระบบ เข้าเกียร์ R แล้วปล่อยให้พวงมาลัยหมุน จนเสร็จสิ้น) ทำงานร่วมกันกับชุด
เซ็นเซอร์ PARKTRONIC
เหนือขึ้นไปเป็นชุดเครื่องเสียงระบบ COMAND Online ประกอบด้วย วิทยุ
AM/FM พร้อมเครื่องเล่น CD / MP3 และช่องเชื่อมต่อข้อมูลไฟล์เพลง USB /
AUX ระบบ Dolby Pro Logic 7 จาก Harman Kardon เพิ่มระบบนำทางผ่าน
ดาวเทียม GPS Navigation System แบบแสดงผล Bird Eye View 3 มิติ
และภาพกราฟฟิค รูปอาคารสถานที่ ในกรุงเทพมหานครได้
ความพิเศษที่เพิ่มเข้ามาก็คือ มีหน้าจอแสดงการทำงานระบบขับเคลื่อน Hybrid
แบบ Real-Time รวมทั้ง จอแสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเก็บสถิติเป็นแบบ
กราฟแท่ง นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับ Internet เพื่อเปิดดู Website หรือ
Social Media ต่างๆ ได้อีกด้วย!
คุณภาพเสียงที่มีมาให้นั้น ถือว่า ดีในระดับปานกลาง คือฟังได้ ดูเหมือนว่า
ชุดเครื่องเสียง ของรถคันนี้ จะเน้นหนักสำหรับการฟังดนตรีประเภท Jazz
เป็นหลัก มากกว่าเน้นให้ฟังได้หลายๆแนว
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีเมนูหน้าจอนาฬิกาอยู่ตรงกลาง ประดับมาสวยๆ ทั้งที่บน
ช่องแอร์ตรงกลาง ก็มีนาฬิกาแบบสี่เหลี่ยม หน้าตาเหมือนกัน มาให้อยู่แล้ว
พื้นที่ด้านข้างลำตัวผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ถูกออกแบบขึ้นใหม่ เพื่อให้
กล่องคอนโซลกลาง มีขนาดใหญ่ขึ้น จนใส่กล้องถ่ายรูป Canon Powershot
ลงไปได้ แทบจะครบทุกรุ่น แน่นอนว่ามีช่องเสียบ USB สำหรับเชื่อมต่อกับ
ชุดเครื่องเสียงมาให้ การเปิด ทำได้โดย ยกมือจับ เหนือสวิชต์มือหมุน ของ
ระบบ COMAND Online ฝาจะแบ่งเปิด เป็น 2 ฝั่งอย่างที่เห็นในรูปนี้
ช่องวางแก้ว แบบถอดยกออกมาทำความสะอาดได้ และช่องเขี่ยบุหรี่ มีฝาปิด
เลื่อนได้ 2 จังหวะ เพื่อความสวยงาม ถือว่ามีการปรับปรุงจาก W212 รุ่นแรกๆ
อย่างชัดเจน
มองขึ้นไปบนเพดานหลังคา ไฟส่องสว่าง พร้อมไฟอ่านแผนที่ จะมีมาให้ครบทั้ง
ด้านหน้า และด้านหลัง รวมทั้งยังมี กระจกแต่งหน้า พร้อมไฟส่องสว่าง และฝาปิด
พับเก็บมาให้ สำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารด้านหน้าฝั่งซ้าย
ส่วนด้านหลัง มีไฟส่องสว่าง พร้อมไฟอ่านหนังสือสำหรับผู้โดยสาร แยกฝั่งซ้าย –
ขวา แถมด้วย ไฟสัญญาณเตือน เพื่อกะระยะห่างจากวัตถุนอกรถ ขณะถอยหลัง
หรือเดินหน้าเข้าจอด และมือจับยึดเหนี่ยวจิตใจ ศาสดา มาให้ครบ 4 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ รุ่น AMG Dynamics จะมีหลังคากระจก Panoramic Sliding Glass
Roof เลื่อน เปิด – ปิดได้ ด้วยสวิชต์ไฟฟ้า พร้อมม่านตาข่ายบังแดด เลื่อนม้วนเก็บได้
ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ติดตั้งมาให้กับรถรุ่นประกอบในประเทศไทยแล้ว อย่างในรูปนี้
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย ยังคงมีมาให้ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบปกป้องก่อนเกิดเหตุ
(PRE-SAFE® system) เข็มขัดนิรภัย ELR 3 จุด 5 ที่นั่งทั้งคู่หน้าและคู่หลัง เป็น
แบบผ่อนแรงและรั้งกลับอัตโนมัติ (Pretensioner & Load Limiter) พนักพิงศีรษะ
คู่หน้าแบบ NECK-PRO head restraints ที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บกรณีที่ถูกชนจาก
ด้านหลัง ถุงลมนิรภัยด้านหน้า 2 ตำแหน่ง พร้อมเซ็นเซอร์วัดแรงปะทะ และวัดสรีระของ
ผู้ขับขี่กับผู้โดยสาร ทันทีที่คาดเข็มขัดนิรภัย เพื่อให้เข็มขัดและถุงลม ทำงานเหมาะสม
กับสรีระของแต่ละคน ถุงลมนิรภัยด้านข้าง บริเวณสะโพก 2 ตำแหน่ง ม่านถุงลมนิรภัยอีก
2 ฝั่ง 2 ตำแหน่ง รวม 6 ใบ ระบบเตือนการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (Attension Assist)
ระบบช่วยเตือนการขับรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping Assist) ทำงานทันทีถ้า
ตัวรถเริ่มเบี่ยงออกจากเลนถนน ด้วยการสั่นกระพรือที่พวงมาลัยกระตุ้นเบาๆ 3 ครั้ง และ
ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Active Parking Assist)
ทัศนวิสัย จากตำแหน่งเบาะผู้ขับขี่ ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ สามารถ
เข้าไปดูได้ในบทความ Full Review : Mercedes-Benz E-Class W212 รุ่นปี
2010 – 2013 ได้ ตามลิงค์ ด้านล่างสุด ท้ายบทความนี้
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
E300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic ติดตั้งเครื่องยนต์รหัส OM 651 Diesel
4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,143 ซีซี กำลังอัด xx.x : 1 มาพร้อมกับเทคโนโลยี ระบบ
ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ Direct Injection ผ่านราง Common-rail
พ่วงกับระบบอัดอากาศ Turbocharger พร้อม Intercooler
จริงอยู่ว่ามันเป็นเครื่องยนต์บล็อกเดียวกันกับ C250 CDI BlueEFFICIENCY
นั่นเอง และให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) หรือ 150 กิโลวัตต์ ที่ 4,200 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด500 นิวตันเมตร (50.95 กก.-ม.) ที่ 1,600 – 1,800 รอบ/นาที
แต่ความพิเศษของเครื่องยนต์บล็อกนี้คือ จะถูกเชื่อมต่อเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด
120 โวลต์ กำลังสูงสุด 27 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร (28.53 กก.-ม.)
ทำให้เครื่องยนต์บล็อกนี้สามารถเค้นกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 231 แรงม้า (PS) หรือ
170 กิโลวัตต์ และมีแรงบิดสูงสุดถึง 590 นิวตันเมตร เลยทีเดียว!!
ถือเป็น รถยนต์ประกอบในประเทศที่ใช้เครื่องยนต์ Diesel เชื่อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
แบบ Hybrid รายแรกในเมืองไทย!
เครื่องยนต์ลูกนี้ จะถ่ายทอดพละกำลัง สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยเกียร์อัตโนมัติ
7 จังหวะ 7G-TRONIC PLUS โดยมีอัตราทดเกียร์มาให้ดังนี้
เกียร์ 1…………………………..4.38
เกียร์ 2…………………………..2.86
เกียร์ 3…………………………..1.92
เกียร์ 4…………………………..1.37
เกียร์ 5…………………………..1.00
เกียร์ 6…………………………..0.82
เกียร์ 7…………………………..0.73
เกียร์ถอยหลัง 1 …………….3.42
เกียร์ถอยหลัง 2 …………….2.23
อัตราทดเฟืองท้าย…………..2.47
คันเกียร์ยังคงเป็นแบบก้านสวิชต์ DIRECT SELECT ติดตั้งอยู่บนฝั่งขวาของ
คอพวงมาลัย เฉพาะรุ่น AMG Dynamic จะติดตั้ง แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่ด้านหลัง
พวงมาลัย Paddle Shift มาให้ ทำงานร่วมกับ โปรแกรมสมองกลเกียร์ S M E
(Sport , Manual Mode , Eco) ซึ่งมีสวิชต์เลือกอยู่ไกลจากมือคนขับไปหน่อย
คือไปอยู่ใกล้สวิชต์มือหมุน ของระบบ COMAND แทนที่จะอยู่ใกล้มือคนขับ
โปรแกรม E สำหรับการขับขี่แบบประหยัด คันเร่งจะค่อนข้างหน่วง ส่วน โหมด S
คันเร่งจะตอบสนองไวขึ้นเล็กน้อย และจะลากรอบเครื่องยนต์ไปรอไว้ให้สูงๆ เผื่อ
เรียกอัตราเร่งออกมาได้ไวขึ้น และโหมด M ใช้งานร่วมกับแป้น Paddle Shift
เลือกเปลี่ยนเกียร์ได้เองตามใจชอบ อันที่จริงไม่ต้องกดปุ่ม M ก็สามารถใช้แป้น
Paddle Shift ได้เช่นกัน ในโหมด S และ M ถ้าลากเกียร์ไปถึง Red Line
เกียร์จะตัดเปลี่ยนขึ้นไปให้ 1 จังหวะ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเสียหายในชุดเกียร์
——————
การทำงานของระบบ Hybrid ใน Mercedes-Benz ขอฉายซ้ำกันอีกครั้ง เพื่อ
ให้เห็นกันชัดๆว่า ก็คล้ายคลึงกับ ระบบ Hybrid ของรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ทุกคน
คุ้นเคยกันดี เพียงแต่จะใช้เครื่องยนต์ Diesel Turbo เป็นต้นกำลัง และมี
รายละเอียดปลีกย่อยต่างกันนิดนึง ดังนี้
– ติดเครื่องยนต์ “เหมือนรถยนต์ Hybrid ทั่วไป”
ถ้าแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน ไฟยังเหลือเยอะ แค่มีไฟขึ้น READY สีเขียว
บนหน้าปัด ก็ออกรถได้เลย เพราะถือเป็นการเปิดระบบขับเคลื่อน ในโหมด
Motor ไฟฟ้า แต่ถ้า ไฟในแบ็ตเตอรี เหลือน้อย เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาแทน
– แล่น “เหมือน Hybrid ทั่วไปในภาพรวม ต่างกันที่รายละเอียดนิดเดียว”
ถ้าแล่นไม่เกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง เช่น คลานไปตามการจราจรติดขัด ขับเข้า
หรือออกจากหมู่บ้าน หาที่จอดรถ และแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน เหลือไฟพอ
มอเตอร์ไฟฟ้า จะหมุนล้อขับเคลื่อนเอง เครื่องยนต์อยู่เงียบๆไปก่อน (ถ้าไฟ
ในแบ็ตเตอรี เหลือน้อยเครื่องยนต์จะติดขึ้นมาปั่นไฟส่งกลับแบ็ตเตอรีเอง)
ถ้าแล่นเกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง มอเตอร์ไฟฟ้า หยุดทำงาน เครื่องยนต์จะติด
รับช่วงต่อ ทั้งการส่งกำลังไปหมุนล้อรถ พร้อมกับบปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรี
– เร่ง “เหมือนรถยนต์ Hybrid ทั่วไป”
เครื่องยนต์ทำงานอยู่ มอเตอร์ จะเข้ามาเสริมพละกำลังหมุนล้อรถให้
– ปล่อยไหล “แตกต่างจาก Hybrid ทั่วไป นิดหน่อย”
ถ้าคุณใช้ความเร็ว ไม่เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล้วปล่อยคันเร่ง ให้รถไหล หรือแตะเบรก
เบาๆ เครื่องยนต์ จะหยุดทำงาน รถจะแล่นต่อไปด้วยแรงเฉื่อย มอเตอร์ไฟฟ้า จะดึงเอา
พลังงานจลย์ จากการชะลอรถ ไปปั่นมอเตอร์ ผลิตไฟฟ้า กลับไปเก็บในแบ็ตเตอรีของ
ระบบขับเคลื่อน
ถ้า ความเร็ว ลดลงจนถึงระดับที่ มอเตอร์ สามารถรักษาความเร็ว จุดนั้นต่อไปได้ มอเตอร์
จะเข้ามาช่วยหมุนล้อรถต่ออีกระยะ เครื่องยนต์ จะไม่ทำงาน และถ้าไฟในแบ็ตเตอรี ลด
จนน้อยเกินไป เครื่องยนต์ จะติดขึ้นมาทำงานเอง (เหมือนรถยนต์ Hybrid ทั่วไป)
แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับ รถยนต์ Hybrid ทั่วไป ก็คือ ถ้าในขณะกำลังไหล คุณเกิดไม่อยาก
ให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบ็ตเตอรี ให้ตบแป้น Paddle Shift ฝั่งบวก
แช่ไว้ นิดนึง ระบบจะยกเลิกการปั่นไฟไปเก็บในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อนทันที
– เบรก “เหมือนรถยนต์ Hybrid ทั่วไป”
มอเตอร์ จะดึงเอาแรงเบรกไปปั่นไฟ กลับไปเก็บในแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน
– หยุด “เหมือนรถยนต์ Hybrid ทั่วไป”
ถ้า ไฟในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อนเหลือพอ จะเข้าสู่ Mode ECO Start/Stop เหยียบเบรกสุด
ฟังก์ชัน HOLD หรือ เบรกมืออัตโนมัติ จะทำงาน คุณถอนเท้าจากแป้นเบรกได้ เมื่อมี
สัญลักษณ์ HOLD ขึ้นมา เครื่องยนต์ ดับ แต่เครื่องปรับอากาศยังทำงานอยู่ แต่ถ้ายังเป็น
รูปเครื่องหมายจอดรถ (P พื้นน้ำเงิน) อย่าถอนเท้าจากแป้นเบรก เพราะรถจะไหลต่อได้
ถ้าไฟในแบ็ตเตอรีขับเคลื่อน เหลือน้อย เครื่องยนต์จะติดขึ้นมาทำงานปั่นไฟต่อเอง
——————
ตัวเลขจากทางโรงงานเคลมว่า E300 BlueTEC HYBRID AMG Dynamic ทำอัตราเร่ง
0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง มีอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ประหยัดถึง 23.81 กิโลเมตร/ลิตร การปล่อยก๊าซคาร์บอนได
อ๊อกไซค์ ต่ำเพียง 107-110 กรัม/กิโลเมตร ถือว่า เป็นตัวเลขที่ออกมาดีกว่า ECO Car
1,200 ซีซี ที่ผลิต ขายกันในประเทศไทย ทุกรุ่นทุกคันในตอนนี้!
แล้วตัวเลขสมรรถนะบนถนนในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร? เรายังคงทำการทดลอง
จับเวลาหาอัตราเร่ง ในตอนกลางคืน ด้วยมาตรฐานดั้งเดิม คือ เปิดแอร์ เปิดไฟหน้า
นั่ง 2 คน (ผู้ขับขี่ และผู้ช่วยจับเวลา น้ำหนักตัวรวมกัน ไม่เกิน 170 – 180 กิโลกรัม)
และผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้
ขอแก้ไขตัวเลขในตารางนิดนึงนะครับ อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ของ
E250 CGI 5AT เฉลี่ย อยู่ที่ 6.90 วินาที ครับ
ตัวเลขที่ออกมา ถ้าเปรียบเทียบกับ E-Class W212 ด้วยกันทุกรุ่นแล้ว จะพบว่า
มีเพียง E500 เท่านั้น ที่ทำเวลาออกมาได้เร็วกว่า แรงกว่า นอกนั้น E300 Diesel
Bluetec Hybrid เอาชนะ W212 รุ่นประกอบในประเทศได้ทุกคันไปอย่างสบายๆ
การเปลี่ยนมาใช้เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ การเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า เข้ามาช่วยเพิ่ม
แรงถีบส่งอัตราเร่งให้พุ่งขึ้นไปมากกว่าเดิม และความพยายามในการปรับปรุง
ช่วยให้ตัวเลขในการจับเวลา ลดลงไปได้นิดหน่อย
อาจจะมีเพียงแค่ E250 CGI เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ เท่านั้น ที่ทำ อัตราเร่งจาก
0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ดีกว่า E300 Diesel Hybrid เพียง 0.22 วินาที
แค่นั้น ซึ่งในช่วงเร่งแซงนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ พละกำลังเครืองยนต์ และการเรียงอัตราทด
เกียร์ 1-3 เป็นหลัก
แต่เมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดแล้ว จริงอยู่ว่า E300 Diesel Bluetec Hybrid
เอาชนะ Volvo S80 ทุกรุ่นย่อยที่เราเคยจับเวลามาได้ทั้งหมด แต่ก็มาทำได้แค่
ตีเสมอ BMW 520d F10 และชนะ BMW 523i F10 รุ่นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ
แต่มาพลาดท่าให้กับ 525d รุ่นเครื่องยนต์เดิม 6 สูบ ไปอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ และ
ต้องยอมรับเลยว่า 525d เขาแรงกว่าเห็นๆ อีกทั้ง ต่อให้กลับมามองที่ 520d ก็พบ
ว่าตัวเลขที่ออกมานั้น ตัวรถทำได้โดยไม่ต้องมีมอเตอร์ไฟฟ้ามาช่วยถีบส่งตอนออกตัว
ไม่ต้องมีแบ็ตเตอรี สำหรับระบบขับเคลื่อน มาเสริมให้กับตัวรถโดยไม่จำเป็น
ถึงตัวเลขจะออกมาแบบนี้ก็ตาม แต่ในการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง จนถึงความเร็ว
สงสุด แรงบิดมหาศาล ที่มีมาให้อย่างต่อเนื่อง ช่วยให้การไต่ขึ้นไปถึงความเร็ว
สูงสุด ทำได้อย่างนุ่มนวล หนักแน่น แต่เมื่อพ้นจากช่วง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นไปความเร็วจะเริ่มไต่ขึ้นไปได้ช้าลง และกว่าจะถึงระดับ 242 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อันเป็นความเร็วสูงสุด ต้องใช้เวลา และระยะทางอยู่พอประมาณเหมือนกัน แต่ก็
ไม่นานจนหวาดเสียวเท่า A-Class รุ่น A250 AMG ตัวเลขที่ออกมา ถือว่า
เป็นจริง และตรงกับตัวเลขที่โรงงาน ระบุไว้
ย้ำกันเหมือนเช่นเคยว่า เราทำการทดลองความเร็วสูงสุด ด้วยเหตุผลในด้าน
การให้ความรู้ เพื่อการศึกษา แก่ผู้สนใจ รวมทั้ง เพื่อการเปรียบเทียบตัวเลข
ยืรนยันกับข้อมูลของโรงงานผู้ผลิตรถยนต์เท่านั้น ไม่แนะนำให้คุณผู้อ่าน
ไปทดลองทำกันเอาเองอย่างเด็ดขาด เพราะอาจเกิดอันตรายทั้งกับตัวคุณเอง
หรือเพื่อนผู้ร่วมใช้เส้นทางอื่นๆ ได้ทุกเมื่อ เราไม่รับผิดชอบในอุบัติเหตุที่
จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการกระทำของคุณผู้อ่าน ใดๆทั้งสิ้น
ในการขับขี่จริง ผมยังคงยืนยันความเห็นเดิม เหมือนเมื่อครั้งที่เขียนลงในบทความ
First Impression ว่า อัตราเร่งที่มีมาให้นั้น “แรงกำลังดี มีเหลือเฟือ” และพร้อม
พาคุณพุ่งทะยานสู่ความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้อย่างว่องไว ง่ายดาย ด้วย
ความร้อนแรง แต่สุภาพ นุ่มนวล แม้ตัวเลขจะทำได้เท่าๆกันกับ 520d ก็ตาม
ถ้าใครจะแคร์กับตัวเลขที่ออกมา ก็ว่ากันไป แต่ผมไม่แคร์ และกลับพบว่า
E300 Diesel Bluetec Hybrid คันนี้ สร้างความสนุกในการขับขี่ให้ผมได้
เกินกว่าความคาดหวังที่ผมเคยมีจาก E-Class ที่ผ่านๆมา ไปพอสมควร
พละกำลังที่มีมาให้ มากมาย มหาศาลเหลือเฟือบานตะเกียงเพียงพอที่คุณ
จะนำไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้แล้ว เพียงพอในระดับเดียวกันกับคู่แข่ง
อย่าง BMW 5-Series ได้เสียที นั่นละ
แต่สิ่งที่ทำให้การดึงพละกำลังมหาศาล ออกมาใช้งานนั้น ยังทำได้ไม่เต็มที่
จนทำให้กลายเป็นข้อความปรับปรุง ยังคงเป็นประเด็นเดิมครับ นั่นคือ การ
เซ็ตคันเร่งไฟฟ้า ให้ตอบสนอง “ช้ามาก” และยังมีอาการ Lag หรือหน่วง
ขอคิดก่อนสัก 1 วินาที ว่าจะทำอย่างไรกับชีวิตต่อ…
พอจะเข้าใจและยอมรับได้อยู่ว่า ในโหมดโปรแกรมเกียร์ E นั้น วิศวกร ตั้งใจ
เซ็ตคันเร่งมาเพื่อเน้นความประหยัดสำหรับการขับขี่ใช้งานในเมือง นั่นทำให้
ลิ้นปีกผีเสื้อ อาจจะต้องเปิดทำงานช้ากว่าปกติสักหน่อย เพื่อหรี่ลิ้นคันเร่ง ให้
ส่วนผสมไอดี ไหลเข้าห้องเผาไหม้ ได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังต้องเซ็ตคันเร่ง
เผื่อไว้ให้เน้นการ ขับขี่อย่างนุ่มนวล เพื่อลดอาการกระตุก กระชากของเกียร์
ในขณะขับขี่
ทว่า เมื่อลองเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ทั้งในตระกูล Mercedes-Benz
เอง หรือยี่ห้ออื่นๆ ผมก็พบว่า คันเร่งยังคงทำงานล่าช้าหลังการเหยียบลงไป
ตามเดิมอยู่ดี ไม่ว่าจะเหยียบจมมิดติดพื้นรถ หรือเติมลงไปครึ่งคันเร่งก็ตาม
ระยะเวลา ขึ้นอยู่กับสมองกลของเกียร์ ว่าจะคิดช้าหรือเร็ว นานราวๆ 1 ถึง
1.5 วินาที กันเลยทีเดียว ผมยืนยันว่า คันเร่งยังตอบสนองช้าเกินไป สำหรับ
การใช้งานของคนส่วนใหญ่ ที่คาดหวังให้คันเร่ง ทำงานไว และยอมให้
Lag ได้เพียงไม่เกิน 0.5 วินาที ด้วยซ้ำ
ต่อให้คุณจะกดปุ่มเปลี่ยนมาเป็น โหมด S หรือ M (Manual Shift) ที่ปล่อย
ให้คุณเปลี่ยนเกียร์ได้เองจากแป้น Paddle Shift ด้านหลังพวงมาลัย คันเร่ง
ก็จะตอบสนองไวขึ้นมาเพียงนิดเดียว และยังคงพบอาการ Lag อยู่ คันเร่ง
ไม่ได้ฉับไวจนเฉียบคม ในแบบที่ C-Class Coupe (C250) กับ A-Class
ใหม่ (A250) เขาเป็นเลย
บางช่วงของการเร่งแซง รถบรรทุกบนถนนสุขุมวิท สายเก่า ช่วงคลองด่าน
ซึ่งยังคงเป็นถนนสวนกันสองเลน แบบถนนในต่างจังหวัดอยู่ ยืนยันครับ
ว่า ผมต้องมาเสียจังหวะ เพราะต้องรอให้เกียร์ เปลี่ยนลงมาจาก 7 เป็น เกียร์
3 และเมื่อลองจับเวลาเล่นๆ ก็ล่อเข้าไป 1 วินาทีเศษๆ ทุกอย่าง จึงล่าช้าไป
โอกาสในการเร่งแซง ก็หลุดลอย ถ้าในกรณีที่คุณต้องการเร่งแซงเร่งด่วน
ขอแนะนำว่า คิดและเหยียบคันเร่ง เผื่อไว้ล่วงหน้า 1 วินาที เสมอ จึงจะ
ช่วยให้คุณ เร่งแซงผ่านพ้นสถานการณ์คับขันมาได้อย่างปลอดภัย
ภาพรวม อัตราเร่ง มีเหลือเฟือ เพียงพอต่อการใช้งาน เรียกใช้ได้ทุกเมื่อ
แต่ต้องปรับความฉับไวในการตอบสนองของคันเร่งกับเกียร์ ให้ไวกว่านี้
จึงจะช่วยเพิ่มความสนุกในการเรียกอัตราเร่ง ให้ทันต่อสถานการณ์คับขัน
ได้ดีกว่านี้
ส่วนเรื่องเสียงรบกวน ถ้าใครสงสัยว่า เสียงเครื่องยนต์ มันจะดังหรือไม่
ขอยืนยันว่า มันยังคงดังแบบเครื่องยนต์ Diesel ทั่วไปที่ผมเจอมา แต่
ภาพรวมแล้ว เสียงยังเบากว่า เครื่องยนต์ของ BMW 320d อยู่นิดหน่อย
เพียงแต่คุณต้องยืนอยู่นอกรถเท่านั้น จึงจะได้ยินเสียงชัดเจน เพราะถ้านั่ง
ในห้องโดยสารแล้ว คุณแทบจะไม่ได้ยินเสียงจากเครื่องยนต์เท่าไหร่เลย
ด้านการเก็บเสียง ต่อให้คุณใช้ความเร็วขึ้นไปถึง 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
คุณก็ยังไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดคุย หรือเร่งเสียงจากวิทยุ ทั้งสิ้น การเก็บเสียง
ขณะเดินทาง ถือว่าทำได้ดีมากๆ
ระบบบังคับเลี้ยว ยังคงเป็นพวงมาลัย แบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ ไฟฟ้า
มีระบบปรับน้ำหนักได้เองตามความเร็วรถ ถูกปรับปรุงเพื่อเพิ่มความคล่องตัวทั้งการ
ลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยในเมือง การหมุนพวงมาลัยบังคับทิศทาง เริ่มแม่นยำ
มากขึ้นจากเดิมเล็กน้อย น้ำหนักช่วงความเร็วต่ำ ยังคงเบาพอกันกับรุ่นเดิม แต่ด้วย
วงพวงมาลัยที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง เล็กลง ช่วยเพิ่มการบังคับควบคุมได้ดีขึ้น สนุกขึ้น
คล่องแคล่ว กว่าเดิม และมีชีวิตชีวา เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ที่สำคัญก็คือ ถ้าสังเกตดีๆจะพบว่า การเปลี่ยนมาใช้พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทรงสปอร์ต
แบบเฉือนมุมด้านล่าง ที่ถูกลดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ให้เล็กลง เมื่อเปรียบเทียบกับ
พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ในรุ่น W212 รุ่นก่อน ในรถรุ่นเดิมนั้นจะช่วยให้คุณบังคับเลี้ยว
ไปตามต้องการได้ง่ายขึ้น น้ำหนักของพวงมาลัยยังคงเบา แต่ด้วยล้ออัลลอยที่มีขนาด
18 นิ้ว จะทำให้คุณรู้สึกว่าพวงมาลัยจะหนืดขึ้นว่าเดิมนิดนึง ทั้งที่จริงๆแล้ว น้ำหนัก
และความหนืด มันก็ใกล้เคียงกันกับรุ่นเดิมนั่นแหละ
ในช่วงความเร็วสูง ผมยังสามารถปล่อยมือจากพวงมาลัยได้สั้นๆ ราวๆ 5 วินาที แม้
จะใช้ความเร็วสูงถึงระดับ 190 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ตาม แต่ด้วยการเซ็ตให้
รถเบนออกทางซ้ายนิดๆ จากโรงงาน จึงทำให้ผมต้องรีบกลับมาประคองพวงมาลัย
อย่างรวดเร็ว
ระบบกันสะเทือนหน้า เป็นแบบ Multi-Link พร้อมคอยล์สปริง ทั้งด้านหน้าและหลัง
ช็อกอัพคู่หน้าจะเป็นแบบ Twin-tube gas pressure ส่วนด้านหลังเป็นช็อกอัพแบบ
Single-tube gas pressure ปรับแต่งเพื่อเน้นความนุ่มนวล สำหรับการขับขี่ทางไกล
เป็นหลัก แต่ในรุ่น AMG Dynamic เมื่อต้องทำงานร่วมกับ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ก็
จะเพิ่มบุคลิกสปอร์ตให้กับตัวรถขึ้นอีกเล็กน้อย เวลาขับผ่านรอยต่อ หรือพื้นผิวถนนแบบ
ไม่เรียบต่างๆ จะสัมผัสอาการตึงตังนิดๆ เพิ่มขึ้นจาก E-Class W212 รุ่นเดิมนิดเดียว
แต่ยอมรับได้ เพราะช่วงล่างยังคงซับแรงสะเทือน ไว้เป็นอย่างดี
สิ่งที่น่าสังเกตคือ E-Class W212 รุ่นก่อน จะมีอาการหน้าลอยขึ้นนิดๆ เมื่อใช้ความเร็ว
เกินกว่า 180 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป แต่ในรถรุ่นใหม่นี้ อาการดังกล่าว จะเริ่มพบเจอ
เมื่อผ่านพ้นช่วง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป หมายความว่า การออกแบบชิ้นส่วนตัวถัง
บริเวณด้านหน้าของรถขึ้นใหม่ มีส่วนช่วยเพิ่มแรงกดที่ด้านหน้า ขณะใช้ความเร็วสูง
ให้ดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร แต่ยังไม่ถึงกับนิ่งสนิท เพราะยังมีอาการ “แกว่งข้าง” หรือ
การเคลื่อนตัวในแนวระนาบกับพื้นถนน เกิดขึ้นในช่วงความเร็วเดินทาง ไปจนถึง
ย่านความเร็วสูงให้ผู้ขับขี่ได้พบเจออยู่บ้าง ทั้งที่ไม่ควรจะมี
อย่างไรก็ตาม ช่วงล่างของ E300 Diesel Bluetec Hybrid AMG Dynamic จะ
ขับสนุกมากขึ้นกว่า บรรดา E-Class คันอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา และมันยังคงตอบสนอง
ให้คนขับรับรู้ได้ทุกเนินคลื่น บนพื้นถนน แต่เพียงผิวเผิน ไม่ได้เก็บมาครบทุกเม็ดทุก
หลุมบ่อ สามารถขับรูดผ่านพื้นผิวขรุขระ ที่มีความลึกหรือโผล่เพิ่มจากผิวถนนเดิมนิดๆ
ได้สบายๆ
ถ้าถามถึงการเข้าโค้ง ผมสามารถพา E300 Diesel Bluetec Hybrid คันนี้ ทะยาน
ทะยานเข้าโค้งขวา รูปเคียว บนทางด่วนขั้นที่ 2 เหนือย่านมักกะสันด้วยความเร็วแถวๆ
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้พอดีๆ แต่ไม่อาจเกินกว่านี้ได้ เดี๋ยวจะหลุด ส่วนโค้งซ้าย
ต่อเนื่องที่ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเมอเคียว ผมพารถคันนี้ สาดเข้าไปด้วยความเร็วแถวๆ
95 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ส่วนโค้งซ้ายและขวายาวๆ รูปเคียว จากมอเตอร์เวย์ เข้าสนามบินสุวรรณภูมิ ผม
พารถคันนี้ สาดเข้าไปด้วยความเร็วสูงสุด ถึง 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง (ไต่เพิ่มขึ้น
จาก 95 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงหน้าโค้ง) แม้จะมีอาการหน้ารถเริ่มดื้อเกิดขึ้น
ในระดับดังกล่าว ซึ่งน่าจะถือว่ามาถึง Limit ที่ตัวรถยังพอรับมือได้ แต่ต้องถือว่า
E300 Diesel Bluetec Hybrid AMG Dynamic คันนี้ ให้การควบคุมที่คล่องตัว
ยืดหยุ่น และมั่นใจขึ้นกว่า W212 รุ่นเดิมชัดเจน
ระบบห้ามล้อทุกรุ่น จะเป็นดิสก์เบรค 4 ล้อ แต่จะมีครีบระบายความร้อน และมี
รูระบายความร้อน เพิ่มเติม บนหน้าจานเบรกคู่หน้า แถมมาให้ พร้อมระบบป้องกัน
ล้อล็อก ABS (Anti Lock Braking Sysgtem) ระบบกระจายแรงเบรก EBD
(Electronics Brake Force Distribution) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ASR
(Anti Skid) ระบบเพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน BAS (Brake Assist) และ
ระบบ ADAPTIVE BRAKE ทั้งหมดนี้ รวมอยู่ใน กล่องโปรแกรมระบบควบคุม
เสถียรภาพการทรงตัวของรถ ESP (Electronic Stability Program)
ทุกครั้งที่คุณเหยียบเบรก ระบบ Re-Generative Brake จะนำแรงหมุนจากเพลา
ไปใช้ในการปั่นกระแสไฟฟ้า เพื่อเติมกลับเข้าไปในแบ็ตเตอรีระบบขับเคลื่อน จึง
ทำให้ระบบเบรกของ E300 Diesel Bluetec Hybrid AMG Dynamic ช่วย
หน่วงความเร็วลงมาได้ดีกว่า E-Class W212 รุ่นเดิม อีกเล็กน้อย
ระบบเบรคยังคงตอบสนองได้ดี ไม่ว่าคุณต้องการจะหน่วงความเร็วของรถ ลงมา
จากระดับความเร็วสูง กระทันหัน หรือเพียงแค่แตะเบรคเบาๆเพื่อให้รถเคลื่อนตัว
ไปอย่างช้าๆตามสภาพการจราจรที่ติดขัด แป้นเบรคอาจมีน้ำหนักเบากว่า E-Class
W212 รุ่นก่อนปรับโฉม ดังนั้นการเหยียบครั้งแรกจึงอาจไม่คุ้นชินเท้า แต่เมื่อขับ
ไปซักพัก คุณจะพบว่าแป้นตอบสนองได้ Linear และแม่นยำตามน้ำหนักเท่าที่
เหยียบลงไป
อีกทั้งต่อให้มีเหตุจำเป็นต้องเบรคกระทันหัน จากช่วงความเร็วสูง 200 กิโลเมตร
/ชั่วโมง รถยังสามารถหน่วงความเร็วลงมาได้อย่างต่อเนื่องจนรถหยุดนิ่่ง โดยที่
ไม่มีอาการปัดเป๋ใดๆทั้งสิ้น ถือว่า ระบบห้ามล้อ ของ E-Class ใหม่ ยังคง มั่นใจ
ได้เช่นเคยตามสไตล์ของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ ในระยะหลังๆมานี้อยู่ดี
********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********
ประเด็นสำคัญที่หลายคนคงอยากรู้ เกี่ยวกับรถคันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นว่า
การนำเครื่องยนต์ Diesel Turbo ซึ่งได้ชื่อในเรื่องความประหยัดน้ำมัน มา
พ่วงเข้ากับระบบขับเคลื่อนแบบ Hybrid นั้น จะยิ่งช่วยลดการกินน้ำมัน
ลงไปได้แค่ไหน
ผมจึงเลือกจะหาคำตอบด้วยวิธีการทดลองดั้งเดิมของเรา นั่นคือ การนำ
E300 Diesel Bluetec Hybrid คันนี้ ไปเติมน้ำมัน Diesel Techron ที่
สถานีบริการน้ำมัน Caltex ริมถนนพหลโยธิน เลยสถานีรถไฟฟ้า BTS
อารีย์ มาเล็กน้อย โดยเติมน้ำมันเพียงแค่หัวจ่ายตัด ไม่จำเป็นต้องเขย่ารถ
อย่างที่ต้องทำกับบรรดารถกระบะ และรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์ต่ำกว่า
2,000 ซีซี
เมื่อเติมน้ำมันกันเสร็จแล้ว ผมก็เซ็ต 0 บน Trip Meter ด้วยการ กดปุ่มบน
ก้านพวงมาลัยฝั่งซ้าย เลื่อนไปที่ Trip กดขึ้น หรือลง จนกว่าจะเจอหน้าจอ
Trip Meter แล้วค่อยกดปุ่ม OK เพื่อเลือก ยืนยันว่า จะ Reset
นอกจากจะมีมาให้แค่ Trip เดียว เหมือน Mercedes-Benz เป็นทุกรุ่นแล้ว
ยังคงต้องใช้เวลาในการคลำหาเข้าไปกดเซ็ตใน Menu ย่อย วุ่นวายตามเคย
คาดเข็มขัดนิรภัย ติดเครื่องยนต์ เปิดแอร์ ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส
ทั้ง 2 ฝั่ง พัดลมเบอร์ต่ำสุด แล้วออกรถ ไปเลี้ยวซ้ายเข้าซอยอารีย์ แล้วลัดเลาะ
ไปออกปากซอยโรงเรียนเรวดี เลี้ยวซ้ายไปตามถนนพระราม 6 ก่อนจะเริ่ม
เลี้ยวขวาขึ้นทางด่วน มุ่งหน้าไปยังปลายทาง ด่านบางปะอิน เพื่อเลี้ยวกลับ
แล้วขับย้อนมาขึ้นทางด่วนเส้นเดิม กลับเข้ากรุงเทพฯ ด้วยมาตรฐานเดียวกับ
รถยนต์ทุกคันที่เราทำรีวิว นั่นคือ “วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน”
คราวนี้เราเปิดประบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control โดยใช้นิ้วกระดิก
ก้านสวิตช์ฝั่งซ้ายของคอพวงมาลัย ถัดลงมาจากก้านสวิตช์ไฟเลี้ยว ยกขึ้น
1 ครั้ง ถ้าจะลดความเร็ว ก็ค่อยๆกระดิกนิ้วกดก้านสวิตช์ลงมา กดหรือยกขึ้น
เบาๆ 1 ครั้ง ลดหรือเพิ่มความเร็ว ครั้งละ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าดันจนสุด
1 ครั้ง ความเร็วจะเพิ่มหรือลดลงคราวละ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าจะยกเลิก
ให้ดันก้านสวิตช์ออกห่างจากตัว แล้วปล่อยให้ดีดกลับคืนตำแหน่งเดิม
ผู้ร่วมทดลอง และสักขีพยาน ยังคงเป็นน้องโจ๊ก V10ThLnD สมาชิกของ
The Coup Team แห่งเว็บเรา ตามเคย
เมื่อถึงทางลงอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพหลโยธิน ขับตรงมา
เรื่อยๆ ก่อนจะมาเลี้ยวกลับ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสถานีบริการน้ำมัน Caltex เพื่อ
เติมน้ำมัน Diesel Techron กันอีกครั้ง เติมแค่หัวจ่ายตัดก็พอ เหมือนเดิม
มาดูตัวเลขกันดีกว่า ผลลัพธ์ที่ได้ มีดังนี้ครับ
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บนมาตรวัด Trip Meter 93.1 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 4.99 ลิตร
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 18.65 กิโลเมตร/ลิตร
นับว่าเป็น Mercedes-Benz ที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุด เท่าที่เราเคยทดลองกันมา!
แต่ถ้าเปรียบเทียบตัวเลขกับคู่แข่งในพิกัดเดียวกันแล้ว จริงอยู่ว่า E300 Diesel
Bluetec Hybrid ทำตัวเลขออกมาได้ดีกว่า BMW 5-Series ทุกรุ่น ทุกคัน ทว่า
เรื่องตลกโดยบังเอิญก็คือ E300 คันนี้ เฉือนชนะ Volvo S80 D3 แชมป์เก่า
ในการทดลองเดียวันนี้ ไปเพียงแค่ 0.01 กิโลเมตร/ลิตร เท่านั้น!!!
ต้องถือว่า ประหยัดน้ำมัน พอๆกัน ครับ แทบไม่ต่างกันเลย
********** สรุป **********
E-Class ในแบบที่ผมอยากให้เป็น / เหลือแค่เซ็ตคันเร่งใหม่ ให้ไวขึ้น แค่นั้น!
การใช้เวลา 5 วัน 4 คืน กับ E300 Diesel Blutec Hybrid AMG Dynamic
ถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่น่าจดจำอีกครั้งหนึ่งในช่วงหลายปีที่ทดลองขับรถยนต์กันมา
เปล่าครับ ไม่ใช่เพราะการมีตราสัญลักษณ์รูปดาวอยู่บนกระจังหน้า หากแต่
เป็นบุคลิกของตัวรถ ในแบบที่ผมเคยคาดหวังเอาไว้จากพวกเขา มันมา
ปรากฎอยู่ในรถคันนี้ เพิ่มขึ้นแล้วต่างหาก!
เพราะในอดีต ถ้าจะต้องนึกถึง E-Class ผมมักจะมีภาพของรถยนต์นั่งรดับ
อาเสี่ย พุงพลุ้ย ตุ้ยนุ้ยๆ ที่ขับเข้ามาจอดตามทางขึ้น Lobby โรงแรมต่างๆ
มันเป็นรถยนต์ที่ อาจจะขับเองก็ได้ นั่งหลังก็ดูมีสง่าราศี แต่อย่าคาดหวัง
อะไรมากไปกว่านั้น สมรรถนะไว้ใจได้ แต่เน้นความนุ่มนิ่ม และปลอดภัย
การซ่อมบำรุงไม่จุกจิก (ผมคิด และหมายถึงรุ่น W123 กับ W124 นะ)
มาวันนี้ E-Class ใหม่ ถูกพัฒนาไปไกลเกินกว่าใครจะคาดการณ์ถึง ผมยัง
ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่เลยว่า วันนี้ E-Class จะมีขุมพลัง Hybrid ติดตั้งมาให้
จากโรงงาน และเริ่มมีความสนุกในการขับขี่ โผล่มาให้สัมผัสอย่างเด่นชัด
E300 Diesel Blutec Hybrid AMG Dynamic มีบุคลิกการขับขี่ที่ต่าง
จากเพื่อนพ้องพี่น้องร่วมตระกูล E-Class W212 คันอื่นๆ อย่างชัดเจน ทั้ง
การบังคับเลี้ยวในช่วงคลานไปตามการจราจรติดขัดได้คล่องแคล่วขึ้น แถมยัง
คล่องตัวในการเร่งแซง มุด ในช่วงความเร็วเดินทาง ถึงความเร็วสูง ซึ่งนิ่งขึ้น
ลดอาการหน้าลอยลงมา เข้าโค้งได้อย่างเต็มเหนี่ยวมากขึ้น อาจมีอาการหน้ารถ
ดื้อโค้งอยู่บ้าง แต่ก็ปรากฎในช่วงใกล้จะแตะ Limit ของตัวรถในโค้ง ดังนั้น ถ้า
ขับตามปกติ เข้าโค้งแบบนิ่งๆเนียนๆ ก็ยังมั่นใจได้เพิ่มจาก E-Class W212
คันอื่นๆ ที่ผมเจอมา
คุณจะขับช้าๆ เรื่อยๆ สัมผัสความรื่นรมณ์ตลอดสองข้างทาง หรือจะเร่งทำเวลา
ด้วยบุคลิกการขับขี่ ดุดัน เพราะไม่พอใจรถคันข้างหน้า E300 Diesel Bluetec
Hybrid AMG Dynamic คันนี้ ก็พร้อมรับคำสั่ง และทำงานให้คุณได้อย่างดี
ยิ่งเรื่องความประหยัดน้ำมันด้วยแล้ว E300 Diesel Bluetec Hybrid คันนี้ ไม่ทำ
ให้คุณผิดหวังแน่ๆ เพราะมันเป็น Mercedes-Benz ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
ได้ประหยัดสุด เท่าที่ผมเคยลองขับกันมา นี่คือจุดเด่นสำคัญที่น่าจะทำให้รถคันนี้
ชนะใจเศรษฐีผู้รอบคอบในการใช้เงินได้อีกมาก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมคาดหวังจะเห็นใน E-Class รุ่นต่อไปนับจากนี้ ยังมีเรื่องที่
ต้องรอการปรับปรุงไปตามเวลาของมันอยู่อีกพอสมควร
เริ่มจาก อาการคันเร่งตอบสนองช้า และหน่วงจนเกินไป เข้าใจดีละครับว่าอยาก
จะ Save ไม่ให้เกียร์พังเร็ว อีกทั้งต้องการลดอาการกระชาก เพื่อให้เปลี่ยนเกียร์
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ให้ลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่ ที่อุดหนุน E-Class กัน
มาตลอด หลายสิบปี ด่าทอล่อกบาลกันได้
แต่จากมุมมองของผม คันเร่งควรจะทำงานเร็วกว่านี้สัก 0.5 วินาที ในโหมด E
และควรจะทำงานในทันทีที่เริ่มเหยียบคันเร่ง ในโหมด S เหมือนคันเร่งใน
โหมด S ของ A-Class รุ่น A250 AMG
เพราะในบางครั้งผู้ขับขี่อยู่ในโหมด E แต่ดันต้องการอัตราเร่งกระทันหันขึ้นมา
คงมีไม่กี่คนนักหรอกครับ ที่ยอมเสียเวลาไปกดปุ่ม S ก่อนจะพุ่งตัวออกไป นั่น
คือช่วงเวลาที่ผู้ขับขี่บอกกับรถยนต์ว่า เฮ้ย ข้าต้องการพละกำลังของเจ้าทั้งหมด
แล้วนะ ต้องการในตอนนี้ และเดี๋ยวนี้! ทำไมต้องมานั่งรอกันอีก 2 – 3 วินาที
กว่าจะยอมทำงานให้ สำหรับเมืองไทย จากประสบการณ์จริงที่เจอมากับรถคันนี้
บอกเลยว่ามันช้าไปหน่อย ถ้าคนขับตัดสินใจไม่ดี โอกาสจะแซงรถพ่วงบนถนน
แบบสวนกัน 2 เลน ในต่างจังหวัดไม่ทัน ก็อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องของ การปรับปรุงช่วงล่าง ให้ลดอาการ “แกว่งข้าง”
ขณะเดินทางด้วยความเร็วสูง บนถนนในเมืองไทย ให้ดีขึ้นกว่านี้อีกนิด โดย
อาจจะเน้นไปที่การปรับปรุงระบบกันสะเทือน ให้ช่วยจัดการและควบคุม
อากัปกิริยาของตัวรถ ในแนวขึ้น – ลง และแนวขนาบกับพื้นถนน ซ้าย – ขวา
มากกว่านี้อีกสักหน่อย
รวมไปถึงประเด็นด้านการออกแบบ ให้เน้นความสะดวกในการใช้งาน หรือ
User Friendly จัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ในการขับขี่ ให้ลดความเสี่ยงต่อการ
เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ลงไป โดยเฉพาะ ตำแหน่งก้านสวิตช์ตั้งและ ล็อก
ความเร็วอัตโนมัติ ระบบ Cruise Control และ ระบบ Speed Linit ที่
ติดตั้งมาใกล้กับก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวมากเกินไป มีบางครั้งที่ผม ยังยกก้าน
สวิชต์ผิดอัน หรือ สวิชต์ โปรแกรมเกียร์ S M E ที่อยู่ไกลห่างเกินไป จน
ต้องละสายตามาควานหา ก่อนกดใช้งาน ช่างไม่สะดวกเลย
ถ้าให้เปรียบเทียบกับคู่แข่งร่วมพิกัดเดียวกัน อย่าง BMW 5-Series และ Volvo S80
ผมคงบอกได้แต่เพียงว่า คุณชอบบุคลิกของใครมากกว่ากัน เพราะแทบทุกรุ่น ต่างก็
ดีไม่แพ้กัน ไม่ด้อยไปกว่ากัน แต่ดีเด่นกันไปคนละด้าน
BMW 5-Series F10 ยังคงให้คุณในเรื่องพละกำลังที่มากกว่า การขับขี่ที่ให้บุคลิก
สปอร์ต หนักแน่น มั่นใจกว่า ช่วงล่างของ 5-Series ก็ยังคงดีที่สุดในกลุ่ม แม้ว่าจะ
นุ่มขึ้นกว่า 5-Series รุ่นก่อนๆ อยู่ก็ตาม เบาะหลังนั่งสบายกว่า
แต่สิ่งที่ 5-Series F10 จะยังคงด้อยกว่า E300 Diesel Hybrid ก็คงเป็นเรื่องความ
สบายและความสุนทรีย์ในการเดินทาง ความประหยัดน้ำมันที่ Mercedes-Benz ทำได้
ดีกว่าพื้นที่นั่งด้านหลัง ของ BMW มี Leg Room น้อยกว่า และนั่งแล้วอึดอัดกว่า E300
ที่สำคัญสุดนั่นคือ ภาพลักษณ์ทางสังคม คนทั่วไปยังคงมองว่า Mercedes-Benz นั้น
เหนือกว่า BMW อยู่นิดหน่อย เสมอมา และเสมอไป
ขณะเดียวกัน Volvo S80 ให้บรรยากาศห้องโดยสาร ที่เหนือชั้นกว่าทั้ง E-Class
และ 5-Series อย่างชัดเจน ประหยัดน้ำมันเท่า E300 อุปกรณ์ความปลอดภัย ก็ครบ
แถมยังดีเด่นใกล้เคียงกันในคนละด้าน แต่ มาในราคาที่ถูกกว่ากันถึง 1 ล้านบาท
(เมื่อเทียบกับรุ่น E300 Diesel Hybrid)
ทว่า S80 จะด้อยกว่าในเรื่อง พละกำลัง ที่ยังไม่แรงสาแก่ใจตาแพน Commander
CHENG อีกทั้ง ค่าบำรุงรักษา และบริการหลังการขาย ของ Volvo ยังต้องปรับปรุง
แก้ไข ทั้งการลดราคาอะไหล่ลงมา และการเร่งแก้ปัญหาลูกค้าอย่างรวดเร็วกว่านี้
เพราะถึงแม้ว่า ค่าอะไหล่ของ Mercedes-Benz กับ BMW จะแพงมาก แต่ Volvo
จะแพงกว่าอยู่อีกนิดหน่อย เสมอ!
ทั้ 3 คัน นี้ คงอยากจะสรุปว่าเลือกใครดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับว่า คุณชอบ และยอมรับได้
กับข้อด้อยของรถคันไหนมากกว่ากันเท่านั้นเลย
แล้วถ้าคุณตัดสินใจแล้วว่าจะเลือก E-Class ใหม่ จริงๆ รุ่นไหนถึงจะเหมาะกับคุณ?
ในใบราคาของ Mercedes-Benz Thailand พวกเขาเตรียม E-Class Saloon ใหม่
ไว้ให้คุณได้เป็นเจ้าของกันมากถึง 3 รุ่นย่อย ดังนี้
E 200 Saloon Executive 3,390,000 บาท
E 300 Diesel HYBRID Blutec Executive 3,690.000 บาท
E 300 Diesel HYBRID Blutec AMG Dynamic 4,090,000 บาท
ถ้าคุณยังเป็นคนที่คิดในแนวอนุรักษ์นิยม หวั่นใจกับการใช้รถยนต์ Hybrid และ
ไม่อยากจ่ายแพง แต่อยากนั่ง E-Class สักครั้งในชีวิต หรือต้องการรถยนต์นั่งเพื่อ
ใช้รับรองแขกบ้านแขกเมืองทั่วๆไป E200 Saloon Executive อาจจะเพียงพอต่อ
ความต้องการของคุณ แต่ก้ต้องลดความคาดหวังในเรื่องอุปกรณ์มาตรฐานลงด้วย
ถ้าคุณไม่ได้ไปเร่งแซงใครที่ไหนบ่อยๆ อยากได้ความประหยัดในการเดินทางไกลๆ
ผมมองว่า รุ่น E 300 Diesel HYBRID Blutec Executive ตกแต่งแบบ Elegance
ก็เพียงพอต่อความต้องการขั้นพื้นฐานดีอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องปีนขึ้นไปเล่นรุ่น
แพงสุดแต่อย่างใด
ทว่า หากคุณอยากได้ความคล่องแคล่ว เผื่อไว้ในวันที่คุณเกิดอยากสนุกกับทางโค้ง
หรือต้องการความคล่องตัวในการบังคับควบคุมเพิ่มขึ้น รุ่นท็อปโมเดล พร้อมชุด
ตกแต่ง AMG Dynamic ที่เห็นอยู่นี้ น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ดีกว่า
เพราะความสนุกและความคล่องแคล่วในการขับขี่ที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความประหยัด
น้ำมันที่มากสุดในบรรดา Mercedes-Benz ประกอบในบ้านเราทุกรุ่นที่เคยมีมา และ
ความหรูในระดับที่สร้างความรื่นรมณ์ในการขับขี่ ต่างพากันอัดแน่นมาในรูปโฉม
ที่ดูสปอร์ตขึ้นนิดๆ ทำให้ E300 Diesel Bluetec Hybrid AMG Dynamic คันนี้ ลด
ภาพลักษณ์ของ รถยนต์สำหรับคนแก่ ในสายตาผู้คนทั่วไปลงได้เยอะมาก
แน่นอนว่า บางด้าน มันอาจยังไม่ดีเท่าคู่แข่ง แต่ผมก็พอใจที่จะเห็น E-Class ใหม่
ทั้งรุ่นนี้และรุ่นต่อไป มีบุคลิกในแนวทางที่พวกเขากำลังจะนำพามันไปแบบนี้
E-Class ที่ไม่ใช่รถยนต์ในแนว อาเสี่ย พุงพลุ้ย น่าเบื่อๆ เหมือนสมัยก่อนอีกต่อไป
———————————-///——————————
ขอขอบคุณ / Special Thanks to :
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท Mercedes-Benz (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
บทความที่ควรอ่านเพิ่มเติม
Full Review : Mercedes-Benz E-Class W212 MY 2010 – 2013
J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย เป็นผลงานของผู้เขียน
ยกเว้น ภาพถ่ายจากต่างประเทศ เป็นลิขสิทธิ์ของ Daimler AG
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
22 เมษายน 2014
Copyright (c) 2014 Text and Pictures Except some studio shot from Daimler AG.
Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
April 22th,2014
แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่ / Comments are Welcome! CLICK HERE!