คอลัมน์ Safety on board ในครั้งนี้ ผมเองก็ไม่คิดว่าก่อนเหมือนกันว่าตัวเองจะต้องมาเป็น
คนเล่าเรื่องเสียเอง ถึงแม้ว่าเรื่องมันจะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้นำมาเล่า
ให้คุณๆได้อ่านกันเป็นกิจจะลักษณะเสียที

ครั้งนี้ ตัวผมเองจะนำประสบการณ์ตรงๆ จะเรียกว่าประสบการณ์ตรงก็ไม่ถึงกับใช่นัก
หากแต่ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับบุคคลในครอบครัวผมเอง นั่นก็คือ พี่ชายคนเดียวของผมเองครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องของการขับขี่รถยนต์ในยามค่ำคืน ซึ่งแน่นอนว่า เราคงจะต้องอาศัยแสงสว่าง
จากไฟหน้ารถยนต์ของเรา และไฟส่องสว่างบนท้องถนน ที่จะนำพาให้เราไปยังจุดหมาย
ปลายทางได้อย่างปลอดภัย และแน่นอน ความระมัดระวังในการขับขี่รถยนต์ในตอนกลางคืนนั้น
มันจะต้องยิ่งเพิ่มขึ้นจากในช่วงเวลากลางวันอีกหลายเท่าตัว

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม 2552 ช่วงสายของวันนั้นเอง ซึ่งเป็นวันที่ผมไม่ได้มีเรียน
จึงหยุดอยู่บ้าน ก็ตื่นลงมาด้วยความงัวเงียนิดหน่อย คุณแม่ก็บอกกับผมว่า พี่ชายผมบอกว่าให้ขับรถ
ไปให้ที่ออฟฟิศของเขา ย่านเอกมัย ให้หน่อย เพราะว่าจะไปธุระที่อื่นต่อ ผมได้ยินดังนั้นก็พูดกับแม่
ไปบอกว่า ให้ขับไปให้อีกแล้วหรอ ขี้เกียจนะ เดี๋ยวเย็นนี้ต้องไปอารีย์อีก ขี้เกียจย้อนไปๆมาๆ
ทำไมไม่ขับไปตั้งแต่เช้าเลยล่ะ เดี๋ยวก็ไม่ขับไปให้ซะเลยนี่

แต่สุดท้ายผมก็บอกว่า โอเค เดี๋ยวขับไปให้แล้วกัน ตอนเย็นๆ เพราะยังไงวันนั้นก็ต้องนำรถออกไป
เสียภาษีประจำปี ต่ออายุทะเบียน และต่อประกันอยู่แล้ว ก็โอเคไม่เป็นไรแล้วกัน นั่นคือความรู้สึก
แว้บแรกของผมเอง ซึ่งก็ไม่คิดว่ามันจะมีเหตุเกิดขึ้นจริงๆ

ช่วงเวลาประมาณสี่โมงเย็นของวันนั้น ผมจึงนำรถออกไปเสียภาษีและต่ออายุทะเบียนที่ตรอ.
ใกล้ๆบ้าน จากนั้นจึงขับไปให้ที่ออฟฟิศของพี่ชายผมย่านเอกมัย โดยไม่มีลางบอกเหตุอะไรเลย
แม้แต่น้อย และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย ที่ผมได้ขับรถคันนี้ และยังเห็นมันอยู่ในสภาพที่ยังเป็น
รถยนต์โดยสมบูรณ์ทั้งคันอยู่

เย็นวันนั้น ทีมงานของ headlightmag ได้นัดพบปะเจอกัน ตามปกติในช่วงเวลาของเย็นวันศุกร์
และลากยาวไปจนถึงเวลาประมาณ 22.00-23.00 ซึ่งในวันนั้น เราก็มีแขกมาสองท่านคือ พี่วิชา
แห่ง i-TOA และ Mr.Kimio Oku ที่เคยพาผมกับพี่จิมมี่ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆเมื่อครั้งไปญี่ปุ่น
พอดีว่า Oku-san มาเยือนเมืองไทย ก็เลยนัดกันว่าจะเลี้ยงขอบคุณ สำหรับการต้อนรับอย่างดี
เมื่อครั้งที่พวกเราไปเยือนญี่ปุ่นกัน

ผมเอง ก็ไม่ได้มีลางสังหรณ์อะไรในช่วงเวลานั้นว่าจะต้องเกิดเหตุอะไรขึ้นกับคนใกล้ตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนในบ้าน เว้นเสียแต่ว่ามาจากความรู้สึกของผมเมื่อช่วงเช้านั่นเอง
หลังจากเราทานอาหารเย็นกันเสร็จแล้ว เราก็เคลื่อนขบวนกลับไปยังร้านกาแฟขาประจำ
Toys Coffee ที่ซอยพหลโยธิน 6

ระหว่างที่นั่งรถเข้าไปเกือบจะถึงร้านกาแฟแล้ว คุณแม่ก็โทรศัพท์เข้ามาหาผมด้วยเสียงตื่นมากๆ
บอกว่าพี่ชายผม รถชนอยู่ที่แถวๆสุขาภิบาล 3 จากนั้นผมจึงถามคุณแม่ว่าอะไรยังไงต่อ ยอมรับว่า
ตอนนั้นตกใจมาก เวลานั้นนั้นที่นั่งอยู่ในรถก็เกิดความเงียบขึ้นอยู่ชั่วอึดใจทั้งพี่วิชาและตอย
ผมเองเวลานั้นลนลานทำอะไรไม่ถูกเลยครับ กลัวอยู่อย่างเดียวว่าพี่ผมจะตายไปมากกว่า เรื่องรถ
ก็คิดปลอบใจตัวเองว่าอาจจะไม่มากเท่าไหร่ก็ได้ เมื่อถึงร้านกาแฟ พี่วิชาก็ช่วยเปิดหาแผนที่
โรงพยาบาลให้ พี่เติ้ลกับพี่แบงค์ก็ช่วยพาผมไปที่โรงพยาบาลนั้นก่อน

พอไปถึงโรงพยาบาล ผมจึงโทรหาพี่ชายผมว่าอยู่ไหน ปลายสายเป็นพี่ชายผมรับสายเอง
ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้ว ค่อยสบายใจได้ว่า ไม่เป็นอะไรแน่นอน ตอนนั้นพี่ชายผมอยู่ที่
จุดเกิดเหตุ พวกเราจึงยกโขยงรีบไปที่จุดเกิดเหตุกัน และได้พบกับสภาพแบบที่เห็นในรูปครับ

เมื่อสอบถามพี่ชายผมจึงได้ความว่า พี่ชายผมขับอยู่เลนขวาสุด และกำลังจะออกไปเลนซ้าย
(มีทั้งหมด 3 เลน) แต่ตอนนั้นยังออกซ้ายไม่ได้ จึงขับรถตามรถคันหน้าไปด้วยความเร็วประมาณ
60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ขับไปเรื่อยๆ

จากนั้นพี่ชายผมจึงหันไปมองกระจกมองข้างซ้ายมือเพื่อเตรียมตัวจะออกซ้ายอีกครั้ง ปรากฏว่า
พอหันหน้ากลับมามองข้างหน้าก็พบว่ารถคันหน้า หยุดสนิทแล้ว ผลที่ออกมาก็คือ ซัดเข้าไปเต็มๆ
ที่ความเร็ว 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสยเข้าบั้นท้ายรถกระบะตู้แช่เย็นสแตนเลสล้วนๆ ผลจึงออกมา
อย่างที่เห็นครับ

ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคู่กรณี มีเพียงเท่านี้จริงๆครับ

ส่วนรถของผม เป็นอย่างที่เห็นครับในรูปด้านบน และนี่คือจุดที่ปะทะเข้าไปเต็มๆครับ
เป็นรถ Nissan Sentra ปี 1993 ที่ใช้มาจะว่าไปในสิ้นเดือนธันวานั้นก็จะครบ 16 ปีพอดี
จริงๆคุณพ่อตั้งเป้าไว้ว่าจะใช้ยาวถึง 20 ปี แล้วถึงค่อยเปลี่ยน คือกะเอาให้ผุขับไม่ได้กันไปข้างนึง

หากเรามาพิจารณาลักษณะของการชนนั้น จุดปะทะของรถอยู่ที่ด้านหน้าขวาครับ ถ้าดุจากรูปจะพบว่า
ฝากระโปรงพับครึ่ง และโดนไปถึงเสาเอด้านหน้าขวา ก็คือเมื่อตอนชนนั้น เป็นจังหวะที่พี่ชายผม
หักพวงมาลัยออกทางซ้ายพอดี จึงทำให้ด้านหน้าขวาของรถผม ชนเข้ากับด้านหลังซ้ายของรถกระบะ
ตู้แช่เย็นนั้น

และด้วยความที่รถผมเตี้ย จึงทำให้เป็นลักษณะของการ “มุด” เข้าไป จึงทำให้กันชนไม่ได้ถึงกับ
ได้รับความเสียหายมาก แต่เป็นการมุดเข้าไปที่ส่วนใต้ตู้แช่เย็นนั้นเองครับ ทำให้จุดที่ได้รับแรง
ไปเต็มๆคือ ฝากระโปรงและเสาเอครับ
    
ผมเองได้ถามพี่ชายผมเหมือนกันว่าเวลานั้นรู้สึกอะไรหรือเปล่า พี่ชายผมบอกว่า ไม่รู้สึกเลยว่าชน
เหมือนมันเข้าไปเฉยๆ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงรถปะทะกัน หรือเสียงกระจกระเบิดออก พอหลัง
เกิดเหตุ พี่ชายผมก็ออกมายืนงงๆอยู่ข้างทาง จนกระทั่งรถมูลนิธิมาถึงจึงได้รับตัวขึ้นรถและไปส่ง
โรงพยาบาล เมื่อพบว่าไม่เป็นอะไร จึงได้กลับมาที่จุดเกิดเหตุ หลังจากนั้น พี่ชายผมจึงโทรเรียก
ประกันมาครับ ยังดีที่ว่าทั้งฝ่ายผมและคู่กรณีใช้ประกันบริษัทเดียวกัน

สักพักหนึ่ง เจ้าของรถกระบะตู้แช่เย็นคันนั้นก็มาถึง เป็นเถ้าแก่เนี้ยครับ คาดว่ามาพร้อมกับญาติกัน
มาถึงเขาก็ถามว่าพี่ชายผมเป็นอะไรรึเปล่า ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ส่วนรถของเขานั้นมีประกันชั้น 1
เดี๋ยวให้ประกันจัดการ ไม่เป็นไร ทางน้องไปจัดการของน้องดีกว่า ตรงนี้ต้องขอขอบคุณมากๆ
ที่ไม่เอาความอะไรกับทางฝ่ายผม ทั้งๆที่เป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ไปชนท้ายเขา

คืนนั้น ทางฝ่ายคู่กรณี แนะนำว่ามีใครใช้บัตรเครดิต KTC หรือเปล่า ยกรถได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง
โชคดีที่จังหวะนั้น พี่หน่อย หนึ่งใน ทีมเว็บของเรา ก็มีบัตรเครดิต KTC พอดี จึงติดต่อให้มา
ช่วยยกรถไปที่อู่ซ่อมสและตัวถัง แถวสุขุมวิท 93 ที่พี่จิมติดต่อให้ครับ

เรารอจนรถยกมา ถึง เมื่อจัดการเสร็จสรรพ คืนนั้น เราแยกสิ่งที่ต้องทำกัน ผมจึงต้องนั่งรถยก
ไปกับตอย ส่วนพี่เติ้ล พี่แบงค์ และพี่หน่อย ก็ขับตามๆกันมา ส่วนพี่จิมมี่พาพี่ชายผมไปโรงพัก
เพื่อเสียค่าปรับ ในเวลานั้น พี่จิมมี่เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อผมก็ไปที่โรงพักแล้ว ด้วยสีหน้าเครียดมาก
เราเสียค่าปรับกันไป 400 บาท ข้อหาขับขี่รถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์
ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทางเจ้าหน้าที่เคลมประกันของทั้งฝ่ายผม และคู่กรณี ซึ่งใช้บริษัทประกันภัย
แห่งเดยียวกันต่างก็มาจัดการกันไปจนเสร็จเรียบร้อย ในช่วง ตี 1 ครับ


    
คืนนั้น Sentra ของเรา ก็ถูกนำไปเก็บไว้ที่อู่ ก่อนที่วันรุ่งขึ้น เราจะกลับไปดูรถกันอีกครั้ง
แต่สุดท้าย เมื่อประเมินค่าซ่อมออกมาดูแล้ว ไม่คุ้มเลย จึงตัดสินใจขายซากไป
    
ด้านหน้ารถ ฝากระโปรงงอ ไฟหน้าแตก กันชนหลุด แก้มขวาไม่เหลือครับ
เสาเอฝั่งขวา รับแรงปะทะไปเต็มๆ ส่วนกระจกหน้าระเบิดไปทั้งบานไม่เหลือ

ทุกๆคนในทีมเว็บของเรา ก็ได้แต่ปลอบใจผม และผมก็ขอความช่วยเหลือ ก็หาทางออกกัน
ว่าจะซ่อมดีไหม อยากซ่อมเหมือนกัน แต่ค่าซ่อมออกมาไม่คุ้มเลย หลายๆคนก็บอกว่าซ่อมแล้ว
มันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว กลัวว่าจะมีปัญหาเวลาใช้หรือเปล่า นู่นนี่นั่น สุดท้ายจึงตัดสินใจขายซากครับ

บอกตรงๆว่าคิดถึงมาก คันนี้พาทุกคนในครอบครัวผมไปมาแทบจะทั่วประเทศจริงๆ ขึ้นเหนือลงใต้
ออก ตก อีสาน ไปมาหมดแล้ว ถึงมันจะอายุเยอะก็เถอะ แต่สุดท้าย ก็ต้องปลงให้ได้ว่าทุกสิ่งในโลกนี้
มีเกิดก็ต้องมีดับ ผมจึงได้แต่ทำใจเท่านั้นจริงๆ

เมื่อนำเรื่องราวทั้งหมด กลับมาวิเคราะห์ดู เราพบว่า เหตุที่เกิดขึ้น เป็นเพราะความ “เหม่อ” และ “เผลอ”
ของพี่ชายผมจริงๆครับ จึงได้เกิดเรื่องขึ้นในครั้งนี้ ประกอบกับพี่ชายผมเองมีปัญหาทางด้านสายตาด้วย
และเวลานั้นก็เป็นเวลากลางคืนด้วยครับ

ถ้าหากว่าเราเจออุบัติเหตุ ไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม ขอให้ตั้งสติให้มั่น ทำให้จิตใจอยู่กับตัวเอง
สำรวจดูตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกครับว่า ตัวเราเป็นอะไรหรือไม่ ถ้าพบว่าตัวเราไม่เป็นอะไร
สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ หาทางออกมาจากรถให้ได้ก่อนครับ เมื่อออกมาแล้ว ให้ออกมาดูความ
เสียหายของรถ พร้อมกับหาคู่กรณีให้เจอ ถ้าหากคู่กรณีอยู่ ก็พูดคุยกับเค้าครับ และดูว่าใคร
เป็นฝ่ายผิดและฝ่ายถูก จากนั้นค่อยนำรถเข้าข้างทางถ้าสามารถทำได้ ในกรณีที่อุบัติเหตุ
เกิดขึ้นที่กลางถนนครับ จากนั้นจึงโทรแจ้งประกันมาเพื่อจัดการให้เรียบร้อย ถ้าหากว่า
สามารถตกลงกันได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งความและไปถึงโรงพักก็ได้ครับ

อุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อจริงๆ เพราะฉะนั้น ผมจึงอยากฝากให้คุณผู้อ่านทุกๆคน
ขับรถกันด้วยความระมัดระวังครับ ไม่ว่าจะขับเร็วหรือขับช้าก็ตาม และที่สำคัญ
อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยทุกครั้ง เพราะเหตุการณ์นี้ พี่ชายของผมรอดมาได้ เพราะคาดเข็มขัดนี่ละครับ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ The Coup team ทุกๆคน รวมทั้งพี่วิชาด้วยครับ ที่คืนนั้น ช่วยเหลือผม
ในทุกสิ่งอย่างในคืนนั้นครับ ไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่คำว่าขอบคุณคงไม่เพียงพอจริงๆครับ

————————————————————///————————————————————–

BnN (ชยากร บุญมา)
สงวนลิขสิทธิ์
เผยแพร่ครั้งแรก บน www.headlightmag.com
31 พฤษภาคม 2010