ผมรู้สึกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีความเปลี่ยนแปลงในตลาดรถยนต์หลายอย่างที่น่าสนใจ…คุณว่าไหม??
บางอย่างน่ายินดี…
แต่บางอย่างก็แหม…น่าจับมาตีก้นซะจริงๆ
มีหลายๆปรากฎการณ์ที่ทำให้ผมเข็ดฟันแล้วอยากนำมาพูดถึงกัน อาจมีอะไรแรงๆหรือไม่ถูกใจคนบางคน
แต่ผมรู้สึกว่า ได้เวลาที่ควรขยับนิ้วร่ายเรียงบนคีย์บอร์ดเพื่อเป็นประโยชน์ในการติดตามสถานการณ์รถยนต์
และประกอบการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ด้วยว่าค่ายไหนดูมีอนาคต ค่ายไหนน่าเป็นห่วง
ขอให้เข้าใจไว้ว่า ถึงจะพูดแรงยังไง แต่ถ้าผมพูดถึงยังเหน็บแนมแสดงว่ายังรักยังใยดี ถ้าเกลียดใครจริงผมจะ
ไม่แยแสแม้แต่จะเอามาคิดให้รกซีลิบรัม ติเพราะหวังดี ติเพื่อก่อ เท่านั้นเลย
เรื่องแรกคือ…วงการ ECO car กระแสที่กำลังร้อนระอุในบ้านเราและต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 3ปี
ผมถือว่านอกจากน้องมีนา (Nissan March) จะเป็น Ecocar รุ่นแรกในตลาด ยังถือจุดเริ่มต้นใหม่ของนิสสัน
ที่น่าชื่นชม การเรียนรู้จากความผิดพลาดของน้องธิดา ยาวมาถึงนาวาร่า ไม่ทำให้ผู้บริหารใหญ่ๆของนิสสัน
ทำตัวเป็นคนขี้กลัวหัวหดแบบหลายๆค่าย กลับฝืนตัวขึ้นมาสู้กับความล้มเหลว และสร้างทางไปสู่ความยิ่งใหญ่
ในวันข้างหน้า ต้องนับถือในความอึดขั้นเทพจริงๆ
ถ้าพิจารณาให้ลึกลงไป การที่น้องมีนาประสบความสำเร็จได้ ไม่ได้มาเพราะโชคเสียทีเดียว แต่มาจาก
ความเข้าใจตลาดที่ดีขึ้น ทำให้นิสสันกล้าคว้าโอกาสได้เก่งขึ้น
สิ่งที่นิสสันเรียนรู้จากธิดา(Nissan Tiida) คือ มันตั้งราคาเปิดตัวแพงเกินไป เล็งขายคนผิดกลุ่ม เล็งขายวัยรุ่น
ถึงวัยทำงานตอนต้น…คนซื้อจริงๆดันเป็นคนมีครอบครัวมีอายุ ลามไปถึงคุณตาวัยทองที่ผมพบเห็นว่าขับธิดา
สี่ประตูอยู่บ่อยๆ ยาวไปถึงการสื่อสารการตลาดที่งงๆ ตัวรถก็ครึ่งๆกลางๆ ทำให้หลายๆคนงงจนหนีไปหา
คู่แข่งซะหมด
การเปิดตัวของน้องมีนา ถึงแม้ว่าทีมการตลาดหลายคนจะหน้าซ้ำกับที่ทำน้องธิดา แต่ความเข้าใจที่มากขึ้น
ผลงานจึงออกมาน่าประทับใจ ตัวรถและราคาเปิดตัวเองก็มาจากการเรียนรู้กับธิดาว่า ยิ่งเป็นเจ้าแรกราคา
เปิดตัวต้องโดน ดูรถแล้วต้องรู้สึกคุ้มค่าเงินตั้งแต่แรกเห็น จึงวางสินค้าตัวนี้ให้เป็นสินค้าระดับโลก พัฒนา
ด้วยไอเดียใหม่และกล้าผลิตเยอะๆ ต้นทุนจะได้ถูกๆ แต่ยังไม่เล็กและ ”look cheap” เสียจนลูกค้าต้อง
เบือนหน้าหนี จึงประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น
มองอีกด้านหนึ่ง…การที่ฮอนด้าเปิดตัวหลังนิสสันตั้ง 1 ปี น้องมีนาควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ฮอนด้าในการ
พัฒนาผลิตภัณฑ์และวางกลยุทธ์เปิดตัวให้ดียิ่งไปกว่า โดยเฉพาะวิธีการตั้งราคา วางระดับรุ่นย่อย (grade walk)
และการสื่อสารการตลาด บวกกับชื่อชั้นแบรนด์นิสสันที่ยังไม่อาจทาบรัศมีฮอนด้าได้ จึงถือว่าน้อง “Brio”
ได้เปรียบในหลายๆด้าน ณ วันที่มันออกลืมตาดูโลก
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่…..
ผมเห็นแววความล้มเหลวของ Brio ตั้งแต่ทราบแค่สเปคและราคา!!
ในน้องมีนาคุณสามารถเลือกอุปกรณ์เจ๋งๆที่แม้แต่พี่ธิดายังต้องอายได้หลายอย่าง ทั้งกุญแจอัจฉริยะ
ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ แอร์อัตโนมัติ หรือแม้แต่ระบบดับ/ติดเครื่องอัตโนมัติ หรือจะหาของถูกๆ ก็มี
ให้เลือกเล่นหลากหลาย ถ้าไม่นับตัวล่างสุดที่เป็นเกียร์ธรรมดา เกียร์อัตโนมัติตัวถูกสุด (และเป็น
ระบบเกียร์ที่ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกซื้อ) เรียกค่าตัว 464,000 แสนบาท แต่ฮอนด้ากลับมีเกียร์อัตโนมัติ
ให้เลือกเพียงรุ่นเดียวคือรุ่นบนสุด 505,000บาท!!
ราคาที่ต่างกันราวสี่หมื่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ของคนมีตังค์ แต่สำหรับลูกค้าเป้าหมายของ Ecocar ที่ได้
เงินเดือนระดับ 15,000 บาท ที่ต้องดูแลครอบครัว ต้องกินต้องใช้อย่างอื่นจิปาถะ นี่เท่ากับลูกค้า Brio
ต้องจ่ายค่างวดเพิ่มถึงเดือนละ 800 บาท!! (คำนวณจากการผ่อน 60งวดในเงื่อนไขการดาวน์ 10%
ดอกเบี้ยตลาด ณ วันที่น้องโอ้เปิดตัว) คุณอาจมองว่า มันเป็นตัวเลขไม่เยอะเท่าไหร่ แต่สำหรับ
ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยแล้ว 800 บาท นี่มันเท่ากับค่าข้าวแกงข้างออฟฟิตได้ถึง 20 มื้อเลยนะ แต่
ฮอนด้ามั่นใจในแบรนด์มากพอจะตั้งราคาท้าทายขนาดนี้ มั่นใจว่าลูกค้า ติดแบรนด์พอจะยอมแลก
ข้าว 20 มื้อกับรถที่คันเล็กกว่าน้องมีนาหนึ่งเบอร์ แสดงความมั่นใจในประเด็นนี้อย่างชัดเจนใน
Press Release…ทำเอาผมปวดตับปวดไตไปหลายวัน
ขออนุญาตแนะนำทีมงานฮอนด้าศึกษาคำว่า “ความยืดหยุ่นต่อราคา” (Price Elasticity) ให้ลึกซึ้งกว่านี้
สำหรับรถยนต์หรูราคาแพง ลูกค้ายอมจ่ายเพิ่มเพื่อ ซื้อแบรนด์ ซื้อภาพลักษณ์ ซื้อความสะดวกสบายกัน
ไม่คิดมากอยู่แล้ว ตัวอย่างย่อมมีให้เห็น ลูกค้า Accord ที่ยอมจ่ายเพิ่มเป็นแสนเพื่อซื้อระบบนำทาง
พร้อมกล้องมองหลัง หรือ ลูกค้า Camry ที่ยอมจ่ายอีกเป็นแสนเพื่อซื้อ Camry Hybrid มาขับเกลื่อนถนน
สิ่งเหล่านี้ตรงกันข้ามกับลูกค้ารถเล็กราคาถูกที่เงินทุกบาทมีความหมายต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ ความ
คุ้มค่าเงินเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมไม่เถียงว่าฮอนด้าแบรนด์แข็งกว่า ตั้งราคาได้แพงกว่าน้องมีนาแน่นอน
แต่ไม่ใช่แพงกว่าถึงสี่หมื่นบาทหรือแพงกว่าเกือบ 10%!!!!!!!!
จริงๆแล้วฮอนด้าเคยได้รับบทเรียนจากเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่งใน Honda Freed แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไม
เจ็บแล้วไม่จำ จำแล้วนำมาใช้กับ Brio…เสียดายแทนจริงๆ
การสื่อสารการตลาดก็มีปัญหาเช่นกัน
ปัญหาไม่ใช่การนำน้องญาญ่าผู้น่ารัก และหมากปริญญ์ ขวัญใจสาวๆและเก้งๆมาเป็น presenter
แต่มันคือการสื่อสารในช่วงเปิดตัว โดยเน้นไปที่ความเป็นมิตรอยู่ด้วยกันได้ง่ายๆสบายๆด้วยสโลแกน
“ชีวิตที่ลงตัว” ทั้งที่ตัวรถมีจุดเด่นด้านการบังคับควบคุมที่เหนือกว่าน้องมีนา และการออกแบบภายใน
ที่ฉลาดและลงตัวมากเมื่อเทียบกับตัวถังที่เล็กกว่าหนึ่งเบอร์เต็มในหลายๆจุด อย่างที่ The Coup Team
หลายคนต้องแปลกใจ (ถ้ายังงงๆ เข้าไปอ่านต่อที่นี่เลย “Full Review : Honda Brio โดยพี่ J!MMY” )
มาแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่น้องมีนาทำอยู่ อย่างนี้ก็เสร็จสิครับ มีของดีอยู่กับตัวแต่กลับใช้ประโยชน์
ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เสียดายโอกาสแทนทีมฮอนด้าอีกรอบหนึ่ง
ยังดีที่ช่วงหลังพอกำลังการผลิตกลับมาพร้อมเพรียง การสื่อสารการตลาดก็มีการปรับให้สอดคล้องกับ
ความเจ๋งของตัวรถมากขึ้น มีการตัดโฆษณาชุดปรับปรุงออกมา รวมไปถึงชุดใหม่ที่ไปถ่ายกันที่สนามบิน
สุวรรณภูมิ ถือว่าแก้สถานการณ์ได้ดีน่าชื่นชมทีเดียว
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมต้องขอติงทีม PR ฮอนด้า ที่ออกข่าว PR ล่าสุดเพื่อหวังกู้สถานการณ์ของ Brio
ให้ดีขึ้น แบบนี้…
ที่มา: www.thaipr.net
หลังจากนั้นจึงมีการนำไปโพสและวิจารณ์กันต่อในเว็บไซต์ต่างๆ ความคิดเห็นออกไปทางแง่ลบเสียมากกว่า
ลูกค้าในยุค Social Network ที่ค้นหาข้อมูลได้ง่าย พูดจาโต้ตอบได้สบาย ต้องการ “Moment of Truth” นะครับ
การลงข่าว PR ที่สวนทางกับความเป็นจริงกลับทำให้เกิดการต่อต้าน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่ฮอนด้าเอง
ขอร้องคนในฮอนด้าเมืองไทยนะครับ ตอนนี้คุณยังเหลือ Civic ใหม่ รหัสโครงการ 2HC และ CR-V รุ่นต่อไป
อยู่ในมือ ซึ่งทั้งคู่จะต้องเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทย ตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ จนถึงต้นปีหน้ากันเลย ที่น่าเป็นห่วง
ไม่แพ้กันกับ Brio ก็คือ กระแสในต่างประเทศของ Civic ใหม่นั้น ติดลบเสียส่วนใหญ่ ขณะที่ CR-V รุ่นต่อไป
ก็ดูจะส่อเค้าลางว่า อาจจะต้องมารับศึกหนักในเมืองไทย มากกว่าที่ใครหลายคนจะคาดคิด เพราะตัวรถถูกขยาย
ให้ใหญ่โตขึ้น สวนทางกับกระแสความต้องการ Crossover SUV ของลูกค้าทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทย ดังนั้น
ขอให้ทำการบ้านกันให้ดีๆ และอย่าคิดว่า แนวทางที่เคยใช้อยู่ จนประสบความสำเร็จ มันคือสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
ในวันนี้และวันข้างหน้าเสมอไป
ตลาดรถยนต์ทุกวันนี้มีคู่แข่งพร้อมจะเข้ามาแทนที่เสมอ!!
มาที่อีกมุมกันบ้าง ผมว่าหลังๆมีค่ายที่สามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ขึ้นมามีแววรุ่งอยู่หลายค่าย
ค่ายแรกคือมิตซูบิชิที่ผมแอบมีความประสบการณ์ “รักมาก…ก็ช้ำมาก” เป็นการส่วนตัว
หลังจาก Lancer EX เปิดตัวได้หน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บไปเลย ค่ายสามเพชรดูจะมีการปรับตัวที่น่าสนใจ
หลายเรื่อง อย่างแรกคือการทำรุ่นปรับปรุง เพิ่มอุปกรณ์และสิ่งที่ทำให้คนด่าในช่วงแรก เช่น กระจกมองข้าง
พับได้ สีแดงสดสีใหม่ ปรับราคาให้เทียบเคียงคู่แข่งได้มากขึ้น แถมปรับการสื่อสารการตลาดใหม่ให้เข้ากับ
บุคลิกของรถจริงๆ ทั้งหมดทำได้หลังการเปิดตัวครั้งแรกเพียงปีเศษ แม้ว่าในช่วงแรกยอดขาย ย่ำแย่ แต่การ
แก้ปัญหาของทีม ถือว่าเร็วทันการณ์มากๆ และช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นได้
การปรับเครื่องยนต์ อุปกรณ์ และเพิ่มรุ่น CNG ของกระบะ Triton พร้อมดึงพี่ตูน บอดี้สแลม มาเป็น Presenter
ก็เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่พลิกสถานการณ์ยอดขายของ Triton ขึ้นมาได้ชัดเจน รุ่น CNG ได้รับความนิยม
ขึ้นมากในกลุ่มเซลล์และธุรกิจขนส่ง ลามไปถึง Pajero Sport ที่ยอดขายแซง Fortuner ก่อนปรับโฉมไปบางเดือน
ก็เป็นอีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เข้าไปซื้อโชว์รูมมิตซูแต่ก่อน แถมกันกระจาย แทบจะซื้อรถแถมบ้าน อันนั้น
ก็เว่อร์ไปนิด แต่เอาเป็นว่าเมื่อสองปีก่อน ลองไปถามหา Lancer รุ่นธรรมดา เซลล์พร้อมเสนอติดระบบ NGV/CNG
ให้ฟรีๆแถมประกันชั้นหนึ่ง!! ไทรทันก็แถมกันราว 60,000-100,000บาท ถ้ายังขายกันอย่างงี้ต่อไป คงกำไรหดได้
ม้วนเสื่อกลับบ้านกันสักวัน
นายเก่าของผมท่านนึงเคยกล่าวไว้โดนใจมากว่า…ถ้าจะขายด้วยการลดแหลกแบบนี้ ผมให้ลูกผม 6 ขวบ มาขายก็ได้…
คนก็ชื้อ ไม่ต้องจ้างเซลล์มาหรอก
แต่วันนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ซื้อมิตซูวันนี้ของแถมธรรมดามากๆ…นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดีต่อการเจริญเติบโตในระยะยาว
ยังไม่รวมโครงการร่วมกันพัฒนาและผลิตรถกระบะรุ่นต่อไปของ Nissan และ Mitsubishi ที่จะทำให้ทั้งสองเจ้ามี
ความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น ต่างจากตอนนี้ที่การแข่งกับเจ้าใหญ่อย่าง โตโยต้า อีซูซุ ไม่ต่างอะไรกับการเอา
ไม้ซีกมางัดไม้ซุก…งัดอีกสิบชาติก็ยังหักเหมือนเก่า
ที่น่าติดตามที่สุดคือ…Ecocar คันใหม่ของ Mitsubishi
ก่อนหน้านี้ Mitsubishi ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนโครงการ Ecocar จาก BOI เป็นกลุ่มแรก
เพราะในวันนั้น…ช่วงปี 2007 Mitsubishi ยังคิดช้าทำนานกล้าๆกลัวๆ แต่มาถึงครั้งนี้มันต่างออกไป คิดเร็วทำเลย
จะเปิดตัวตามหลักหนึ่งในหกแบรนด์กลุ่มแรกอย่าง Suzuki ไม่กี่เดือน ส่วนรูปลักษณ์ไม่น่าทำให้ผิดหวัง เพราะ
มันจะออกมาใกล้เคียงกับรถต้นแบบคันข้างบนนี่แหละ…น่าจะสวยไม่หยอกเลย ธันวาคมนี้ คงได้เจอกัน แ
กว่าจะขายจริง ต้องรอหลังมีนาคมปีหน้าเป็นต้นไป
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดที่มีต่อค่ายสามเพชร จากค่ายไร้อนาคตในช่วงปี 2008 มาเป็นยี่ห้อ
ที่น่าจับตามอง เห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงวิธีคิด การทำงานของคนทุ่งรังสิตที่แก้ปัญหาได้เร็วขึ้น ตรงจุด ไม่ใช่
Minorchange บ่อยไม่เข้าเรื่องให้เปลืองค่า Tooling เล่นๆเหมือนแต่ก่อน แถมยังกล้าคิดกล้าทำมากขึ้น ทำสิ่งที่
ควรทำมากขึ้น กล้าฉีกออกจากวงจรความตกต่ำแบบเดิม
ลุ้นแค่ว่าจะพัฒนางานบริการหลังการขายให้ดีขึ้นได้แค่ไหน (อันนี้ผมเจ็บมาเยอะจริงๆ…เจ็บพอจะตัดใจไม่ซื้อ
Lancer EX ทั้งที่อยากได้ใจจะขาด) และ Mitsubishi Ecocar จะออกมาโดนใจขนาดไหน…รอดูฝีมือขุนพลทุ่งรังสิต
อยู่นะครับ
ค่ายสุดท้ายที่ขอพูดถึงในวันนี้คือ… Ford
หลายๆคนอาจมองภาพของ Ford Thailand ในวันนี้ ว่าดีขึ้นจากจำนวน Ford Fiesta ที่วิ่งอยู่บนถนนกันมากมาย
แต่ลึกๆแล้วผมยังเป็นห่วงและต้องวิจารณ์การทำงานของทีมงานบนตึก Lake Ratchada กันเสียหน่อย
ผมเข้าใจว่า Fiesta เป็นรถรุ่นที่ Ford Thailand ตั้งความหวังไว้มาก อยากให้มันเป็นจุดเริ่มต้นใหม่พลิกสถานการณ์
ของแบรนด์ ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะก่อนกลับมาเมืองไทย ผมได้มีโอกาสควบ Fiesta 1.6 TDCi พ่วงเกียร์ธรรมดา
ไปสก๊อตแลนด์ แล้วถึงขั้น “ฟิน” คาเบาะ ไม่อยากคืนรถให้บริษัทรถเช่าที่สนามบิน Gatwick ก่อนมันเปิดตัวในไทย
เกือบปี…นี่แหละ รถมันสุดยอดจริงๆ
แต่การมาเยือนของ Fiesta ในเมืองไทย สิ่งที่ผมได้สัมผัสมันทำให้ความ”ฟิน”ของตัวรถหมดความหมายไปเลย
ทั้งอัดแคมเปญดอกเบี้ยต่ำตั้งแต่เปิดตัว การสื่อสารการตลาดทั้งหมดที่ผมขอใช้คำว่า ”ไม่ได้เรื่อง” จนต้องรีบเปลี่ยน
โฆษณาเป็นของออสเตรเลีย ในเวลาเพียง 4 เดือน พนักงานขายที่ไม่ตามลูกค้า แถมยังกล้าดีถึงขั้น พูดว่า”ไม่ซื้อ
ก็ไม่ต้องมาถาม”กลางเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ทั้งๆที่ในกระเป๋าผมกำเงิน 7แสนสดๆพร้อมถอย Fiesta ให้น้องสาวผมเอง
(น้องสาวผม…คนที่ไม่เคยแล Ford เลยจน Fiesta เปิดตัวนี่แหละ) ผมยังชื่นชอบมากพอที่จะลองอีกครั้ง ขับรถเข้าไป
ที่โชว์รูมแถวฝั่งธน ใกล้ๆบ้าน แล้วเจอพนักงานขายนั่งแคะเล็บปล่อยผมเดินเล่นอยู่ 15 นาที ไม่สนใจผมแม้แต่น้อย
สุดท้าย ผมต้องไปจบกับการจอง Altis บนโชว์รูมโตโยต้าแถวๆบ้านแทนในเย็นวันนั้นด้วยความโมโหสุดขีด!
แล้วผมยังได้ยินได้อ่านประสบการณ์แย่ๆแบบนี้จากอีกหลายๆคน ไม่เว้นแม้แต่คนในทีม Headlightmag.com!!
ผมและทีมเราหลายคนรักรถ Ford มากครับ…แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทำให้ Fiesta ที่ควรมาอยู่ในโรงรถของพวกเรา
กลายเป็นรถยี่ห้ออื่นแทน มันไม่ได้เป็นที่ตัวรถ เพราะตัวรถหนะ แข่งขันในตลาดได้ดีมากๆ แต่มันเกิดมาจาก
พวกคุณ ทีมงาน Ford Thailand และผู้แทนจำหน่าย Ford ที่มีปัญหาด้านทัศนคติ ส่งผลต่อเนื่องมาถึงการทำงาน
ในแต่ละวัน จนทำให้เกิดผลกระทบระยะยาว
ยอดขาย Fiesta จะไปได้ไกลกว่านี้ถ้าลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น ตอนนี้รถมันขายตัวมันเองล้วนๆ มีเพียง
ดีลเลอร์ไม่กี่รายที่ทราบว่าบริการดี ซ่อมดี แต่อยู่ไกลผมเกินไปไม่สะดวก ขืนยังเป็นอย่างนี้ต่อไป Ford ในไทย
จะต้องตกที่นั่งลำบากอีกครั้งเมื่อค่ายอื่นทำรถออกมาได้โดดเด่นกว่า
อยากให้ Ford ใช้จังหวะขาขึ้นนี้ในการยกเครื่องงานขายและบริการครั้งใหญ่เพื่อรองรับสถานการณ์ในวันที่ตัวรถ
เริ่มไม่น่าสนใจ ทำให้ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วประทับใจ ไม่ใช่ซื้อแล้วตั้งใจไปซ่อมนอกศูนย์บริการ ลูกค้าใหม่ๆก็กล้า
เปิดรับ Ford มากขึ้น
ที่พูดแรงเช่นนี้…ผมต้องการเห็น Ford อยู่ในประเทศไทยอย่างสง่างามและอยู่ไปนานๆ เท่านั้นเลย
สรุปความวันนี้…
ถึงแม้ผมจะเป็นเสียงเล็กๆแบบเพลงน้องพลอย little voice แต่ฐานะคนเคยอยู่ในวงการ และตอนนี้ ออกมาดู
อยู่ข้างนอก ผมอยากสะกิดทีมงานฮอนด้าและฟอร์ดด้วยความหวังดี ไม่ให้หลงไปไกล อยากเห็นทั้งสองแบรนด์
เป็นที่รักของผู้บริโภคในประเทศไทย โดยมีลูกค้าผู้ซื้อรถยนต์คอยช่วยผมจับตามองการทำงานของพวกเขาอีกแรง
เพราะฉะนั้นฮอนด้าก็อย่าหลงในความแข็งแกร่งของแบรนด์มากเกินไป จนลืมทำความเข้าใจลูกค้า ส่วนฟอร์ด
ยังต้องความคิดให้มีทัศนคติที่ดีกว่านี้ ความสำเร็จแบบที่เกิดขึ้นกับ Fiesta ไม่ได้เกิดขึ้นเสมอไป
สุดท้าย…ถึงจะติเยอะยังไงแต่ขอให้กำลังใจทีมงานทุกค่ายในการสู่กับปัญหาต่างๆเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งดีๆ
เพราะสิ่งที่เราอยากเห็นมากที่สุด คือรอยยิ้มจากลูกค้า ซึ่งนั่นจะทำให้คนในบริษัทรถเอง ทำงานของตน
ได้อย่างสบายใจในระยะยาวด้วยเช่นกัน
————————————–///—————————————