ยิ่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประเภทยานยนต์ ถ้าไม่ใช่รถยนต์รุ่นสำคัญ
หรือเปี่ยมด้วยวิทยาการใหม่ๆ ก็แทบจะไม่มีใครสนใจเลย แต่ล่าสุด
มีค่ายรถยนต์ค่ายหนึ่งที่เปลี่ยนการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ ให้ฮือฮา
แทบจะเท่ากับเวลาสตีฟ จ็อบส์เปิดตัวผลิตภันฑ์ใหม่ของแอปเปิ้ลเลยล่ะ
และค่ายรถยนต์นั้นก็คือ Tesla Motors กับการเปิดตัว Model X
รถยนต์ SUV พลังไฟฟ้าล้วน ที่จะเปลี่ยนหน้าวงการรถตรวจการณ์ระดับหรู
เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2012 ที่ผ่านมา ทันทีที่ Elon Musk ผู้บริหาร
ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าน้องใหม่นี้เปิดประตูคู่หลังของ Model X เหล่า
สื่อมวลชนต่างรัวเก็บภาพ แฟลชและเสียงชัตเตอร์ลั่นเร็วราวกับปืนกล
นั่นเป็นเพราะประตูคู่หลังแบบ ‘Falcon Doors’ ได้สร้างความฮือฮา
ด้วยรูปแบบการประตูแบบปีกนก ที่ไม่ใช่ปีกนกธรรมดาแบบที่เราคุ้นตา
ใน Mercedes-Benz 300SL รุ่นปี 1954 แต่เป็นประตูปีกนกที่ ‘พับได้’
เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการเปิด จนทำให้ดูเหมือน ‘ปีกเหยี่ยว’ ที่กางออก
ดีไซน์แบบปีกเหยี่ยวในประตูคู่หลังของ Tesla Model X ดูเหมือนจะเป็น
จุดเด่นของตัวรถไปเสียแล้ว เพราะการออกแบบกลไกอย่างชาญฉลาด
ที่แบ่งประตูให้พับขึ้นได้ จะทำให้ผู้คนเปลี่ยนทัศนคติในแง่ลบกับประตู
แบบปีกนกไปจนหมด ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่มากเกินไป หรือการต้องเอี้ยวตัว
เพื่อก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ รวมไปถึงการเข้า-ออกของที่นั่งแถว 3 ที่เคยเป็น
อุปสรรคของ SUV ทั่วๆไป ทั้งหมดนี้ ‘Falcon Doors’ ได้ลบออกจนหมดสิ้น
แต่ก็ยังน่าสนใจไม่น้อย ว่าประตูแบบปีกเหยี่ยวนี้จะเป็นอย่างไรในชีวิตจริง?
เช่น เมื่อฝนตกหนัก และต้องเปิดประตูคู่หลังเพื่อรับผู้โดยสาร น้ำฝนจะสาดเข้าตัวรถ
หรือไม่? แต่ถ้าหากเป็นเรื่องของความปลอดภัย Tesla Motors ได้ออกแบบ
ประตูปีกนกชนิดนี้ให้สามารถแยกชิ้นบน-ล่าง เพื่อการหนีออกจากตัวรถในกรณีที่
รถคว่ำได้
นอกจากจุดเด่นของงานดีไซน์จะอยู่ที่ประตูคู่หลังของ Model X แล้ว ภาพรวมของ
งานออกแบบยังทำได้อย่างน่าประทับใจ เพราะมีความสวยงามด้วยเส้นสายที่ลงตัว
ตั้งแต่หัวจรดท้ายราวกับเป็นรถยนต์ต้นแบบ Tesla Motors พยายามกำหนดทิศทาง
งานดีไซน์ให้เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ใครๆต้องจดจำ แต่ความเห็นส่วนตัวของ
ผู้เขียนคือ ยังมีหลายๆส่วนที่ให้กลิ่นอายของความเป็น Maserati ค่ายรถยนต์อิตา-
เลียนอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ Tesla Motors ปล่อยให้สื่อมวลชนสัมผัสนั้นเป็น Model X
เวอร์ชั่นโปรโตไทป์ หรือเวอร์ชั่นก่อนผลิตจริงที่คุ้นเคยกันดี ประกอบไปด้วยฟีเจอร์น่าสนใจ
มากมาย เช่น หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 17 นิ้วบนคอนโซลกลาง เช่นเดียวกับที่
ประจำการใน Model S พรีเมี่ยมซาลูนประจำค่าย Tesla มาแล้ว อันเป็น 1 ในความ
ล้ำสมัยเกินหน้ารถยนต์ทั่วไปอย่างชัดเจน หน้าจอระดับทีวีย่อมๆนี้จะคอยเป็นศูนย์กลาง
ในการควบคุมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆภายในตัวรถ หรือจะเป็นพวงมาลัยมัลติ-
ฟังก์ชั่นแบบ Touchscreen ที่ยังไม่เคยมีในรถยนต์ผลิตขายจริงมาก่อน
ในส่วนของระบบวิศวกรรม Tesla Motors ได้จับเอาระบบขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า
แบบเดียวกับที่ใช้ใน Model S มาใส่ Model X ซึ่งประกอบไปด้วยแบตเตอรี่ที่จัดวาง
เป็นระนาบใต้พื้นห้องโดยสาร ซึ่งมีให้เลือกใช้ 2 ขนาด ได้แก่ 60 และ 85 กิโลวัตต์-ชม.
ซึ่งสามารถให้ระยะทาง 214 ถึง 267 ไมล์ต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง ซึ่งใช้เวลาชาร์จไฟ
เพียง 4 ชม. (สำหรับแบตเตอรี่ 85 กิโลวัตต์-ชม.) เมื่อชาร์จกับไฟระบบ 20 วัตต์
ถือว่ามากกว่าเวลาชาร์จไฟของ Chevrolet Volt ที่ใช้แบตเตอรี่แบบ 16 กิโลวัตต์-ชม.
เพียง 30 นาทีเท่านั้น
การจัดแพคเกจจิ้งของ Model X ก็ทำได้น่าสนใจเช่นกัน เพราะหยิบเอาเฟรมตัวถังอะลุมิเนียม
จาก Model S มายิดจนมีระยะฐานล้อเพิ่มขึ้น 4 นิ้ว และด้วยการจัดวางให้แบตเตอรี่อยู่ใน
รูปแบบแผ่นเรียบใต้พื้นห้องโดยสาร มอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลังขนาดเล็กระหว่างล้อคู่หน้าและหลัง
ทำให้ Model X มีพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างอย่างที่รถยนต์ SUV ทั่วไปไม่สามารถทำได้
รวมไปถึงพื้นที่เก็บของอันกว้างขวางแม้กางเบาะแถวที่ 3 ออกมา อีกทั้งยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระ
ใต้ฝากระโปรงหน้าอีกด้วย และด้วยแพคเกจจิ้งแบบนี้ ส่งให้ Model X สร้างการทรงตัวระหว่าง
การขับขี่ได้ดีมาก เพราะมีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำและเฉลี่ยกันทั่วทั้งคัน ซึ่งนอกจากนี้ ระบบกันสะเทือน
ของ Model X ยังใช้โช้คอัพแบบอากาศ ช่วยเพิ่มยกความสูงจากพื้นให้แก่ตัวถังได้มากที่สุดถึง 1 นิ้ว
ทั้งหมดนี้ สร้างน้ำหนักให้เพิ่มจาก Tesla Model S เพียง 10-15 เปอร์เซนต์เท่านั้น
พูดถึงการทรงตัวและความเกาะถนนไปแล้ว คงจะไม่พูดถึงระบบขับเคลื่อนไม่ได้ อย่างที่
ทราบกันดีว่า Model X ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน แต่ก็ไม่ใช่มอเตอร์ไฟฟ้าพละกำลัง
พื้นบ้านทั่วไป เพราะ Model X ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่สร้างพละกำลังได้เกือบ 300 แรงม้าสำหรับ
ล้อคู่หลัง และอีก 150 แรงม้าสำหรับล้อคู่หน้า ทั้งหมดนี้เมื่อผนวกกำลังเข้าด้วยกัน จะสร้าง
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่เร็วจนเหล่าซูเปอร์คาร์ต้องมองค้อนขวับ ด้วยตัวเลข 4.4 วินาที!
อย่าลืมว่านี่มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ เพราะฉะนั้นแรงบิดสูงสุดรอให้คุณเรียกใช้ทันทีที่เหยียบคันเร่ง
ชวนให้อยากสัมผัสแรงดึงหลังติดเบาะไม่น้อยเลยทีเดียว!
อะไรจะเป็นรถยนต์ที่มีแต่อะไรๆน่าใช้ได้ขนาดนี้?! แต่ช้าก่อน ความโหยหาอยากได้ความล้ำสมัย
สุดบรรเจิดเช่นนี้ไว้ในครอบครองอาจพลันหายไปในพริบตา เมื่อมองป้ายราคาที่พะไว้ที่
49,900 เหรียญสหรัฐ … เขี่ยลูกคิดดูพร้อมอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 30 บาท/1 ดอลล่าร์
.. ล้านกว่าบาทเองนี่- -คุณอาจจะคิดแบบนั้น แต่อย่าลืมว่า Mercedes-Benz ML350
รุ่นล่าสุด (ปี2012) ก็สนนค่าตัวที่ 48,900 เหรียญสหรัฐ เรียกได้ว่าท้าชนสายแข็งในสังเวียน SUV
กันเลย และหากเปลี่ยนเป็นเงินไทย คงไม่พ้นย่าน 7-8 ล้านบาทเป็นแน่ แต่ถ้าหากคุณโหยหา
ชีวิตอนาคตแบบในภาพยนตร์ Sci-Fi และมองหารถยนต์พรีเมี่ยมยกสูงสักคัน Tesla Model X
ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่แย่งความสนใจจาก ML350 ได้บ้างล่ะน่า
Tesla Model X พร้อมผลิตจำหน่ายปลายปี 2013 และเดินเครื่องผลิตเต็มที่ในปี 2014
โดยจะส่งมอบให้แก่ลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่ง Model X ถือว่า
เป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นจาก Tesla ที่จะเปลี่ยนทัศนคติต่อรถยนต์ไฟฟ้าของตน ที่ไม่ใช่เพียง
แค่รถยนต์ทั่วไปอย่างที่ Nissan Leaf หรือ Mitsubishi i-MiEV เป็น แต่กลับเป็นรถยนต์
ไฟฟ้าที่มีระยะทางวิ่งต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้งได้เหมาะกับชีวิตจริงมากที่สุด และสวมบทบาท
รถยนต์พรีเมี่ยมในคราบรถยนต์ไฟฟ้าได้ดีที่สุดอย่างไม่อายเจ้าตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ Tesla Motors
พยายามพิสูจน์ให้วงการรถยนต์ได้เห็น และเมื่อ Tesla Model S พร้อมส่งมอบให้ลูกค้ากลางปีนี้
ก็จะเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ดี ว่า Tesla Motors กำลังมาถูกทางหรือยัง
——————————–///————————————–