กรุงเทพฯ – เชฟโรเลต โวลต์ ร่วมเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดสถานีประจุไฟฟ้า
ต้นแบบสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแห่งแรกของปตท. ที่สถาบันวิจัยและเทคโนโลยีของปตท. อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา  
โดย ปตท. มีแผนขยายเครือข่ายสถานีประจุไฟฟ้า เพิ่มเติมอีก 5 สถานีภายในปี 2556 แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพฯ 2 สถานี
คือบริเวณปตท. สำนักงานใหญ่ และใกล้สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาเพื่อสวัสดิการ ร.1 รอ.บนถนนวิภาวดีรังสิต 
และอีก 3 สถานี ได้แก่บนเส้นทาง กรุงเทพฯ – ระยอง 2 สถานี และในจังหวัดนนทบุรีอีก 1 สถานี

alt

ยุทธศาสตร์การพัฒนารถพลังงานไฟฟ้ากำลังเป็นที่จับตามองมากขึ้นจากสาธารณชน และหน่วยงานภาครัฐ ส่วนหนึ่งมา
จากการจัดกิจกรรมทดสอบขับเชฟโรเลต โวลต์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งพลังงานไฟฟ้าถือเป็นหนึ่งในหลายหนทาง
ที่มีความเป็นไปได้สูงในการช่วยตอบโจทย์ระบบขับเคลื่อนเพื่อลดปัญหาภาวะโลกร้อน  

ยนตรกรรมของเจนเนอรัล มอเตอร์สและเชฟโรเลต มีศักยภาพและความหลากหลายที่พร้อมจะมอบเทคโนโลยีสีเขียว
และความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้แก่ประเทศไทย หากมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับและมีความต้องการถึงระดับมวลวิกฤติ
ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงตลาดได้

“เชฟโรเลต มีความชื่นชมยินดีต่อมาตรการที่รัฐบาลไทยแสดงออกมา ผ่านทางบริษัทปตท. ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับรถพลังงานไฟฟ้าซึ่งจะช่วยลดมลพิษและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” มร.มาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประจำประเทศไทย
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

alt

สถานีประจุไฟฟ้าต้นแบบของปตท. สร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สามารถรองรับการประจุไฟฟ้ารถยนต์ไฟฟ้าได้
พร้อมกัน  3 คัน ประกอบด้วย  ตู้ประจุไฟฟ้า 3 ตู้  ได้แก่  ตู้ประจุไฟฟ้ากระแสตรงแบบเติมเร็ว 1 ตู้ ใช้เวลาเติมประมาณ 30 นาที
ตู้ประจุไฟฟ้ากระแสสลับแบบเติมเร็วปานกลาง ใช้เวลาเติมประมาณ 3 ชั่วโมง และ 3 ตู้ประจุไฟฟ้ากระแสสลับแบบเติมช้า ใช้เวลา
เติมประมาณ 8 ชั่วโมง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการในแวดวงอุตสาหกรรมมีความคิดเห็นสอดคล้องกับจีเอ็มว่า ประเทศไทยจำเป็น
ต้องกำหนดทิศทางของแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และเพิ่มแรงจูงใจเพื่อช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงและความต้องการ
ใช้รถพลังงานไฟฟ้า

เมื่อตลาดมีความแข็งแกร่ง และมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและองค์ประกอบด้านเทคนิคที่ครบครันจนรถพลังงานไฟฟ้า
เป็นที่ต้องการ ประเทศไทยจะสามารถยืนอยู่แถวหน้าของเทคโนโลยีสีเขียวและเป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีในภูมิภาคนี้
“เราเสนอแนะให้รัฐบาลไทย พิจารณาการเริ่มพัฒนายุทธศาสตร์รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศอย่างรวดเร็วด้วยการทำให้สาธารณชน
สามารถเข้าถึงรถปลั๊กอินและรถไฟฟ้าขยายระยะทางขับเคลื่อนได้ง่ายยิ่งขึ้น และสร้างความต้องการของตลาด ตลอดจนลดกำแพง
พิกัดอัตราศุลกากร” มร.แอพเฟล กล่าวในที่สุด