คุณเคยเชื่อใน อำนาจของ “พลังจิต” ไหมครับ?
ผมว่า ผมเกิดมาเป็นคนที่โชคดีมากอย่างหนึ่ง คือ ถ้าคิดอะไร อยากได้อะไร
ให้คิด ตั้งใจไว้ แล้วลืมมันไปเลย อีกสักพัก หรือสักวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง
10 ปี หรือว่า ยังไงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อยู่ในชาตินี้แหละ ไม่เกินไปกว่านี้หรอก
สิ่งที่อยากให้เป็นนั้น มันจะกลายเป็นความจริง
ฟังดูแล้ว ราวกับมีแก้วสารพัดนึกเลย !
(และในเมื่อพอมีโชคดีอยู่บ้างเช่นนี้
ก็ควรจะหมั่นทำความดี และช่วยเหลือผู้อื่น ที่ตกทุกข์ได้ยาก
หรือลำบากกว่าเรา จริงไหม?)
คราวนี้ เหตุการณ์แก้วสารพัดนึก ก็กลับมาบังเกิดกับผมอีกครั้ง
เพราะขณะที่กำลังคิดอยู่เล่นๆ ช่วงต้นปีนี้ ว่าอยากจะลองขับ
Audi RS4 ให้ได้ในสักวันหนึ่ง
จู่ๆ เช้าวันที่ 23 มกราคม 2008 ขณะที่ผมกำลังสลบสไลอยู่บนเตียง
ก็มีคนใจดี อย่างคุณ โต ลีนุตพงษ์ แห่ง MTM หรือ Motoren Technik Mayer (Thailand)
มอบหมายให้ คุณปรีดา ผู้ช่วยของคุณโต แจ้งให้ผมติดต่อกลับ ตามเบอร์ที่ให้มา
เพื่อนัดหมายวันเวลาที่ลงตัวสำหรับลองขับ Audi RS4 คันนี้…
และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของทริปสั้นๆ แต่มันส์ และเร้าใจยิ่ง ในบ่ายวันรุ่งขึ้น
พฤหัสบดีที่ 24 มกราคม 2008
วันพักผ่อนอันน่าจดจำของผมอีกหนึ่งวันไปเลยทีเดียว
แน่ละ คุณมีรถซีดานพันธุ์ผสมชั้นดีอยู่ในมือ สมรรถนะก็ไม่ธรรมดาเลย ขุมพลัง วี8 4.2 ลิตร FSI
420 แรงม้า ที่ถูกปรับแต่งจนแรงขึ้นอีกด้วยการโปรแกรมกล่อง ECU และเปลี่ยนท่อร่วมไอเสียใหม่
เป็นของ MTM ให้แรงขึ้นอีกเป็น 435 แรงม้า ติดตั้งเชื่อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบ quattro
อันลือเลื่องระบือนามของค่ายสี่ห่วง พร้อมกับการปรับปรุงระบบกันสะเทือน โดย MTM และ
ระบบเบรกรวมทั้ง ชิ้นส่วนหลายชิ้น ยกชุดใช้ร่วมกันกับ Lamboghini Gallardo!
ซึ่งคุณเอง ก็กดคันเร่งไปแบบเรื่อยๆเปื่อยๆ จนเข็มความเร็วกวาดขึ้นไปชี้ที่ตัวเลข
270 กิโลเมตร/ชั่วโมง……!! …และมันยังไปได้อีก เพราะยังไม่ถึงขีดสุดของมัน…!!!
คนบ้ารถที่ไหน มันจะไม่ตื่นเต้นบ้าง (วะ) ?
ถ้าจะย้อนอดีตสักหน่อย ก็คงต้องกล่าวถึง ความเป็นมาอย่างย่อ ของ 2 เส้นทางที่มาบรรจบกันในวันนี้
เส้นทางสายแรก คงจะเป็น เส้นทางของ Audi RS4 แรกเริ่มเดิมทีนั้น Audi พัฒนา ตัวแรงคันนี้ บน
พื้นฐานจากตัวถังสเตชันแวกอน จากตระกูลพรีเมียมคอมแพกต์ของตนในชื่อ A4 Avant และเริ่ม
ทำตลาดเป็นครั้งแรก เมื่อปี 1999 ในฐานะตัวตายตัวแทนของ RS2 พรีเมียมคอมแพกต์แวกอน
ตัวแรงที่ออดี้ จับมือกับ Porsche พัฒนาออกมาร่วมกัน
RS4 รุ่นแรก นั้น เรียกขานกันว่า B5 RS4 มีเฉพาะตัวถังแวกอนในชื่อ Avant เท่านั้น
วางเครื่องยนต์ วี6 DOHC 24 วาล์ว 2,700 ซีซี เทอร์โบคู่ จาก ตัวแรงสุดในระดับบ้านๆอย่าง
ออดี้ S4 แต่ถูกปรับจูนโดย Crosworth ในหลายชิ้นส่วน จนกระทั่งสมรรถนะความแรง
กระโดดขึ้นมาจาก 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) พุ่งพรวดมาเป็น
380 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร (44.83 กก.-ม.) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro
และระบบเบรกที่ปรับแต่งโดย ครอสเวิร์ธ อีกเช่นเดียวกัน ตลอดอายุตลาด ช่วงปลายปี 1999 – 2001
ออดี้ ผลิต RS4 รุ่นแรกออกสู่ตลาด 6,030 คัน
แต่แล้ว ออดี้ ก็ทิ้งช่วงไปเป็นเวลานาน 3-4 ปี ก่อนที่จะปล่อย RS4 เจเนอเรชันที่ 2 คลอดออกมา
เมื่อเดือนมีนาคม 2005 ณ งานเจนีวา ออโตซาลอน โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ A4 รหัสรุ่น B7
อันเป็นรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ ของ A4 รหัสรุ่น B6 ที่คลอดออกมาตั้งแต่ปี 2000 – 2005
Audi เลือกจะเว้นวรรค รุ่น B6 ไป โดยที่เราไม่อาจทราบสาเหตุอันแน่ชัด เพียงแต่ในช่วงนั้น เวอร์ชัน
ร้อนแรงอย่าง S4 และ S4 Avant ยังคงเปิดตัว สู่ตลาดได้ไม่นานนัก
ณ วันนี้ หากคุณเข้าไปเช็คดูใน www.audi.de จะพบว่า ไม่มีตัวถังซีดาน ซาลูน คันที่ผมลองขับอยู่นี้
เพราะดูเหมือนว่าเขาน่าจะชะลอการทำตลาดแล้ว เพราะในเมื่อ A4 ซาลูนเจเนอเรชันใหม่เปิดตัวแล้ว
ก็ไม่สมควรที่ RS4 ซาลูนจะยังคงทำตลาดต่อไป จึงต้อลปล่อยให้มีเหลือแต่ ตัวถัง แวกอน และ เปิดประทุน
ในชื่อ RS4 Avant และ RS4 Cabriolet ตามลำดับ อยู่ประคับประคองกันไปตามลำพัง
ควบคู่กันไป เส้นทางของ MTM ก็เริ่มขึ้นหาใช่อื่นไกลจากรั้วโรงงานค่ายสี่ห่วงนี้ไม่
Roland Mayer อดีตฝ่ายเทคนิคของ Audi A.G. หนึ่งในทีมงานคิดค้นเครื่องยนต์แบบ 5 สูบ
ของออดี้ ผู้ซึ่งช่ำชองกับเทคโนโลยีด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ของค่ายสี่ห่วงนี้ จู่ๆ ตัดสินใจ
ลาออกมาเปิดกิจการ สำนักแต่ง MTM ขึ้นมา
ปี 1992 MTM ได้พัฒนาเครื่องยนต์ 5 สูบของ Audi ให้ผลิตพละกำลังออกมาได้มากถึง 400 แรงม้า
และกลายเป็นเครื่องยนต์เครื่องแรกของออดี้ ที่ทำความเร็วได้ถึง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และสามารถติดตั้งลงในรถยนต์ เพื่อแล่นบนถนนสาธารณะได้ จนกระทั่งในที่สุด MTM ได้รับการรับรอง
ให้เป็น “ผู้ผลิตรถยนต์” ที่สามารถออกเลขเครื่องยนต์ (Engine Number) และเลขตัวถังรถ VIN (Vehicle
Identification Number) ได้
ในบ้านเรา MTM Thailand เป็น 1 ใน ผู้จำหน่าย 40 ประเทศทั่วโลก ที่ได้รับสิทธิ์ในการสั่งนำเข้า
รถยนต์ Audi ที่ปรับแต่งโมดิฟายโดย MTM รวมทั้งชุดแต่งของ MTM และให้บริการหลังการขาย
การซ่อมบำรุงต่างๆ อย่างเป็นทางการ แล้วก็ยังคงให้บริการกับรถสปอร์ต ชั้นดี อีกหลายยี่ห้อ
เข้าไปดูรายละเอียดกันเอาเองนะครับที่ www.mtm-thailand.com
ความดุดันจากภายนอก ที่แต่งเติมด้วยล้ออัลลอย 19 นิ้วลายเอกลักษณ์ของ MTM
พร้อมยาง DUNLOP SP SPORT ขนาด 275/30ZR19 รวมทั้งชุดแอโรพาร์ตบางส่วน
และฝากระโปรงหน้า พร้อมรูระบายอากาศ ทั้งชิ้น ทำจากคาร์บอน เพื่อช่วยลดน้ำหนัก
ทำให้ตัวรถค่อนข้างดุดัน ทะมัดทะแมง
แต่เมื่อคุณเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ มันกลับชวนให้คุณรู้สึกแตกต่างออกไป…นิดหน่อย
แน่นอนว่า ห้องโดยสารยังคงตกแต่งขึ้นจากพื้นฐานของ A4 รุ่นปัจจุบัน ที่ตกรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว
ในเมืองนอก และเมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไป คุณจะพบกับบรรยากาศอันคุ้นเคย จากห้องโดยสาร
ของ Audi แทบจะทุกรุ่น คือ แน่น หนา และดูเหมือนจะคับแคบ แต่กระชับกับสรีระ
เบาะนั่งคู่หน้าของ RS4 เป็นแบบ สปอร์ต เข้ม ราวกับถอดมาจากรถแข่ง ยังไงยังงั้นเลย
ยังสามารถปรับตำแหน่งต่างๆ และปรับดันหลัง ด้วยระบบไฟฟ้า ปรับได้หลายตำแหน่ง
ยกเว้น เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง ที่ยังต้องดึงเหล็กโยก ใต้เบาะยกขึ้น เพื่อเลื่อนเข้า-ออกห่าง
จากพวงมาลัย
รวมทั้งการปรับเอนเบาะ ที่ยังใช้ลูกบิดมือหมุนด้านข้างชุดเบาะ และการปรับความสูงต่ำ
ของเบาะคนขับ ที่ยังต้องใช้ก้านโยก โยกขึ้นโยกลง กระดึ๊บๆ
ชวนให้นึกถึง เบาะนั่งของ Chevrolet Lumina / Holden Commordors รุ่นที่แล้ว เปี๊ยบ!
สรุป ปรับได้แค่รายละเอียดปลีกย่อย แต่ก็ดีแล้ว สำหรับรถที่ต้องการการลดน้ำหนัก
เพื่อเน้นสมรรถนะมากกว่าความหรู
นอกจากนี้ ยังคั่นระหว่าง ผู้ขับ และผู้โดยสาร ด้วย กล่องคอนโซลกลาง ขนาดใหญ่
พอจะใส่กล้อง คอมแพกต์ Canon S3IS ของผมได้ 1 ตัว พร้อมฝาปิดด้านบน
ออกแบบเป็นที่พักแชนในตัว เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้
มันทำให้ผมได้พบสัจธรรมข้อหนึ่งของการออกแบบรถ
นั่นคือ ที่พักแชน ต่อให้เราอยากจะมีแค่ไหน แต่ถ้ามันทำให้เข้าเกียร์ธรรมดา
ลำบากอย่างนี้ บางครั้ง การไม่มีที่พักแขน ผมว่า มันน่าจะเป็นการดีกว่า
ส่วนประตูคู่หลังนั้น ทางเข้าออกดีกว่ารุ่นตัวถังเดิมนิดหน่อย ไม่มากนัก จะว่าไปแล้ว
ในช่วงการก้าวขาเข้าไป มันไม่ต่างจาก BMW 3-Series Saloon E90 เท่าใดนัก แต่ถ้า
มองถึงระยะขอบหลังคา ในการ ก้มหัวให้รอดพ้นจากการเอาหัวไปโขกกับขอบหลังคาละก็
BMW ยังทำได้ดีกว่าอยู่ดี
ประตูคู่หลังนั้น ชวนให้สงสัยว่า จะหนากันไปไหน พี่จะทำรถกันกระสุนด้วยเลยใช่ไหม?
เบาะนั่งด้านหลัง ถือว่า ยังพอให้ความสบายในการเดินทางได้บ้าง
แต่อาจจะมีเมื่อย หากเดินทางไกล และยิ่งเจอพื้นที่วางขา ซึ่งถูก
ขนาดของเบาะคู่น้า บีบแบ่งพื้นที่ กินลึกเข้ามาด้วยแล้ว การวางขา
ให้สบาย ใน RS4 แทบจะกลายเป็นเรื่องที่จำใจต้องลืมมันไปให้ได้
กันเลยจริงๆ อย่างว่าไว้ เป็นรถเหมาะกับคนโสด หรือไม่ก็ครอบครัว
ที่ลูกยังเล็ก เด็กยัง (ตัว) แดง มากกว่า
มีที่วางแขนตรงกลางพับเก็บได้ มีกล่องเก็บของพร้อมฝาปิด และที่วางแก้ว
พับเก็บได้ ขณะเดียวกัน ช่องวางแขนบนแผงประตูด้านข้าง ยังพอให้
ความสบายได้อยู่ มีม่านบังแดด ที่กระจกหน้าต่างทั้ง 2 ฝั่งมาให้ ยกขึ้น
หรือปลดออก ด้วยระบบอัตโนมือ
เพดานบุด้วยวัสดุที่ดี อ่อนนุ่ม และอย่าได้เอามือเลอๆะๆของคุณ
ไปแตะต้องมันเลยทีเดียวเชียว! มันแอบสกปรกง่ายเหมือนกันนะ
แผงหน้าปัด จัดวางอุปกรณ์ต่างๆในตำแหน่งที่เหมาะสม ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม
จะยกเว้นก็แค่ สวิชต์ระบบปรับอากาศ ที่ค่อนข้างอยู่ลึกและค่ำไปสักหน่อย ต้องลดสายตา
จากท้องถนน ลงไปใช้งานอยู่เยอะเหมือนกัน
พวงมาลัยออกแบบพิเศษ จะบอกว่า ทำเฉพาะรุ่นก็คงไม่ใช่ เพราะมันยกมาจาก Lamboghini Gallardo!
เป็น 1 ในบางชิ้นอะไหล่ ที่ Audi สั่งข้าวของจาก Lamboghini มาสลับสับเปลี่ยนแลกกันใช้ กับรถคันนี้
โปรดสังเกตว่ามีปุ่ม S นอกเหนือจาก ปุ่มบวกลบ สำหรับโหมด Multi Function ถามว่า มีไว้ทำไม?
ก็ลองกดดูสิ!
พอกดปุ๊บ คุณจะพบความเปลี่ยนแปลง บริเณเบาะนั่ง บักเก็ตซีต เอกลักษณ์เฉพาะรุ่น บริเวณล็อกต้นขา
จะบีบรัดเข้ามามากขึ้น เพื่อล็อกตัวผู้ขับขี่มากขึ้น และที่สำคัญ เสียงของท่อไอเสีย จะเร้าใจยิ่งขึ้น!
ไม่เชื่อ ไปลองดู!
การติดเครื่องยนต์ ต้องใช้วิธีเสียบกุญแจ ที่คอพวงมาลัยตำแหน่งเดิม หน้าจอระบบ แจ้งข้อมูล
Multi Information Display ที่แจ้งข้อมูลระบบต่างๆของตัวรถ ไปจนถึงการบริโภคเชื้อเพลิงเฉลี่ย
และ Trip Computer ต่างๆ และหน้าจอแสดงข้อมูลของชุดเครื่องเสียง เพื่อลดการละสายตาของผู้ขับ
จะขึ้นหน้าจอ เตือนให้คุณ เหยียบคลัชต์จนสุดด้วยเท้าซ้าย ก่อน
แล้วทิ้งไว้ จน กดปุ่ม START ข้างลำตัว ผู้ขับขี่ บริเวณเบรกมือ เพื่อติดเครื่องยนต์
วุ่นเนอะ ไม่รู้ว่าวิศวกรเยอรมันจะทำให้มันยุ่งยากวุ่นวายทำไม?
อุปกรณ์ต่างๆ นอกเหนือจากถุงลมนิรภัยคู่หน้า ม่านลมนิรภัย เข็มขัดนิรภัยแบบ
Pretension & Load limiter เฉพาะคู่หน้า แล้ว ยังมีสวิชต์ปรับความเข้มแสงของ
แผงหน้าปัด ชุดไฟหน้าแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อม
Rain Sensor กระจกหน้าต่างไฟฟ้า One-touch และ ดีดกลับอัตโนมัติ เมื่อมีสิ่งกีดขวาง
ทั้ง 4 บาน เหมือนกับรถยุโรป ระดับ พรีเมียม ทั่วๆไป
แผงหน้าปัดตกแต่ง ด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อความรู้สึกสปอร์ตสมบุคลิกรถ
ที่วางแก้ว เก็บซ่อนอยู่ด้านบนสุด ฝั่งซ้าย ของแผงคอนโซล จะว่าไปแล้ว มันอยู่ในตำแหน่ง
ที่เหมาะสมสำหรับผู้ขับในยุโรป เพราะมันอยู่ฝั่งว้ายเช่นเดียวกับตำแหน่งพวงมาลัยของ
เวอร์ชันยุโรป แต่เมื่อมาอยู่ในเวอร์ชันพวงมาลัยขวา อยู่ในตำแหน่งนั้นก็เหมาะสมเช่นกัน
เพราะไม่บดบังการใช้งานของอุปกรณ์อื่นๆไปอย่างที่คิด
ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ Audi Concert พร้อมลำโพงจาก BOSE คุณภาพเสียง? แน่นอน
ดีเยี่ยมใช้การได้ ขนาดผม ยัดแผ่น ซีดีของ Bodyslam ชุดล่าสุด ที่ GMM ต้นสังกัด เขาทำตัว
ได้น่าด่าทอ เพราะปั้มแผ่นมาได้ยังไงไม่รู้ คุณภาพเสียงห่วยแตกพอกับฟังจาก เทปคาสเซ็ตต์
ยุคโบราณ เครื่องเสียงใน RS4 คันนี้ ก็ยังพยายามขับดันให้คุณภาพเสียงออกมาเลิศเลอ
ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่มันควรจะเป็น คือ เสียงที่เราได้ยินจากการยืนฟังเพลงในห้องบันทึกเสียงนั่นละ
ระบบปรับอากาศ เป็นแบบ ดิจิตอลแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา ให้ความเย็นรวดเร็วใช้ได้ เย็นเร็วจนหนาวเลยละ
ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร แยกไฟอ่านแผนที่ ซ้าย-ขวา และไฟส่องสว่าง
ที่กระจกแต่งหน้า ซ่อนใต้แผงบังแดด ออกจากกัน กระจกมองหลัง เป็นแบบ
ตัดแสงอัตโนมัติ ยามค่ำคืน
ส่วนบรรยากาศในห้องโดยสารนั้น ยังความกระขับพอดีตัว แต่อึดอัด ด้วยทัศนวิสัยจากพื้นที่กระจก
รอบคันที่มีไม่มากนัก มันเป็นเรื่องที่คุณอาจต้องทำใจและตัดทิ้งจากความคาดหวังไปก่อนได้เลย
เมื่อคิดจะซื้อรถ Audi อยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่คุณควรจะรู้มาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ตัดประเด็นนี้ออกไปเถอะ
เพราะถึงยังไง วิศวกรชาวเยอรมันที่อิงโกลสตัดต์ เขาก็ไม่แก้งานออกแบบของเขา เพื่อเอาใจคุณ
เพียงคนเดียว แต่ต้องโดนแฟนๆ Audi ทั่วโลก ก่นประณาม เป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว
แม้ว่า ผมจะไม่รู้สึกผ่อนคลายเท่ากับเจ้า A3 Sportback จาก MTM ที่เคยลองมาก่อนหน้านี้
1 ปีเศษๆ ทว่า ภาพรวม ผมยังแฮปปี้กับมัน แต่สิ่งเดียว ที่ผมขอสารภาพว่าไม่อาจจะทนไหวจริงๆ
“เฉพาะในช่วงแรกๆที่ขึ้นขับรถคันนี้”
คือ กลิ่นที่ลอยออกมาจากระบบปรับอากาศของรถ
คุณเคยเจอกลิ่นของ เคบินห้องโดยสาร ในเครื่องบิน โบอิ้ง 737 อายุราวๆ 10 ปีมาแล้ว ไหมครับ
ขอเน้นย้ำว่า ต้องเป็นของ การบินไทย เท่านั้นด้วยนะ มันเป็นกลิ่นที่ เรียกได้ว่า เฉพาะตัวมาก
เป็นกลิ่นจาก เครื่องทำกาแฟ มันชวนให้คลื่นเหียนอาเจียนกับพวกจมูกซนๆอย่างผม แทบทุกครั้ง
ที่ผมต้องขึ้นบินไฟลท์ในประเทศ กับเอื้องหลวง
และมันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ผมเจอในรถคันเนี้ยยยยยยย
นี่ถ้าไม่ติดว่า สมรรถนะอันน่าประทับใจของมัน มาพร้อมกับค่าตัวที่แพงเอาเรื่องแล้วนะ
ผมจะจอดรถลงกลางทาง จริงๆด้วย! ฮือๆๆๆๆๆๆๆ
********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********
เครื่องยนต์ใน RS4 นั้น เป็นขุมพลังบล็อก วี8 DOHC 32 วาล์ว 4,163 ซีซี
พร้อมระบบจุดระเบิดเชื้อเพลิง FSI ปราศจากระบบอัดอากาศใดๆทั้งสิ้น
ตัวเลขเดิมๆ จากโรงงาน Quattro GmbH. ใน Neckarsulm ในอยู่ที่
420 แรงม้า (PS) ที่ 7,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 43.81 กก.-ม.ที่ 5,500 รอบ/นาที
แต่ด้วยการ re-mapped ในกล่อง ECU ใหม่ รวมทั้งการเปลี่ยนชุดท่อร่วมไอเสียใหม่
ของ MTM เส้นผ่าศูนย์กลาง 80 มิลลิเมตร และการปรับแต่งอื่นๆอีกเล็กน้อย จนได้
พละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 435 แรงม้า (PS) ที่รอบเครื่องยนต์ และแรงบิดพอๆกับเดิม
ตั้งข้อสังเกตว่า การติดตั้งเครื่องยนต์นั้น จะไม่ถึงกับยื่นล้ำมาข้างหน้า มากเท่าออดี้รุ่นอื่นๆ
MTM ระบุว่า บริเวณห้องเครื่องยนต์ด้านหน้านั้น ต้องมีการปรับปรุงกันใหม่ จาก A4 ตัวถังปัจจุบัน
พอสมควร เพื่อรองรับกับตัวเครื่องยนต์บล็อกนี้ อันเป็นบล็อกเดียวกับที่ จะพบได้ ใน Audi R8…..!?
รถคันนี้ ต้องใช้แบ็ตเตอร์รี 2 ลูก ลูกแรก หนะ ไว้ที่ด้านหลังเครื่องยนต์
ส่วนอีกลูกหนะ อยู่ด้านหลัง ใต้พื้นห้องเก็บของ นั่นหมายความว่า รถรุ่นนี้ไม่มียางอะไหล่
แต่จะมีชุดปะยางติดรถมาให้…เพราะฉะนั้น ขับกันระวังๆหลุมบ่อ หน่อยก็แล้วกันนะครับ ^_^
เชื่อมการทำงานกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ได้รับการปรับจูนใหม่
ให้มีความฉับไวในการตอบสนองและกระจายแรงบิดอย่างเหมาะสมมากขึ้น
ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ที่มี อัตราทดดังต่อไปนี้
อัตราทดเกียร์
เกียร์ 1……………………..3.667
เกียร์ 2……………………..2.211
เกียร์ 3……………………..1.520
เกียร์ 4……………………..1.133
เกียร์ 5……………………..0.919
เกียร์ 6……………………..0.778
เกียร์ ถอยหลัง……………..3.333
อัตราทดเฟืองท้าย………….4.111
ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 7.9 ล้านบาท การจะปล่อยรถให้นำไปจอดเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำกันง่ายๆ
(ยกเว้น Land Rover Thailand ในอดีต ที่ใจกล้า ปล่อยเจ้า Range Rover Sport Supercharge คันละ 9.6 ล้านบาท
กลับมาจอดไว้หน้าบ้านผม 4 วัน 3 คืน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่ตอนส่งกุญแจรถคันนั้นให้ผม และโอกาสนั้น
จากค่ายนั้น คงไม่มีอีกแล้ว)
ดังนั้น การใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเริ่มขึ้น ผมและน้อง Bombe หรือ Rhino Mango
อันเป็นอีกหนึ่งในสมาชิกของ The Coup Team ใน Headlightmag.com น้องผู้ช่วยผมเวลาทดลองรถด้วยกัน
ในหลายๆครั้งที่ผ่านมา ช่วยกัน ทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง ด้วยวิธีการเดิม คือ นั่ง 2 คน เปิดแอร์ และทดลอง
จับเวลา กันในช่วงกลางวัน ความปลอดภัยของผู้ร่วมสัญจรบนท้องถนน น้ำหนักตัวของบอมบ์ อยู่ที่ 80 กิโลกรัม
กับน้ำหนักผู้ขับ น้ำหนักตัว 92 กิโลกรัม 2 คน รวมแล้ว 172 กิโลกรัม
และต่อไปนี้คือ ผลลัพธ์ที่ได้
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.
ครั้งที่
1………….6.06 วินาที
2………….6.54 วินาที
3………….6.36 วินาที
4………….6.41 วินาที
เฉลี่ย……6.34 วินาที
ตัวเลขโรงงาน จากยุโรป ระบุว่า ทำได้ 4.8 วินาที
อาจมีความผิดเพี้ยนจาก การเปลี่ยนเกียร์ของผมเองในช่วงออกตัวครับ
—————————————–
อัตราเร่ง 80 – 120 กม./ชม.
หรือช่วงเร่งแซงทั่วไป
คราวนี้ทำ 2 เกียร์
คือ อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ เกียร์ 3
กดคันเร่งจนจมสุดทันที มีดังนี้
ครั้งที่
1………….4.60 วินาที
2………….4.46 วินาที
3………….4.62 วินาที
4………….4.78 วินาที
เฉลี่ย……4.61 วินาที
และ อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ เกียร์ 4
ครั้งที่
1………….5.61 วินาที
2………….5.59 วินาที
3………….5.75 วินาที
4………….5.67 วินาที
เฉลี่ย……5.65 วินาที
—————————————–
ความเร็วสูงสุด ที่วัดได้ในแต่ละเกียร์ อ่านจากมาตรวัดบนแผงหน้าปัด
(หน่วย กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ รอบเครื่องยนต์/นาที)
เกียร์ 1…………70 @ 8,200
เกียร์ 2……….115 @ 8,200
เกียร์ 3……….170 @ 8,200
เกียร์ 4……….220 @ 8,200
เกียร์ 5……….270 @ 8,200
เกียร์ 6……….ไม่ได้ทำเอาไว้ให้ครับ
********** ความเร็วสูงสุด **********
ผมคงไม่ต้องทำความเร็วสูงสุดของเกียร์ 6 มาให้แล้วนะครับ
เพราะตัวเลขในสเป็กระบุไว้ว่า 282 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ อย่างที่ระบุไว้ว่า วันที่ทดลองขับจริงนั้น เราทำความเร็วสูงสุด เท่าที่สถานการณ์พอจะเอื้ออำนวย
ได้ที่ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ประมาณ 8,200 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5 และมีเสียงสัญญาณ
เตือนจากรถ ขึ้นบนชุดมาตรวัด เมื่อใช้ความเร็วเกิน 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขึ้นมา ครั้งสองครั้ง แล้วก็
เงียบหายไป เหมือนรู้ดีว่า ควรจะเตือนผู้ขับแค่เพียง ครั้งสองครั้งแค่นั้น เพื่อไม่ให้เสียสมาธิในการ
ควบคุมรถ
ถ้าผมตัดสินใจเข้าเกียร์ 6 รถจะยังไปต่อได้อีกแน่นอน เพียงแต่น่าจะไต่ขึ้นไปได้ช้าลงแล้ว
แต่ ในเมื่อ เราอยู่ในช่วงเวลากลางวัน ปริมาณรถบนท้องถนน แม้จะไม่มากนัก แต่พอมีอยู่บ้าง
มันไม่เหมือนช่วงเวลากลางคืน ที่ผมคุ้นเคยกว่า และมีปริมาณรถน้อยกว่ามากๆจนถึงแทบ
เกือบจะไม่มีเลย ความปลอดภัยต่อผู้คนที่ร่วมสัญจรไปบนถนนเดียวกับเรา คือเป็นสิ่งสำคัญ
ที่ต้องคำนึกถึง
ดังนั้น เพียงเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เท้าขวา ก็เลยย้ายไปเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถคันข้างหน้า
ซึ่งยังเห็นว่าอยู่อีกไกลลิบ เป็นเม็ดเล็กๆ เป็นอันว่า ผมชะลอรถลงได้สำเร็จด้วยดีดังใจหมาย
ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ ยกมาจาก Lamborghini Gallardo โดยเฉพาะคู่หน้า
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 380 มิลลิเมตร x 34 มิลลิเมตร และใช้คาลิปเปอร์ 8 ลูกสูบ การตอบสนอง
เรื่องเบรก จากช่วงความเร็วไหนก็ตามสำหรับผม ถือว่า หายห่วง! เพราะจากที่ทั้งลองขับคลานๆ
ในเมือง ไปจนถึงช่วงที่ต้องชะลอความเร็วลงมาจากระดับ 240-250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แบบไม่กระทันหัน (ผมไม่ต้องการทดลองเบรกระทันหันในสภาวะที่การจราจรหนาแน่น
ปกติ ผมจะมองจนสุดปลายถนนไว้ก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น) ระบบเบรก ทำหน้าที่ของมัน
ด้ประเสริฐเลยทีเดียว แค่เหยียบลงไปประมาณ 1 ใน 3 ของระดับความลึกแป้นเบรก
อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วว่า ถนนหนทางในบ้านเรานั้น ค่อนข้างอันตรายเกินไป
สำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่สูงกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันไม่ได้เรียบเนียนสวย
ราวกับแผ่นกระดาษ A4 ของ Double A เหมือนทางหลวง เอาโตบาห์น ในเยอรมัน
แต่มันเป็นผิวถนนที่ผสมผสานกันระหว่างความเรียบเนียนในความฝันของคนไทย
ที่ไม่มีวันเป็นจริง ผนวกกับมาตรฐานการราดผิวยางมะตอยแบบไทยๆ รวมทั้งการทรุดตัว
ของชั้นดินในพื้นที่บริเวณใกล้ปากอ่าวไทย โซนบางนา ที่ทรุดตัวต่อเนื่องอยู่เนืองๆ ทำให้
ทางยกระดับบูรพาวิถี ไม่ได้มีแค่ทางตรงยาวๆอย่างเดียว หากแต่มีเนินโค้ง ขึ้นลง ตามแต่
การทรุดตัวของชั้นดินจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของมันไป
ถ้าจะย้อนกลับไปพูดถึงอัตราเร่งที่ตัวรถสะท้อนออกมา ก็ตอบได้อย่างไม่ต้องยั้งคิดเลยว่า
แรงจนหลังติดเบาะอย่างสนุกสนานสะใจ แต่ไม่ได้กระชากร่างคุณอัดเข้ากับพนักพิงเบาะ
อย่างป่าเถื่อน หรือไม่ได้ออกตัวอย่างเรือเกลือตามแบบรถยุโรปดารดาษอื่นๆ หากแต่ แน่ละ
เครื่องยนต์ V8 4.2 ลิร FSI พาคุณพุ่งโผนโจนทะยานอย่างสนุกสนาน และเหมาะกับคนที่มี
วุฒิภาวะทางความคิดเท่านั้น ไม่เหมาะกับวัยรุ่นที่รักความแรง หรือใครก็ตามที่นิยม พา
รถกระบะ Hilus VIGO หรือ Fortuner ของตน พุ่งทะยานแซงชาวบ้านาวช่องไปด้วยความเร็ว
เกินกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็นนิจแน่ๆ
เพียงแค่เหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์ วี8 ก็จะค่อยๆ ไล่จังหวะจะโคนของมัน ให้สูงขึ้นอย่างกระชั้น
และหนักแน่นกำลังดี แต่ยังคงความหวานมัน สอดรับกับห้วงทำนองไพเราะเสนาะโสต ราวกับ
กำลังฟัง เพลง Virtual Insanity ของ Jamiroquai แถมยังให้แรงบิดเหลือเฟือ เพียงพอที่จะให้คุณ
ขับในเมืองได้ โดยใช้เกียร์ 5 และ 6 แทนเกียร์ 3 หรือ 4 ด้วยซ้ำ มันเป็นเครื่องยนต์ V8 ที่มีรอบ
การทำงานค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ในช่วงความเร็วพอๆกับรถยนต์คันอื่นๆ
เมื่อมาถึงโค้งบางวัว ซึ่งเป็นทางโค้งที่มีความยาวพอสมควร ผมตัดสินใจเหยียบคันเร่งส่งเข้าโค้ง
ไปด้วยความเร็ว 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อจะดูอาการของรถ
จริงอยู่ว่าด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ quattro ซึ่งพยายามถ่ายเทแรงบิด กระจายความสมดุลย์
ให้กับรถ เพื่อสร้างการยึดเกาะบนพื้นผิวถนนให้ใกล้เคียงกับตีนตุ๊กแก มากเพียงใด แต่ก็ยังพอมี
อาการหน้าแถออกไปนิดๆ พอให้ได้สัมผัสเข้ามาถึงพวงมาลัย มันเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากแรงส่ง
ของรถ ที่ฉุดลากตัวรถให้พุ่งไปข้างหน้า
ถ้าถามว่า แล้ว BMW ซีรีส์ 3 เป็นแบบนี้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ตัวรถมีอาการในแบบของรถขับเคลื่อน
ล้อหลัง แต่ถ้าถามว่า ทำไม มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว ก็ยังพอมีอาการที่ว่าให้ได้รู้สึกเข้ามานิดๆอยู่ดีละ?
เหตุผลที่พอจะอธิบายได้ ก็น่าจะเป็นเพราะเราต้องไม่ลืมว่า ถึงแม้จะมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว แต่ RS4
ก็ยังคงสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ A4 ซีดาน ที่วางอยู่บนโครงสร้างพื้นตัวถังที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์
ขนาดคอมแพกต์ และใช้ระบบขับเคลื่อน “ล้อหน้า” เป็นหลัก ดังนั้น บุคลิกของรถขับล้อหน้า ก็อาจจะมี
หลงเหลือให้เห็นกันบ้างนิดหน่อย
ยิ่งถ้าคุณใช้ความเร็วระดับนั้น เข้าโค้งในลักษณะแบบนั้น ต่อให้เป็นรถคันอื่นใดที่ใกล้เคียงกันนี้
ก็คงต้องปรากฎอาการกันบ้างละครับ แม้จะนิดหน่อยก็เถอะ อีกทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro นั้น
ล้อคู่หลัง ก็จะพยายามดันให้รถคุณพุ่งไปข้างหน้าด้วยไปพร้อมๆกัน
แต่ไม่ต้องกังวลนักหรอกครับ ถ้าคุณคิดจะสาดโค้ง หมอนี่ จะช่วยให้คุณลืมเรื่องการเกาะถนนของ Audi
รุ่นเก่าๆ ที่เคยลือกันว่า เลี้ยวไม่ค่อยเข้าไปได้เลย เพราะมันมาพร้อมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP
(Electronic Stability Control) อันประกอบไปด้วยระบบป้องกันล้อล้อกตายเมื่อเบรกกระทันหัน ABS
ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบกระจายแรงบิด และล็อกการส่งกำลังอัตโนมัติ EDL (Electronic
Differential Locking Assist) ซึ่งมันจะทำงานในกรณีที่ล้อฝั่งใดฝั่งหนึ่งอาจเจอถนนลื่นด้วยการสั่งให้
เบรกล้อนั้น และกระจายแรงบิดไปยังล้ออื่นๆแทน ทำงานที่ความเร็วระดับ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
รวมทั้งระบบ DRC (Dynamic Ride Control) ซึ่งจะช่วยปรับการทำงานของช็อกอัพด้วยระบบไฮโดรลิก
เพื่อลดการโยนตัวออกของรถ
ระบบกันสะเทือนที่ติดตั้งมาในรถนั้น โครงสร้างพื้นฐานของด้านหน้าเป็นแบบ 4 จุดยึด และด้านหลัง
เป็นแบบ Trapzoidal-link มาพร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง แต่มีการเปลี่ยนมาใช้ชุด Spacer 20 มิลลิเมตร
ของ MTM เสริมเข้าไป
เอาเข้าจริงแล้ว ความนุ่มกำลังดี ที่แฝงมาในความดิบในระดับนี้ คือสิ่งที่ผมโปรดปราน ถ้าเทียบระดับขั้น
ความแข็งกระด้างของระบบกันสะเทือน โดยเปรียบเทียบให้ รถที่นุ่มนิ่ม ย้วยแหลกลาญ อย่างรถ Toyota
อายุ 15 ปี ที่ยังไมได้ซ่อมช่วงล่างเลยซะที เป็นระดับ 1 หรือ วอลโว S80 ใหม่ล่าสุด นิ่มย้วยแต่เฟิร์มเป็นระดับ 3
แล้วความแข็งสะเทือนของ เกวียน หรือรถแข่งในสนามต่างๆ เป็นลำดับ 10 โดยมี มินิ คูเปอร์ เอส จัดอยู่
ในระดับ 8.5 และมาสด้า MX-5 จัดอยู่ในระดับ 8.3
RS4 คันที่ผมลองขับนี้ ผมว่าน่าจะจัดอยู่ในระดับ 8.1
มันทั้งเฟิร์ม และดิบกำลังดี แถมยังซับแรงสะเทือนจากบรรดาหลุมบ่อ และลูกระนาดได้นุ่มนวลดีกว่า
ที่คาดคิดอีกด้วย แต่กระนั้น ผมว่าหลายคนที่ชอบความแข็งกระด้างสุดโต่งอาจไม่โปรดปานมันเท่าผมแน่ๆ
อย่างน้อยๆ หากคุณเปลี่ยนเลน “แบบธรรมดา ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนเลนกระทันหันแต่อย่างใด”
คุณจะพอจับอาการได้บ้างว่า ส่วนหัวรถ บริเวณห้องเครื่องยนต์ จะเลี้ยวนำไปก่อน ขณะที่เคบินห้องโดยสาร
จะตามมาติดๆ กันในช่วงเสี้ยววินาที ไม่ทิ้งช่วงไว้จนอาการเด่นชัด ขนาดฮุนได โซนาตา ที่เคยเขียนถึงไว้
(รายนั้น เปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวรถเมื่อใด หัวรถจะเลี้ยวนำไปก่อน เคบินไปตาม ห้องเก็บของ ตามมาสมทบปิดท้าย)
แต่ในขณะที่หัวรถ ย้ายมาอยู่ในเลนใหม่ คุณบังคับพวงมาลัยจนนิ่ง ทว่าท้ายจะยังพอหลังเหลืออาการดิ้นออกนิดๆๆๆๆ
ตามประสารถที่วางบนแพล็ตฟอร์ม รถขับล้อหน้า มันเป็นอาการเดียวกันกับที่คุณจะเจอได้ใน ฮอนด้า ซีวิค FD ตัวใหม่
แต่แน่นอนว่า มันโผล่มาให้คุณจับสัมผัสได้น้อยกว่า ซีวิค เยอะอักโข
*********** การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ***********
คุณจะซื้อรถแรงขนาดนี้ แพงระดับนี้ แล้วยังจะถามถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับผมหรือครับ?
เอาละ ผมสารภาพแล้วกันว่า ผมไม่มีโอกาสทดลองมาให้ ก็เนื่องจากว่า เราจะต้องมุ่งหน้าไปทางตะวันออก
และมีเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่จะอยู่ด้วยกัน แม้จะอยากทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลงเล่นๆก็ตาม แต่ก็คงยาก
เอาเป็นว่า หากคุณขับนิ่งๆ ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปสักระยะ คุณจะพบว่า
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real time ที่ขึ้นมาให้ดูบนหน้าปัดรถ จะบอกคุณว่า
ตัวเลขต่ำสุดที่ทำได้ และผมได้เห็นคือ 6.5 ลิตร / 100 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าประหยัดอย่างน่าตกใจทีเดียว
สำหรับเทคโนโลยี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าห้องเผาไหม้ FSI ของ ออดี้
แต่…เฮ้…อย่าเพิ่งเอามันไปติดแก็สเชียวนะ จะ LPG หรือ CNG ก็เถอะ
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่ผมนึกเสียดายรถ! อุตส่าห์ ซื้อรถมาตั้งแพงแสนแพง
ดั๊น อยากจะติดแก็ส เพราะไม่มีปัญญาจ่ายค่าน้ำมัน อันนี้ก็มิใช่เรื่อง เนาะ!
********** สรุป **********
***** เหลือแค่ราคา 7.9 ล้านบาท ในใจคุณเท่านั้น ว่ามันคุ้มหรือไม่? *****
1 วันเต็มๆ กับประสบการณ์ที่ MTM Thailand มอบให้เรา นั้นเพียงพอสำหรับการเรียนรู้จัก
พรีเมียมสปอร์ตคอมแพกต์ ซีดาน ชั้นดี รุ่นหนึ่ง ที่ได้รับการยกย่องมาแล้วในระดับสากล
ว่าเป็น รถคันหนึ่งที่ขับสนุกที่สุดในสายพันธ์ของออดี้ เร่งสนุกสนาน กระชากร่างติดเบาะ
แต่ไม่ถึงกับกระชากวิญญาณออกจากร่างจนน่าหวาดกลัว อย่างที่คิด
คุณอยู่บนทางยกระดับโล่งๆ มุ่งหน้าไปทางชลบุรี ด้วยความเร็วตั้งแต่ 150 – 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่คุณกลับรู้สึกไม่ต่างจากการขับรถญี่ปุ่น ด้วยความเร็ว 80-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่าใดเลย
มันไม่น่ากลัวเลย
RS4 ถือเป็นรถที่ พร้อมจะรองรับทุกอารมณ์ของคุณได้อย่างที่ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า
รถแรงๆ สักคันจะให้คุณได้ แน่นอนว่า มันพาคุณคลานต้วมเตี้ยมไปอย่างสบายอารมณ์
ท่ามกลางการจราจรติดขัดของถนนสุขุมวิทยามเย็น (ถ้าคุณยังรักเกียร์ธรรมดาเป็นจิตสรณะ)
โดยไม่ทำให้ใครรอบข้างสะพรึงกลัว และมันพร้อมจะพาคุณสนุกสนานอย่าร่าเริง
แต่ไม่ถึงกับโลดโผนโจนทะยานจนลืมตัว
คุณในฐานะผู้กุมบังเหียนมันนั่นแหละ จะลืมตัวหรือเปล่า นั่นก็อีกเรื่อง!
นอกจากนั้น RS4 คันนี้ ยังเป็นรถสปอร์ตซีดาน ที่ดึงเอาบุคลิกของรถสปอร์ตสายพันธุ์อิตาเลียนแท้ๆ
อย่าง Lamborghini อันเป็น บริษัทรถยนต์ในเครือของกลุ่ม Volkswagen ด้วยกัน มาประดับไว้กับตัวรถ
ด้วยการยกเอาชุดชิ้นส่วนหลายๆชิ้นมาใส่กันทั้งดุ้นเลย กระนั้น ก็ต้องมีการดัดแปลงจากโรงงานให้
เหมาะสมกับโครงสร้างของ A4 เดิม
จะว่าไปแล้ว รถคันนี้มีปัญหา อยู่แค่ 2 ประการ ในสายตาผม
ข้อแรก ถ้าคุณคิดจะซื้อรถคันนี้ โดยหวังว่าจะพาครอบครัวไปนั่งเล่นด้วย หรือพาเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน
เพื่อนของคุณ ควรจะตัวเล็กพอสมควร เพราะว่า ขนาดอันใหญ่โตของเบาะคู่หน้า มันกินพื้นที่วางขา ของ
ผู้โดยสารตอนหลัง ไปเสียจนแทบจะหมดเกลี้ยง ถ้าคิดจะโดยสารบนเบาะหลังของ RS4 ในวันที่อาการร้อนมากๆ
บรรยากาศความอึดอัด พอกันกับ เบาะนั่งด้านหลังของ Mitsubishi Lancer CHAMP มันจะทำให้คุณอาจถึงขั้น
ขาดอากาศหายใจได้เลยทีเดียว
อีกประเด็นหนึ่ง ที่สำคญกว่าข้อแรก ก็คือ ค่าตัว ระดับ 7.9 ล้านบาท ถือว่าสูงไม่ใช่เล่น เมื่อเทียบกับราคาของ
รถหรูๆทั่วๆไป ขนาดตัวถังใหญ่โตเท่าบ้าน อย่าง Mercedes-Benz S-Class หรือ BMW 7-Series ประกอบ
ในประเทศทั้งคู่
แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดีๆ คุณกำลังจะจ่ายเงินไปเพื่อแลกมากับสมรรถนะของรถอย่าง RS4 ที่แรงสะใจ และติดดิบ
อย่างแตกต่างไปจากทั้งสองคันนั้น เป็นคนละเรื่องเลย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า 2 คันนั้น คือ ชายชราสูงวัย สุขุม
และภูมิฐาน บางทีก็ ตรงๆนะ ออกจะน่าเบื่อไปสักนิด
แต่สำหรับ RS4 7.9 ล้านบาทนั้น แลกได้ชายหนุ่มอายุ 35 อัพ นิสัยประมาณเพื่อนร่วมก๊วน
ตั้งแต่ ม.ปลาย ที่ใจยังรักสนุกอยู่ แต่ มีความรับผิดชอบสูงตามวัย และยังไว้ใจได้ในหลายๆเรื่อง
ถามใจตัวเองก็แล้วกันนะครับ ท่านมหาเศรษฐีที่คิดจะจ่ายตังค์ 8 ล้านบาท มีทอน
ว่าคุณยังอยากเด็ก หรืออยากแก่!
——————————————–///———————————————-