ในอดีตที่ผ่านมา

ความสัมพันธ์ของ ฟอร์ด กับผม เป็นไปอย่างไม่เป็นทางการ

คือมีการทำความรู้จักมักจี่กับพี่ๆเพื่อนๆหลายๆคน ที่ทำงานอยู่ในนั้น

แต่ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับฝ่ายประชาสัมพันธ์กันอย่างจริงจังเท่าใดนัก

จนกระทั่ง เมื่อ พีอาร์แมนคนเก่า ออกไป เริ่มต้นงานกับฮุนได

(ต่อมาก็ลาออกไปอยู่กับ เอเจนซี ดูแลงานให้กับ รถกระบะ TATA)

ช่วงปลายปีที่แล้ว ผมโพสต์กระทู้ลงไปในรัชดานี้ว่า
ผมยังไม่เคยรู้จักฝ่ายพีอาร์ของฟอร์ด อย่างเป็นทางการ

จนกระทั่งตาโป่ง หนุ่มตี๋ อารมณ์หรรษา
อุตส่าห์ควานหาเบอร์โทรศัพท์มือถือของผม มาจากไหนไม่รู้

โทรมาแนะนำตัวกัน อย่างเป็นทางการ

และนั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา อันหมายถึง ผมกับฟอร์ด
อย่างเป็นทางการ เสียที

——————-

จริงอยู่ว่า ในโอกาสที่ผ่านมา ผมเคยลองขับฟอร์ด บางรุ่น

แต่ยังไม่มีโอกาสรีวิวอย่างเป็นกิจลักษณะ ทำได้แต่เพียง
ไปทดลองขับ มาให้รู้จักรถไว้บ้าง
มีอยู่เพียงกระทู้เดียว

แต่ในวันนี้ เนื่องในโอกาสที่จะเริ่มต้นรู้จักกันอย่างเป็นทางการ

ผมก็ควรหาโอกาสทดลองขับ รถฟอร์ด รุ่นที่ผมยังไม่ได้มีโอกาสลองมาก่อน เสียที…..

 

 

 

ดังนั้น ในเมื่อ เราจะเริ่มต้นทำความรู้จักกับฟอร์ดกันทั้งที

เราก็ควรจะเริ่มต้นจาก รถที่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก

ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า รถคันนี้ ยังมีขายอยู่ในเมืองไทยด้วย ทั้งที่ออกสู่ตลาดมาแล้ว เกือบๆ 1 ปี!!

ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ

ฟอร์ด เทอร์ริทอรี

 

 

 

เทอร์ริทอรี เป็น เอสยูวีรุ่นใหม่
อันเป็นผลผลิตของ ฟอร์ด อเมริกัน ที่เดียร์บอร์น
จับมือกันพัฒนากับ ฟอร์ด มอเตอร์ ออสเตรเลีย

เพื่อสร้าง ครอสโอเวอร์ เอสยูวี สำหรับครอบครัว ออกสู่ตลาด ออสเตรเลียเป็นหลัก

ออกสู่ตลาดออสเตรเลียมาได้ 1-2 ปีแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในสหรัฐอเมริกา ถ้าคุณเห็นเอสยูวี
ที่มีรูปลักษณ์คล้ายเจ้า เทอร์ริทอร์รี คันนี้

โปรดรับทราบไว้ได้เลยว่า
นั่นคือ ฝาแฝดร่วมโครงการ  เปลี่ยนหน้าตาใหม่
ให้เข้ากับรสนิยมของอเมริกันชน และเปลี่ยนนามกรใหม่ว่า

ฟอร์ด ฟรีสไตล์ (Ford Freestyle)  นั่นเองครับ

 

 

ในเวอร์ชันไทย นำเข้ามาขายสำเร็จรูปจากออสเตรเลีย ด้วยราคา 2.95 ล้านบาท

ราคาที่ต่ำลง ส่วนหนึ่งมาจากผลของการเจรจา FTA ระหว่างรัฐบาลไทย-ออสเตรเลีย

 

 

รุ่นที่ขายในเมอืงไทยขณะนี้

มีอยู่ 5 สี

คือ สีทอง แคชเมียร์
สีเงิน เมอคิวรี
สีดำ ซิลลูเอตต์
สีขาว ฤดูหนาว (Winter)
และสีเงิน Lightning strike

แล้วเจ้าสีฟ้าคันนี้มันมาได้อย่างไร?

อ๋อ เป็นสีของรถเดโม ครับ
สีนี้ ถ้าคุณอยากได้ ก็ต้องเสียใจด้วยที่จะบอกว่า ไม่มีขายในเมืองไทย

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ มันจึงเป็น คันเดียวในเมืองไทย
ที่พ่นสีนี้ จากโรงงาน

ผมจึงไม่แปลกใจ ที่เวลาขับรถคันนี้ไปที่ไหน จึงมีคนมองอยู่ไม่น้อย

และคนที่มองนั้น ส่วนใหญ่ เป็นคนที่ใช้รถเอสยูวียี่ห้ออื่นๆอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นคนที่สนใจเรื่องรนถ

สนใจมากพอที่จะเห็นผมขับเจ้าจิงโจ้ยักษ์นี่อยู่ แล้วก็มาตั้งกระทู้ถามถึงกันในรัชดา

อิอิ

 

 

 

ตลอด 5 วัน 4 คืน ที่ผมพาเจ้าจิงโจ้ยักษ์ตัวนี้ มาซุกหัวนอนไว้ในโรงรถเล็กๆ หลังคาแดงๆ อันอบอุ่นของบ้านผม

ผมพบว่า ท่ามกลางสิ่งที่ผมพบเจอจนกลายเป็นมาตรฐานของเอสยูวีราคาแพงๆทั่วไป

ทั้งเรื่องการกินน้ำมันที่เล่นเอาผมคิดหนัก ไปจนถึง อัตราเร่งที่พุ่งกระโจนทันทีอย่างเหลือเชื่อ

ผมพบว่า เจ้าจิงโจ้ยักษ์คันนี้ ยังมีสิ่งแปลกๆน่าสนใจอีกมากมาย
ที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ร่างอันมหึของมัน….

มิเช่นนั้น ฟอร์ด ประเทศไทย คงไม่ส่ง เทอร์ริทอรี่คันนี้

ไปเป็นพาหนะ รับรอง นักร้องชื่อดังอย่าง Rain ในระหว่างพำนักที่เมืองไทย หลังจากที่ผมคืนรถคันนี้ให้ฟอร์ดไป

ไม่กี่สัปดาห์นั่นหรอก!

 

 

 

 

..ภายใต้รูปร่างอันดูเหมือนจะเรียบง่ายๆ ติดเชยนิดหน่อยตามสไตล์ฟอร์ด (แต่ผมชอบเส้นสายเรียบๆแบบนี้มาก
ยกเว้น ด้านหน้าที่เรียบร้อยไปหน่อย)

ขนาดตัวถัง
ยาว 4,856 มิลลิเมตร
กว้าง 1,898 มิลลิเมตร
สูง 1,714 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ 2,842 มิลลิเมตร
ความสูงจากพื้นดินจนถึงพื้นตัวถั้ง 179 มิลลิเมตร

ผมสงสัยมานานแล้ว เรื่องงานดีไซน์ของฟอร์ด

คือ ผมเชื่อว่า ทีมออกแบบของฟอร์ดนั้น มีวิสัยทัศน์ที่ดี
และมีคมเขี้ยวในการออกแบบรถเยอะมาก

แต่การจะฝังเขี้ยวเลบของตนไว้ในใจของลูกค้า เพียงแว่บแรกที่ได้เห็นรูปโฉมของรถคันจริง หรือแม้แต่คันที่ถ่ายภาพะเพื่อการโฆษณา

ที่ผ่านมา แทบจะนับรุ่นได้เลย ว่า มีรุ่นไหนบ้าง

จากอดีตกาล ก็มี ธันเดอร์เบิร์ด มัสแตง ลินคอร์น คอนติเน็นตัล

ถ้าในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็มี
โฟกัสรุ่นแรก
ฟอร์ด-กา (KA)
พูมา

และ…..เอ่อ ผมนึกต่อไม่ออกจริงๆ…..

ฟรีสไตล์ก็คือรถเอสยูวีของฟอร์ด อีกคันหนึ่ง
จากดีไซน์เนอร์ของผู้ผลิตรถยนต์ ที่พักหลังมานี้ ถนัดทำแต่เอสยูวีขายเป็นหลัก

ดีไซน์เนอร์ ที่ผมสงสัยว่า วันๆนึง มันกินแต่นมสดหนองโพ รสจืด เป็นอาหารหลักหรือเปล่า?

 

 

 

 งานออกแบบนั้น จุดที่ผมชอบที่สุดบนตัวถังของเทอร์ริทอรี

คือจุดนี้ครับ มันลงตัวที่สุด และเป็นจุดที่ฉายให้เห็นถึงเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้อย่างชัดเจนที่สุด

 

 

อีกประเด็นที่ผมชื่นชอบคือ การออกแบบภายใน

รถบางรุ่น ภายนอกสวย แต่ภายใน ไม่เข้าท่า
รถบางรุ่น ภายในหรูหรา แต่ทว่าภายนอก ห่วยแตก ไปเกลามาใหม่เสียยังจะดีกว่า

แต่ เทอร์ริทอรี เป็นรถรุ่นหนึ่ง ในหลายๆรุ่นบนพื้นภิภพนี้
ที่ มีการออกแบบ ภายนอกกับภายใน ให้สอดคล้องสัมพันธ์กันอย่างลงตัว และเหมาสมดีแล้ว

 

 

ทว่า อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆนั่นละครับ

คือเรื่องแปลกๆที่คุณจะพบได้จากเทอร์ริทอรี

เบาะนั่งคู่หน้า นั่น

รถราคา 2.95 ล้านบาท แต่มีเบาะนั่งปรับด้วยไฟฟ้า เฉพาะคนขับเท่านั้น

 

 

แต่ใครที่เตรียมง้างปากจะบ่นว่า “ช่างไม่เท่าเทียมกันเอาเสียเลย” นั้น

หยุดก่อน ท่านทั้งหลาย!

ที่ว่าเบาะคนขับปรับได้ด้วยไฟฟ้าหนะ  มันปรับได้แค่
เลื่อนตำแหน่งเบาะรองนั่ง ขึ้นหน้า-ถอยหลัง
พร้อมตั้งความจำตำแหน่งได้ 3 หน่วย Memory เท่านั้น

ขอย้ำ เท่านั้น!!

เพราะสิ่งที่จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความเท่าเทียมกัน
ระหว่างสิทธิของคนขับกับผู้โดยสาร ในเทอร์ริทอรี คือ

การปรับพนักพิงให้เอนได้นั้น

คุณต้องออกแรงหมุน หมุน และหมุน ที่มือหมุนตามจุดที่เห็นในรูปนี้ ด้วยกันทั้งคู่!!!

ฮ่วย แล้วอย่างนี้จะทำเบาะปรับด้วยไฟฟ้ามาอีหยังหว่า!

 

 

 แต่กระนั่น ไม่ต้องเป็นกังวลไป ว่า ตำแหน่งเบาะนั่งจะใกล้เกินไป หรือไกลปืนเที่ยง

เพราะงานนี้ ฟอร์ด ทำในสิ่งที่เรา คาดไม่ถึงจนได้ครับ!

ฟอร์ด ออสเตรเลีย ใส่อุปกรณ์ชิ้นนี้มาให้ด้วย!

แป้นเบรก และแป้นคันเร่ง ปรับเลื่อนได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า!!

รูปนี้ ตอนที่ยังปรับเลื่อนไปไว้ลึกสุด

 

 

และนี่คือตอนที่ผมกดเลื่อนเข้ามาจนสุดแล้ว

ดูในรูป อาจไม่เห็นความแตกต่างนะครับ

ต้องลองสัมผัสเอง

ในเมืองไทย รถที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ว่านี้ มีไม่กี่รุ่นเท่านั้น

และเป็นรถยนต์ระดับหรูหราอู่ฟู่อ้าฝ้า ทั้งนั้น

แต่เทอร์ริทอรี มีให้ครับ!!!!!!

ทุกสิ่ง เป็นไปได้ที่ฟอร์ดจริง!!

 

 

 

มาดูเบาะคู่หลังกันบ้างครับ

เป็นธรรมดาของลูกค้าที่ซื้อ เอสยูวี จะคาดหวัง
ถึงความอเนกประสงค์ในการพับเบาะ

และจะยิ่งดีถ้ามีเบาะแถว 3 มาให้….

 

 

ฟอร์ดเขาก็มีให้คุณครับ!

ถ้าคุณอยากได้เบาะแถว 2 ที่แข็ง และให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับเอสยูวีชั้นดี อย่าง เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ซูเปอร์ชาร์จ 390 แรงม้า แล้ว

ขอแนะนำ เทอร์ริทอรี ครับ

คุณจะรู้สึกว่ามันแข็งปั๋ง ไม่ค่อยต่างกันเท่าใดนัก!

พนักศีรษะ หลายๆคนบ่นว่าไม่ค่อยสบายเท่าไหร่

ถ้าคุณนั่งแล้วรู้สึกว่าไม่สบาย

นั่นหมายความว่า คุณต้องนั่งวิช แล้วบ่นแบบเดียวกัน

เพราะรูปร่างหน้าตาของพนักศีรษะ เบาะด้านหลังของรถสมัยนี้ มันกลายเป็นแบบนี้ไปหมดแล้ว
ด้วยเหตุผลทั้งในด้านความสวยงาม ความเรียบร้อยในการพับเบาะ
และความปลอดภัยที่กลายมาเป็นข้ออ้างของผู้ผลิตทั่วๆไป

 

 

แต่สิ่งที่ฟอร์ดให้มา

ก็คือ…

ที่วางแขน ตรงกลาง

ชุดเบาะฝั่งซ้าย-ขวา เลื่อนปรับขึ้นหน้า ถอยหลัง และปรับเอนนอนได้ แยกอิสระออกจากกัน

 

 

และที่สำคัญ เทอร์ริทอรี เป็นเอสยูวีแบบ 7 ที่นั่ง
นะครับ

การเข้าออก?

ดึงก้านโยกสีแดงๆ ในรูปนั่นละครับ

ดึงให้ดีๆครับ ใช้ความพยายามสักหน่อย

เพราะในเมื่อฟอร์ดไม่ได้ให้คู่มือผู้ใช้รถติดมาด้วย
เพราะคิดว่า ผมต้องเก่งแล้วแน่ๆเลย

แต่ฟอร์ด ยังเข้าใจผิดครับ ฮ่าๆ

เพราะความจริงก็คือ ผมกับ ตาโป่ง พีอาร์ของฟอร์ด ช่วยกันคลำหาวิธีการพับเบาะ กันอยู่พักใหญ่ๆ ตอนรับรถ อยู่ดีๆครับ!

 

 

ชุดนี้เป็นของเบาะฝั่งขวา

 

 

กลไกการเลื่อนเบาะแถว 3 นั้นน่าสนใจ และผมว่าเป็นไอเดียที่แปลกดี

คือ ถ้าคุณจะดึง เบาะขึ้นมาใช้งาน จากเดิม ที่เก็บซ่อนไว้

ต้อง ดึงพนักพิงหลังขึ้นให้ได้ก่อน และนั่นจะทำให้คุรเสียเวลานานไม่น้อย เพราะต้องออกแรงเยอะ

ส่วนเบาะรองนั่ง? ถูกเก็บซ่อนไว้ด้านใต้เบาะอีกที แยกออกจากกัน
กับพนักพิงหลัง ดังนั้น คุณควรจะใช้มือ ออกแรง ดึงเลื่อนเข้าหาตัว
ให้มันโผล่ออกมาจากที่ซ่อน

เมื่อนั้น คุณจะได้เบาะนั่งแถว 3 ที่ให้พื้นที่การวางขา
ไม่ได้ต่างอะไรกับ SUV ประเภท PPV อย่าง เอเวอร์เรสต์
ฟอร์จูเนอร์ และมิว 7 เลย!!!

คือต้องนั่งชันขาแน่ๆ

มีน้องผู้หญิงอย่างน้อย 2 คน ทดลองขึ้นไปนั่ง
และต้องนั่งในลักษณะชันขาบ้าง สลับกับ พับเพียบเสียด้วยซ้ำ

แต่พื้นที่เหนือศีรษะ ถือว่าทำได้ดีครับ

เอิ๊กๆ

 

 

ประตูห้องเก็บของด้านหลัง แยกเปิดได้ทั้งกระจกบังลม เพียงอย่างเดียว เพื่อยกถุงช้อปปิ้ง วางเข้ารถ

 

 

 

 

 หรือจะเปิดยกขึ้น แบบปกติ เพื่อยกข้าวของสัมภาระขนาดใหญ่ใส่เข้าไปในห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง

 

ผู้โดยสารแถว 2 จะโชคดีหน่อย ตรงที่มี ช่องแอร์ด้านหลังคอนโซลกลาง

ไว้เป่าให้เย็นใจเย็นกาย ช่วงกำลังตรวจการไปบนถนนประตูน้ำ ช่วงบ่ายโมงตรง…

พร้อมแหล่งจ่ายไฟ ให้กับของเล่นที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ

เช่น Playstation…….

 

 

 

แล้วกล่องคอนโซลกลางจะลึกแค่ไหน?

ดูจากความสูงของสมุดบันทึก และกล่อง ซีดี ที่ผมตั้งใจเล็งไว้แบบนั้นแล้วกันนะครับ

 

 

มาดูสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องโดยสารกันบ้างดีกว่า 

 

 

แผงหน้าปัดดูเรียบง่าย

แต่ชวนให้นึกถึง คู่แข่งร่วมชาติ อย่าง โฮลเด้น คอมอ์ดอร์ส / เชฟโรเลต ลูมินา รุ่นที่แล้วอย่างห็นได้ชัด

งานตกแต่งภายรวมถือว่าทำได้ดีครับ 

 

 

 

บนพวงมาลัยทั้ง 2 ฝั่ง มีสวิตช์ อยู่ครับ

ฝั่ง ขวา เป้นระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control

ฝั่งซ้าย ไว้ควบคุมชุดเครื่องเสียง

 

 

ชุดมาตรวัด ที่ผมชอบมาก

เพราะสีพื้น มันเหมือนกับรองเท้า Nike คู่ใหม่ที่ผมเพิ่งซื้อเมื่อปีใหม่มานี้เอง

 

 

ถัดลงมาจากชุดมาตรวัด

ฝั่งซ้าย

ด้านบน เป็นสวิชต์ ไฟฉุกเฉิน ที่ไปตั้งในตำแหน่งแปลกๆ

ด้านล่าง เป็นสวิชต์ของระบบควบคุมความเร็ว ขณะขับลงทางลาดชัน

 

 

 

ฝั่งขวานั้น

ด้านบน เป็นสวิชต์ ปรับความสว่าง ของชุดมาตรวัดในยามค่ำคืน

ด้านล่าง?

สวิชต์เปิดฝาถังน้ำมันแบบไฟฟ้า ย้ายขึ้นมาไว้ในตำแหน่งที่ผมถึงกับต้องโทรหาตาโป่ง

เพื่อจะถามว่า ที่เปิดฝาถังน้ำมัน มันอยู่ไหน !!!

และด้านล่าง คือสวิชต์ ไฟตัดหมอก ที่แถมมาให้กับตัวรถครับ

 

 

ใต้ชุดควบคุมระบบปรับอากาศ เรียงจากซ้ายไปขวา

– สวิชต์เปิด-ปิด ระบบป้องกันการลื่นไถล DSC (Dynamic Stability Control)
– สวิชต์ ล็อก และปลดล็อกประตู (ทำไมต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วย แทนที่จะไปอยู่ที่บานประตูคนขับ)
– สวิชต์ เปิด-ปิด ไฟในเก๋ง (โอ้ ไฮโซมากๆ มีการดีเลย์ ทั้งตอนเปิดและปิดด้วยนะ)
– สวิชต์ เลือกแสดงผล Trip meter

แสดงผลบน จอมอนิเตอร์ แสดงผล บนคอนโซลกลาง อันเป็นจุดขายหลักของเทอร์ริทอรี

แสดงผลร่วมกับ เครื่องปรับอากาศ แบบแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา ที่ไม่ได้เย็นฉ่ำ แบบรถทั่วๆไป และคุณควรจะทำใจไว้สักหน่อย ว่าเย็นแน่ๆ แต่ไม่ถึงกับเย็นฉ่ำสะใจ

ไปจนถึง การทำงานของชุดเครื่องเสียง พร้อมเครื่องเล่น CD แบบ 6 แผ่นในตัว

 

 

ในยามปกติ ทันทีที่ติดเครื่องยนต์แล้ว
หน้าจอจะขึ้นสัญลักษณ์ของฟอร์ด

และขึ้นหน้าจอหลักแบบนี้มาให้

ระหว่างชมภาพนี้

สังเกตปุ่มที่ใต้หน้าจอให้ดีนะครับ

 

 

ผมว่า ปุ่ม ควบคุม ที่ให้มาบริเวณหน้าจอนั้น มันชวนให้นึกถึงปุ่มของ

โทรทัศน์สี Philips TrendSet รุ่นเมื่อ 20 ปีก่อนนี้เลย

เจ้าทีวีเครื่องที่ว่า ก็ยังคงตั้งอยู่ในห้องนอนบ้านผมนั่นละครับ

อิอิ

 

 

ถ้าปรับระดับเสียง หน้าจอก็จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยชั่วคราว แบบนี้
 
 
 
เวลาเล่นวิทยุก็จะเป็นแบบนี้
 
 
 

ถึงจะเป็นเครื่องเสียงที่ฟอรืด บอกว่าเป็นระดับ Primium Sound

แต่ขอบอกว่า คุณภาพเสียงนั้น ยังไม่ดีเท่าที่รถระดับนี้ควรจะมีมาให้เลย

ภาควิทยุนั้น รับได้ในระดับโอเค
แต่เสียงที่ออกมา ค่อนข้างไม่ดีครับ

ซีดี ฟังมาจนเกือบจะหมดล็อตของใหม่ที่บ้านแล้ว

แคลอรีส์ บลา บลา ชุดแรก เพลง ถามดาว Northstar
คือเพลงที่ผมว่า ดีที่สุดเท่าที่เครื่องเสียงชุดนี้จะขับเสียงออกมาได้

อีควอไลเวอร์ เลือกได้แค่ จะให้เป็นเสียงแบบ Studio แห้งๆ
หรือจะเอาเสียง Hall แบบกังวานหน่อย

หรือจะเอาแบบ Stadium ที่ เอคโค่เยอะสุดๆ

ปรับอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว  เฮ้อ…

 

 

อันที่จริงก็ปรับได้แหละครับ

 

 

 

ผมปรับเสียงทุ้ม หรือเสียงเบสสุดแล้ว

 

 

ปรับเสียงใสสุดแล้ว 

 

 

ปรับความสมดุล ทั้ง หน้า-หลัง ซ้าย-ขวา หมดแล้ว

เสียงก็ไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิมแต่อย่างใด

 

 

แต่ที่สำคัญคือ

มีกล้องส่องด้านท้ายรถ ช่วยให้การถอยหลังเข้าจอดปลอดภัยยิ่งขึ้น 

 

 

 บนเพดาน จะมีช่องเก็บแว่นตา ไฟส่องแผนที่

 

 

ที่ถ่ายมุมนี้มาให้เห็น

เพื่อให้เห็นกันไปเลยว่า  มีฝุ่นคราบดำๆครับ

อันเป็นเรื่องปกติของการจับตัวของคราบฝุ่นละอองธรรมดา กับชิ้นงานพลาสติก

ไม่ใช่เรื่องที่ต้องน่าซีเรียส ขนาดที่ใครบางคน
ต้องยกมาโจมตี โตโยต้า ฟอร์จูเนอร์ อย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั่นแต่อย่างใด!!

เช็ดออก ก็จบแล้ว
และการสะสมแบบนั้นได้ ก็ต้องใช้เวลา ซึ่งนานนนนนน
เอาเรื่อง เว้นแต่คุณจะเช็ดขจัดคราบครั้งแรกไม่สะอาดเท่านั้นเอง

 

 

ทัศนวิสัยรอบคันนั้น

เสาหลังคาคู่หน้าไม่ใช่ปัญหาครับ

แต่กระจกส่องข้างนั้น หลอกสายตามากๆ แม้จะมีเตือนแล้วว่า วัตถุในกระจก จะมีระยะใกล้กว่าของจริง ก็ตาม

 

 

 

นี่ก็ไม่มีปัญหา ยกเว้นกระจกมองข้างที่หลอกสายตาเอาเรื่อง

เหมือนเจ้า เชฟโรเลต ลูมินา นั่นละครับ เป๊ะเลย

 

 

ส่วนด้านหลัง

เห็นศีรษะคนไหมครับ

โปร่งตาก็จริง แต่รถประเภทนี้ มีจุดบอดปกติเยอะนะครับ ต้องระวังไว้หน่อย

นี่ขนาดว่า เทอรืริทอรี มีจุดบอดสายตาน้อยกว่าชาวบ้านเค้าแล้วนะ

 

 

จุดที่ผมชอบมากที่สุด อีกจุดคือ ช่องใส่ขวดน้ำข้างประตู

มียางยืดเข้า-ออกได้ ตามขนาดขวด

ผมกับเจ้า LTK หรือตาเบสท์ ในรัชดา ห้อง D.I.Y
เราก็เลยดัดแปลงมาเป็น ที่ใส่ ไส้กรอก

แบบนี้……

คิคิ 

 

คอนโซลกลางยามค่ำคืน

 

 

 

ไฟในเก๋งให้มาอย่างสะใจเลยทีเดียว

และการเปิดไฟเพดานนั้น

สวิชต์เปิด ไปอยู่ใต้แผงควบคุมแอร์ ตรงคอนโซลกลาง ในรูป คห.42 นั่นละครับ

วัสดุหุ้มเพดาน ก็ถือว่าดีครับ

เหมือนกับ รถระดับราคา 1.5 ล้านบาทขึ้นไปที่ประกอบในบ้านเรา คือมีวัสดุนุ่มๆ มาบุไว้เป็นผิเวสัมผัสด้านนอก

ส่วนพวก ใยมะพร้าวรีไซเคิล ก็ซ่อนไว้ด้านในตามระเบียบ

รายละเอียดต่างๆ นอกเหนือจากนี้ เชิญที่ http://www.Ford.co.th ครับ

 

 

 

*** รายละเอียดด้านวิศวกรรม และการทดลองขับ ***

ทันทีที่เปิดฝากระโปรงหน้า
ผมผงะ และถึงกับฮาไปก๊ากนึง

ก็ดูห้องเครื่องยนต์สิครับ
ออกแบบได้ Very Ford จริงๆ!!

ห้องเครื่องของรถฟอร์ด ในยุค 1980-1990 เป็นอย่างไร เทอร์ริทอรี ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่

 

 

 

ขุมพลัง เป็นเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียง
ขอย้ำว่า ไม่ใช่ V6 นะครับ เป็น 6 สูบเรียงเลย
DOHC 24 วาล์ว 3,984 ซีซี
หัวฉีดแบบ Sequential Multipoint Electronic

ฟังดูเหมือนเครื่องใหญ่ สไตล์อเมริกัน แรงม้าน่าจะน้อย?

ไม่นะ

เพราะกำลังสูงสุด ปาเข้าไปถึง
255 แรงม้า (PS) ที่ 5,250 รอบ/นาที ทีเดียวเชียว!

แรงบิดสูงสุด 383 นิวตันเมตร (39.02 กก.-ม.) ที่รอบต่ำเพียง 2,500 รอบ/นาที

 

 

เครื่องยนต์ดังกล่าว ยังติดตั้งระบบแปรผันวาล์ว Dual Independence Variable Cam Timing
ทำงานที่หัวแคมชาฟต์  

ส่งกำลังด้วย เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมด บวก/ลบ Sequential Sport Mode จาก ZF
ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบ ขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel Drive แบบ Acutrac กระจายแรงบิดสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างต่อเนื่อง

อัตราทดเกียร์

เกียร์ 1 =              4.171
เกียร์ 2 =              2.340
เกียร์ 3 =              1.521
เกียร์ 4 =              1.143
เกียร์ 5 =              0.867
เกียร์ 6 =              0.691
เกียร์ถอยหลัง =      3.403
อัตราทดเฟืองท้าย = 3.46

 

 

 

มาลองหาอัตราเร่งกันดีกว่า

ผู้ร่วมทดสอบ พร้อมกับสักขีพยานในตัว
คือ น้องกล้วย หรือ “BnN” หนึ่งในสมาชิกทีมThe Coup ของเว็บไซต์เ้รา

น้ำหนักตัวผม 90 + น้องกล้วย ประมาณ 48 = 138 กิโลกรัม

ทดสอบแบบเปิดแอร์เช่นเคย
ความดันลมยางอยู่ในสภาพปกติอยู่ที่ 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ผมตัดสินใจเติมเพิ่มเข้าไปจนอยู่ที่ 32 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว

บอกไว้ก่อนว่า ผมรับรถคันนี้ออกมาตั้งแต่เลขกิโลเมตรยังอยู่ระดับ 14,000 กิโลเมตร กลางๆ และผ่านมือมาหลายมือแล้ว

และการทดสอบครั้งนี้ ใส่เกียร์ D เป็นหลักอย่างเดียว
ไม่ได้ทดสอบในโหมด บวก/ลบ มาให้ด้วยแต่อย่างใด
เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ตัวเลขออกมามีดังนี้ครับ

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ครั้งที่ 1     9.24  วินาที
ครั้งที่ 2     9.47  วินาที
ครั้งที่ 3     9.53  วินาที
ครั้งที่ 4     9.31  วินาที

เฉลี่ย  9.38 วินาที

อัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(80 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ เกียร์ 6 ที่ 1,500 รอบ/นาที )

ครั้งที่ 1     7.83  วินาที
ครั้งที่ 2     7.48  วินาที
ครั้งที่ 3     7.73  วินาที
ครั้งที่ 4     7.57  วินาที

เฉลี่ย 7.65 วินาที

ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์

เกียร์ 1    50  กิโลเมตร/ชั่วโมง  @ 5,400  รอบ/นาที
เกียร์ 2    93  กิโลเมตร/ชั่วโมง  @ 5,600  รอบ/นาที
เกียร์ 3  135  กิโลเมตร/ชั่วโมง  @ 5,500  รอบ/นาที
เกียร์ 4  180  กิโลเมตร/ชั่วโมง  @ 5,400  รอบ/นาที

ความเร็วสูงสุดอยู่ที่เกียร์ 5 ความเร็ว 184 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 4,400 รอบ/นาที

ความเร็วรอบเครื่องยนต์ที่เกียร์ 6
100 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 1,900 รอบ/นาที
110 กิโลเมตร/ชั่วโมง @ 2,050 รอบ/นาที

 

 

พูดกันแบบไม่อ้อมค้อม

จิงโจ้ติดล้อคันนี้ จะป่าเถื่อนหรือจะน่ารักน่าเอ็นดูแค่ไหน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้าของคุณที่กดลงไป บนคันเร่งที่ค่อนข้างแข็ง

และมีแรงต้านที่เท้าเยอะ จนดูน่าจะเป็นคันเร่งสายมากกว่าจะเป็นลิ้นเร่งไฟฟ้า

ถ้ากดเบาๆ คันเร่งจะตอบสนองช้า แนวเดียวกันกับ แป้นคันเร่งของ แคมรีใหม่ ยาริส และ ซีอาร์-วี โฉมใหม่

เหมือนมันจะยั้งคิด รอประมวลผล แล้วค่อยสั่งจ่ายน้ำมัน
ตามเท่าที่ ECM ประมวลผล

แต่ถ้าคุณกดไปสัก 2 ใน 3 ของคันเร่ง
และกำลังออกจากปากซอย

แรงบิดมหาศาลของเจ้าจิงโจ้ยักษ์ จะพาคุณโจนทะยานออกไป แถมด้วยการสะบัดหางเพองาม
ให้คุณถอนเท้าออกจากคันเร่งเสียด้วยซ้ำ
ถ้าคุณไม่ได้สั่งเปิดระบบ DSC เอาไว้

การเร่งแซงนั้น จะช้าหรือไม่ ไมได้อยู่ที่เครื่องยนต์แล้ว
เพราะเครื่องยนต์นั้น ให้แรงบิดมหาศาลเอาเรื่อง
พอจะฉุดลากตัวรถที่มีน้ำหนักรวม มากถึง 2,125 กิโลกรัม
หรือ 2.1 ตันเศษ ขับเคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็วระดับแล่นฉิวๆ ได้อย่างชิล ชิล

แต่อยู่ที่ การตอบสนองของคันเร่งมากกว่า

พักนี้ผมเจอรถที่มีปัญหาการตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้า
ที่ช้าเกินงาม แบบนี้อยู่เนืองๆหลายคันแล้ว

และเทอร์ริทอรี ก็เป็นหนึ่งในนั้น

—————————-

การเปลี่ยนเกียร์เกือบจะเรียกได้ว่านุ่มนวลแล้ว
แต่ยังพอจะมีอาการกระตุกบ้างนิดหน่อย
และส่วนนึง อาจเป็นเพราะการเสื่อมสภาพตามเวลา
ในฐานะรถเดโม สำหรับนักข่าว

—————————-

น้ำหนักพวงมาลัยนั้น ค่อนข้างหนัก
และไม่ใช่เรื่องง่ายๆสำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ที่จะหมุนพวงมาลัย
ของเทอร์ริทอรี ได้ด้วยครั้งเดียว

เลิกฝันไปได้เลยครับ

น้ำหนักพวงมาลัยของเทอร์ริทอรีนั้น หนักตลอดศก ให้ความแม่นยำ และให้น้ำหนักที่ดีมาก สำหรับคนอย่างผม
แต่ผู้บริโภคทั่วไปอาจจะไม่ชอบพวงมาลัยที่หนักเกินไป อย่างนี้….

—————————-

ระบบกันสะเทือนหน้า แบบ อิสระ Virtual Pivot Control Link

ด้านหลัง แบบ Control Bade Multi-Link

ให้การตอบสนองที่ นุ่มนวล และหนักแน่น ไปในเวลาเดียวกัน ตามสไตล์ของ เอสยูวี ที่มีจุดศูนย์ถ่วงอยู่สูงนิดนึก
แม้จะไม่มากนักก็ตาม

ทว่า ความนุ่มนวลนั้น คล้ายคลึงกับความรู้สึกที่พบได้ในแลนด์โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี 3 พี่น้องร่วมสาบาน ที่พลัดพรากกันไป นั่นคือ ขณะที่รถแล่นไป ทั้งที่ล้อติดพื้นถนน
แต่การยืดและยุบตัวของระบบกันสะเทือนนั้น เกิดขึ้นอย่างอิสระจากกัน และไม่สม่ำเสมอกัน

หลายคนจึงรู้สึกเหมือนกับว่า รถโคลง ทั้งที่จริงๆแล้ว ไม่ได้โคลงแต่อย่างใด

ส่วนหนึ่งพอก้มไปดูที่ยางติดรถ

ยางที่ติดรถมานั้น เป็นของ Goodyear ชื่อรุ่น Fortera
235/60R17

ผมก็บางอ้อเลย

ก็เขาทำออกมา “For เถระ” ไง กะให้พระสงฆ์องค์เจ้า ได้นั่งนิ่มๆ สบายๆหน่อย กระมัง

————————

ระบบเบรก ดิสก์ 4 ล้อ พร้อมรูระบายความร้อนทุกล้อ
เซ็ตน้ำหนักแป้นเบรก และการตอบสนองของระบบเบรกมาค่อนข้างดีมากอยู่แล้ว หน่วงความเร็วได้กำลังดี
เบรกลึก ๆก็ชะลอรถได้เร็ว

 

 

*** การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ***

คราวนี้ เรามีแขกรับเชิญเป็นกรณีพิเศษครับ

ตา LTK หรือ เบสท์ นักเขียนประจำคอลัมน์ D.I.Y ของ Headlightmag.com นัี่่นเ้อง

เรื่องมันมีอยู่ว่า นัดกันจะไปดูรถ Civic LX-S ที่ตอนนั้นเจ้าตัวยังไม่ขาย

(ตอนนี้ขายไปแล้วด้วยราคาต่ำจนน่าเศร้าใจ)

เลยคิดว่า ไหนๆก็ไหนๆ มาช่วยนั่งเป็นหุ่น สำหรับทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วยเลยจะดีกว่า

ผมหนัก 90 + ตาเบสท์ หนัก 60 รวมแล้วก็ 150 กิโลกรัม

ตามมาตรฐานเป๊ะ

 

 

 

ใช้มาตรฐานเดิมครับ

เติมน้ำมัน ออกเทน 95

ปั้มเอสโซ พระราม 6

ขึ้นทางด่วนพระราม 6 ขับไปลงเชียงราก เลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วน ลงพระราม 6
แล้วย้อนกลับมาเติม 95 ที่หัวจ่ายเดิม

เปิดแอร์ นั่ง 2 คน

ลมยาง 30 ปอนด์/ตารางนิ้ว ตามมาตรฐานโรงงาน

 

 

 

รักษาความเร็วคงที่ไว้ ที่ 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิด Cruise control เพื่อให้ลิ้นปีกผีเสื้อเปิดได้นิ่งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ 

 

 

 

และเมื่อแล่นครบระยะทาง เราก็ย้อนกลับมาเติมน้ำมันกลับเข้าถัง ที่ปั้ม เดิม หัวจ่ายเดิม เป๊ะ 

 

 

 

สรุปตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยได้ดังนี้

ระยะทางบนมาตรวัด     87.8 กิโลเมตร
ปริมาณน้ำมันเติมกลับ   9.156  ลิตร

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย  9.58 กิโลเมตร/ลิตร

ตัวเลขขนาดนี้

ถ้าคิดเสียว่า เป็นเอสยูวีเครื่องยนต์ 4,000 ซีซีแล้ว

ขอบอกว่า ประหยัดกว่า วอลโว XC90 T6 และเรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต อย่างแน่นอน

แต่กินกว่า นิสสัน มูราโน คู่แข่งที่แท้จริงของมันนิดหน่อย

 

 

 

********** สรุป **********

“จิงโจ้ยักษ์ติดล้อ พกความแปลก ไว้เต็มกระเป๋าหน้าท้อง”

อย่างที่ทราบกันดีครับ  จิงโจ้ แม้จะดูน่ารัก เรียบๆเฉยๆ
แต่ก็มีเอกลักษณ์ในตัวของมันเอง

และการพุ่งกระโดด โจนทะยาน ของจิงโจ้นั้น ก็ว่องไวกว่าที่เราจะคาดคิด

มีภาพลักษณ์ในคามเป็นครอบครัว อยู่รวมกันเป็นฝูง และ กินเก่งเอาเรื่อง

ผมจึงเลือกจะเอามาเรียกเจ้า ฟอร์ด เทอร์ริทอรี คันนี้

ชื่อรุ่นที่สะท้อนถึงความเป็นออสซี่ ได้อย่างดีไม่เบาทีเดียว

 

 

เพราะนอกจากเครื่องยนต์จะให้พละกำลังมหาศาล
ที่รอบต่ำกำลังดี ราวกับเครื่องยนต์ดีเซลแล้ว
เรียกได้ว่า การขับขี่ เป็นไปอย่างสนุกสนานมาก

หากไม่นับ แป้นคันเร่งที่ตอบสนองช้าจนเกินไปในบางขณะ

และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ยังไม่เป็นมิตรนักเมื่อเทียบกับสภาวะราคาน้ำมันในขณะนี้

พวงมาลัยมีน้ำหนักมาก ให้ความมั่นคงในการขับขี่ แต่ต้องแลกกับความสบายขณะเข้าจอด หรือขับในเมือง

ระบบเบรกหายห่วง ตอบสนองดีทันใจ ในขณะที่ช่วงล่างนั้น ถึงจะหนักแน่น แต่ก็เซ็ตมาในแนวนุ่ม

ชวนให้นึกถึงแลนด์โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี 3

ซึ่งนุ่มและโยนยวบยาบบนทางเรียบ แต่ประเสริฐศรีบนทางลูกรัง

 

 

อย่างไรก็ตาม ความโดดเด่นของตัวรถ ในภาพรวม ไปจนถึง รูปลักษณ์ภายนอก ยังไม่อาจสร้างความสะดุดตา สะดุดใจ ลูกค้าชาวไทยได้มากนัก

สะท้อนให้เห็นถึงปริมาณของรถรุ่นนี้ ที่มีให้เห็นบนท้องถนน จำนวนน้อยมากๆ และ ดูเหมือนว่า อนาคต ของรถรุ่นนี้ น่าจะไม่สู้ดีนัก

 

 

อันที่จริง ฟอร์ด ทำรถดีๆ ออกมาหลายรุ่น เพียงแต่ อาจจะไม่ต้องต้าต้องใจ ลูกค้า้บ้านเราเท่าใดนัก ปัญหาทั้งหมดนั้น อยู่ที่ บุคลิกของแบรนด์

ความไว้ใจได้ของศูนย์บริการ การดูแลลูกค้าให้มีความสุข และมีรอยยิ้ม ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ คือพันธกิจที่ฟอร์ด ประเทศไทย จะต้องมุ่งหน้าปรับปรุงต่อเนื่อง

แม้สภาพเศรษฐกิจ จะยังไม่สู้ดี ก็ตาม

 

 

 

กระนั้น

ค่าตัว 2.95 ล้านบาท กับรถยนต์ครอบครัว 7 ที่นั่ง ที่ใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง 4,000 ซีซี ลากน้ำหนักตัวมากถึง 2.1 ตัน อย่างนี้

ถ้าคุณมั่นใจแล้วว่าอยากได้จริงๆ

ก็ถือว่าเป็นรถขับแล้วใช้ได้คันหนึ่ง
แต่ยังไม่ถึงกับน่าประทับใจนัก
เพียงแต่ถือว่าอยู่ในตัวเลือกระดับต้นๆ ได้อย่างไม่เลวร้าย ไม่น่าเกลียด

เอาง่ายๆ

ถ้าอยากได้รถที่มีช่วงล่างอันหนึบแน่น และยวบๆหน่อยๆ แบบแลนด์โรเวอร์ แต่เงินไม่ถึง

ก็เจ้าเทอร์ริทอร์รี นี่ละครับ

 

—————————–///——————————-

 

ขอขอบคุณ

ฝ่ายประชาสัมพันธ์

บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด

สำหรับความเอื้อเฟื้อในครั้งนี้ ครับ

 

 

 

 

J!MMY

สงวนลิขสิทธิ์

เผยแพร่ครั้งแรก ใน www.pantip.com ห้องรัชดา 5 มีนาคม 2007

ดัดแปลงแก้ไข เพื่อนำมาเผยแพร่ครั้งที่ 2 ใน www.headlightmag.com

15 มีนาคม 2009